มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 487
ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปหลายล้านไมล์ในเทือกเขาเหิงหยุน ผู้อาวุโสหกของตระกูลหยู ที่ดูแลห้องโถงบรรพบุรุษสีหน้าของเปลี่ยนไปในทันที!

เพราะตะเกียงวิญญาณที่วางไว้ที่ด้านบนสุดในห้องโถงบรรพบุรษ วูบ ดับลงไป!

และเจ้าของตะเกียงวิญญาณนี้คืออาจารย์ของตระกูลหยู หยูเชียนฮั่ว!

ตะเกียงวิญญาณมี 2 แบบ แบบแรกคือตะเกียงวิญญาณโบราณ ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป จะทิ้งเส้นใยเทพจิตไว้บนตะเกียงวิญญาณ ทันทีที่ร่างกายเสียชีวิต ตะเกียงวิญญาณจะปกป้องเส้นใยเทพจิตนี้ไว้ ยังมีความหวังเกิดใหม่อีกครั้ง

วิธีลับในการกลั่นตะเกียงวิญญาณโบราณนี้หายสาบสูญไปนานแล้ว จะได้มาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชค น้อยคนนักที่จะมีผู้ขายสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตแบบนี้

นอกจากนี้ยังมีตะเกียงวิญญาณชนิดหนึ่ง เฉพาะปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7 เท่านั้นที่สามารถกลั่นสมบัติค่ายกลได้ เส้นใยตราวิญญาณที่ประทับอยู่ในตะเกียงวิญญาณ ตะเกียงวิญญาณก็จะสว่างขึ้นเหมือนจุดเทียน ทันทีที่เปลวเทียนดับ แปลว่า เจ้าของตะเกียงวิญญาณ ล่วงลับแล้ว!

ฝานไท่เต๋อและเจ้าตำหนักจื่อในตอนนั้น ได้รับตะเกียงวิญญาณโบราณโดยบังเอิญ และแม้ว่าตระกูลหยูจะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็ไม่มีโชคเช่นนั้น แม้แต่อาจารย์มกุฎยุทธ์ก็ใช้ตะเกียงวิญญาณธรรมดา

“อาจารย์ล่วงลับไปแล้ว…”

ผู้อาวุโสหกของตระกูลหยู รู้สึกว่าริมฝีปากของตนสั่นไม่หยุด พูดติดขัด

“เร็ว…ส่งคนไปแจ้งผู้ก่อตั้งตระกูลหยู!”

ตอนนี้ ในบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลหยู เหลือเพียงเขาและผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้น และผู้อาวุโสใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหมดสติอยู่ อาจารย์ล่วงลับ ท่านผู้นั้นเป็นหัวหน้าหลักคนเดียวในทั่วทั้งตระกูลหยูแล้ว

เนื่องจากอาจารย์ล่วงลับตระกูลหยูอยู่ในความโกลหลวุ่นวาย ผู้คนต่างก็ตื่นตระหนก หลัวซิปิดกั้นรักษาบาดแผลของตน

อยู่ในหอคอยกลางของแดนปริศนา

อีกด้านหนึ่ง บนยอดเขาเทียนเหอแห่งสำนักฉางเหอ การต่อสู้ครั้งใหญ่ กำลังจะเกิดขึ้น

“หลี่ฉางเหอ หากเจ้าไม่ต้องการทำลายรากฐานนับพันปีของสำนักฉางเหอ แนะนำให้เจ้าเลิกต่อต้านจะดีที่สุด”

ด้านนอกของค่ายกลพิทักษ์เขา หลี่เสวียนหยาง ซุนเชียนซาง ป๋ายหลี่หยวนหลง สามผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ยืนอยู่กลางอากาศด้วยออ่ร่าพลานุภาพ

เบื้องหลังของคนทั้งสาม คือ เจ้าสำนักเสวียนหยาง พร้อมด้วยศิษย์มากกว่า 200 คน ยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือรบทั้งสองลำ ทั้งหมดต่างปล่อยออร่าแห่งการสังหารออกมา

ในม่านแสงของค่ายกลพิทักษ์ มีเรือรบสองลำลอยอยู่เหนือเขาเทียนเหอ เจ้าสำนักฉางเหอพร้อมศิษย์ในสำนักเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้

“หลี่เสวียนหยาง เจ้าไม่สมกับที่เป็นอาจารย์มกุฎยุทธ์เลย ที่ลักลอบโจมตีอาจารย์ของพวกข้าอย่างไร้ยางอาย อยากให้สำนักฉางเหอของข้าก้มศีรษะคำนับเจ้า อย่าแม้แต่จะคิด!” เจ้าสำนักฉางเหอตะโกนเสียงดัง

“ฮึ่ม ดื้อรั้น นึกว่าหลบอยู่ในค่ายพิทักษ์เขาก็จะปลอดภัยแล้วหรือ?” สีหน้าของหลี่เสวียนหยางเคร่งขรึม

ในฐานะที่เป็นอาจารย์มกุฎยุทธ์ ต่างก็ไม่อยากขายหน้ากันทั้งนั้น ก่อนหน้านี้เขาและตำหนักจื่อตาเฒ่าประหลาดลอบโจมตีหลี่ฉางเหอด้วยกัน นับว่าขายหน้า ถูกคนอื่นพูดถึงทำให้เขารู้สึกอับอายเล็กน้อย

แต่เมื่อเทียบกับการขายหน้าแล้ว ประโยชน์สำคัญกว่า หากได้รับหินตรีภพมา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้มันเอง เขาก็สามารถใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่เขาต้องการจากกองกำลังขนาดใหญ่เหล่านั้นได้

“ศิษย์พี่หลี่ จะไปพูดเรื่องไร้สาระกับพวกคนอ่อนแอสถานะต่ำต้อยเช่นนี้ทำไม รอข้าทำลายค่ายกลนี้แล้ว ก็สามารถกำจัดพวกอ่อนแอสถานะต่ำต้อยนี้ได้ด้วยการโบกมือ”

ป๋ายหลี่หยวนหลงยิ้มอย่างเฉยเมย จากนั้นยกมือขึ้นเหวี่ยงออก รังสีของแสงก็พุ่งออกมาจากวงแหวนเก็บของ มีทั้งหมดหลายร้อยแสง ตกลงไปในทิศทางที่ไม่เหมือนกัน

“สหายยุทธ์ป๋ายหลี่ ทั้งหมดนี้ พึ่งเจ้าแล้วนะ!” หลี่เสวียนหยางคารวะ

“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องกังวล แค่ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ที่ควบคุมด้วยตนเอง มันก็ไม่ยากที่จะทำลายค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 ” ป๋ายหลี่หยวนหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ค่ายกลที่มีคนควบคุม เรียกว่าค่ายผุดชีวี ค่ายกลที่ไม่มีคนควบคุมคือ ค่ายมรณะ

ค่ายกลเหมือนกัน ค่ายมรณะจะทำลายลงไปได้ง่ายกว่าค่ายผุดชีวี

แม้ว่าจะเป็นค่ายผุดชีวี ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ควบคุม ความแข็งแกร่งของผลการฝึกฝนเป็นยังไง ค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 มกุฎยุทธ์เป็นผู้ควบคุม กับจักรพรรดิยุทธ์เป็นผู้ควบคุมความแตกต่างจะห่างกันมากเช่นกัน

เพราะรู้ว่าอาจารย์มกุฎยุทธ์ของสำนักฉางเหอได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถมาเป็นผู้ควบคุมค่ายพิทักษ์เขาได้ ป๋ายหลี่หยวนหลงจึงกล้าพูดว่าเขามีความมั่นใจอย่างยิ่งที่จะทำลายค่ายกลใหญ่นี้ได้