กำไลเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดในการทำเครื่องประดับ ไม่ต้องใช้ฝีมือมาก แค่เจียระไนและขัดให้วาวก็ได้แล้ว เพราะอย่างนั้นกำไลที่ซีเหมินจินเหลียนทำออกมาก็ใช้เวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น แน่นอนว่ากำไลที่สวยอย่างฮกลกซิ่ว ถ้าเธอไม่ทำเป็นของตัวเองอีกสักวงก็คงจะรู้สึกไม่ดีต่อตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็ได้ทำตามขนาดของเธอออกมาหนึ่งวง แล้วก็ถอดกำไลหยกประกายดาวระยิบระยับออกไป
เดิมทีหลินเสวียนหลานพูดว่าอยากจะนัดเธอกินข้าว แต่วันนั้นเธอก็มัวยุ่งกับการทำกำไลจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ส่วนหลินเสวียนหลานก็ไม่ได้โทรศัพท์เข้ามาหาเธอเลย…
เมื่อกำไลทำเสร็จแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ตั้งใจให้จ่านป๋ายสั่งทำกล่องพิเศษสำหรับใส่กำไลขึ้นมา ของที่งดงามล้ำค่าขนาดนี้ ไม่สามารถที่จะห่อกับกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ เปื่อยๆ ได้ ถ้าส่งให้คนอื่นยังอีกเรื่อง แต่นี่ขายก็เป็นอีกเรื่อง แน่นอนเธอยังไม่ลืมที่จะหาฉินเฮ่าเพื่อติดต่อเรื่องสมาคมเครื่องประดับอัญมณีในนครเซี่ยงไฮ้ ให้ช่วยออกใบรับประกันให้อีกสองใบ เพื่อเพิ่มราคา
กำไลสองวงนี้หากส่งไปที่สมาคมเพื่อยืนยัน คงจะกระตุ้นความสนใจจากภายนอกไม่น้อย แต่คนที่ทำงานในสมาคมน่าจะมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง พวกเขาไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ยิ่งบวกกับประวัติของฉินเฮ่าเข้าแล้วคงไม่มีใครกล้าทำอะไร รองประธานเหลียงจากสมาคมเครื่องประดับอัญมณีหยกในเมืองเซี่ยงไฮ้เป็นคนการันตียืนยันสินค้า คงจะรับประกันความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง
ทุกเรื่องถูกจัดเตรียมอย่างเหมาะสม ซีเหมินจินเหลียนโทรศัพท์ไปหาจางจิ้น จางจิ้นรับโทรศัพท์ท่าทางดีใจไม่หาย บอกว่าจะรีบไปหาในทันท่วงที
จางจิ้นคนนี้ความเร็วใช้ได้ ไม่ถึงสามสิบนาทีก็ขับรถมาถึงบ้านซีเหมินจินเหลียนแล้ว
เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนก็ยิ้มถามว่า “คุณซีเหมินมีสินค้าหรือเปล่าครับ” เขาหันไปเห็นข้อมือของซีเหมินจินเหลียนมีหยกแก้วฮกลกซิ่วอยู่ สายตาไม่ละไปไหน
“คุณจางเชิญนั่งก่อนค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนเรียกเขาให้นั่งลง เขาจึงได้เรียกสติคืนกลับมา
“คุณซีเหมิน ขอโทษทีครับ ผมสติหลุดไป กำไลวงนี้ก็สวยมากเลยครับ!” จางจิ้นเรียกสติกลับมาได้แล้วก็ชมความงามไม่หยุด รีบถามไปว่า “แน่นอน คุณก็สวยเช่นกัน! คู่ควรเหมาะสมกับคุณมากจริงๆ เห็นจนผมไม่อยากจะซื้อแล้ว…”
“ทำไมล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
จ่านป๋ายยกชาขึ้นมาเสิร์ฟ จางจิ้นจึงยิ้มให้ “ถ้าหากผมซื้อไปแล้ว คุณซีเหมินคงจะไม่มีใส่ ถ้าอย่างนั้นผมคงทำผิดมหันต์แน่!”
“คุณจางก็พูดเล่นไปค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ จ่านป๋ายถือกล่องผ้าไหมสองกล่องเดินเข้ามา แล้ววางไว้ตรงหน้าจางจิ้น จางจิ้นยังคงไม่เข้าใจ แต่ก็รีบเปิดกล่องออกมาหนึ่งกล่อง
ภายในกล่องนั้นใส่กำไลหยกสีผสมไว้อย่างพอดีเหมาะเจาะ สีม่วงดอกไลแอคถูกแต้มสีด้วยสีเขียวมรกต ทำให้เพลิดเพลินจนหัวใจแทบจะวาย จางจิ้นหยิบออกมาใส่ไว้ในมือ แล้วมองชื่นชมในความงามที่เห็นนี้ “ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นหยกมาก่อน แต่หยกชั้นดีแบบนี้…ก็พบเจอได้บนโลกยากนัก”
“แน่นอนครับ พวกเราก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องประดับหยกชั้นดี” จ่านป๋ายนั่งข้างซีเหมินจินเหลียนแล้วพูดว่า “คุณจางลองดูกำไลอีกวงสิครับ”
“ได้ครับๆ…” จางจิ้นตอบตกลงและท่าทางตื่นเต้นเงอะงะทำตัวไม่ถูกเปิดกล่องอีกอัน กำไลวงนั้นเป็นกำไลหยกฮกลกซิ่วลักษณะเหมือนกันกับซีเหมินจินเหลียนทุกประการ หยกแก้วไร้สี เมื่อรวมแล้วถือว่าเป็นสี่สี คุณภาพสีสดใส แดงเขียวม่วงสามสีก็เข้มสดเสมอกัน สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ
“ถ้าไม่เห็นกับตาตัวเอง ผมก็ไม่เชื่อว่าโลกใบนี้ยังมีหยกที่งดงามสมบูรณ์แบบขนาดนี้อยู่ “จางจิ้นชม
“เห็นทีว่าคุณจางคงจะเป็นคนรักหยกเหมือนกัน กำไลสองวงนี้ถ้าวางขยายในตลาดอัญมณี ราคาคงจะประเมินค่าไม่ได้” ซีเหมินจินเหลียนซ่อนรอยยิ้ม
“คุณจางครับ” จ่านป๋ายหยิบใบรับประกันหยกสองใบออกมา ก่อนจะส่งไปให้เขา “นี่เป็นใบรับประกันราคาหยกของสมาคมเครื่องประดับอัญมณีในนครเซี่ยงไฮ้ครับ”
“อ้อ ครับ” จางจิ้นรับมา เขาก็เคยรู้จักกับคนในสมาคมมาก่อน เพียงมองก็รู้ว่าใบรับประกันนั้นไม่ใช่ของปลอม ความจริงแล้วตั้งแต่ที่จ่านป๋ายวางกำไลสองวงลงตรงหน้าเขานั้น เขาก็รู้แล้วว่าของตรงหน้าไม่มีทางเป็นของปลอมได้อย่างเด็ดขาด เพราะอย่างนั้นถึงจะมีใบรับประกันหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน
“คุณซีเหมินครับ ผมก็ต้องการกำไลวงนี้” จางจิ้นพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “คุณบอกเลขที่บัญชีผมมา แล้วผมจะโทรศัพท์บอกทางธนาคารให้โอนเงินให้คุณ เป็นอย่างไรครับ?”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตกลง การค้าที่ซื้อง่ายจ่ายคล่องแบบนี้ อีกทั้งอีกฝ่ายก็มีความสุข ก็หาได้ยากยิ่งนัก
จางจิ้นเดินออกไปโทรศัพท์ข้างนอก ก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้ง เขานั่งลงบนโซฟา ถามขึ้นยิ้มๆ ว่า “ว่ากันตามหลักแล้ว ผมที่เป็นผู้ชายคงไม่ค่อยเหมาะสมนักหากจะถามเกี่ยวกับเครื่องประดับส่วนตัวของสุภาพสตรี เพียงแต่ว่า…ผมก็แปลกใจจริงๆ ครับ ตอนที่ผมมาครั้งนั้น ผมเห็นว่าที่ข้อมือของคุณสวมกำไลไว้วงหนึ่ง คิดว่าคงเป็นกำไลหยกใช่หรือเปล่าครับ?”
ตอนที่เขาเห็นกำไลหยกที่เปล่งประกายระยิบระยับบนข้อมือของซีเหมินจินเหลียนนั้น ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าเป็นเครื่องประดับจากโรงงานทั่วๆ ไป แต่ตอนนี้เมื่อมาย้อนคิดดูอีกทีแล้วก็ต้องตกใจขึ้นมา ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าหยก อีกอย่างยังเป็นหยกชั้นดี แล้วกำไลบนข้อมือของเธอจะเป็นของจากโรงงานได้อย่างไรกัน?
แต่ว่าหยกที่สามารถเปล่งประกายได้ เขาก็กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน จางจิ้นกลับไปหาข้อมูล รวมทั้งสอบถามคนอื่นๆ แต่ว่าก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่สำคัญเลย วันนี้เมื่อได้มาพบกันอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อดถามออกไปไม่ได้
“คุณหมายถึงหยกประกายดาวหรือคะ?” หลังจากซีเหมินจินเหลียนชะงักไปเล็กน้อย เธอก็นึกขึ้นมาได้ ตั้งแต่ที่เธอทำกำไลประกายดาวเสร็จ เธอก็ใส่มันไว้บนข้อมือมาโดยตลอด จนกระทั่งเร็วๆ นี้ถึงได้เปลี่ยนมาใส่กำไลหยกฮกลกซิ่วแทน
“ประกายดาว?” จางจิ้นออกแรงตบเข่าฉาด ก่อนจะพูดชื่นชมขึ้นว่า “เป็นชื่อที่ดีจริงๆ ครับ! เหมือนกับประกายของดวงดาว คุณซีเหมิน นั่นก็เป็นหยกเหมือนกันหรือครับ?”
“ใช่แล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบ “เพียงแต่ว่าฉันก็ไม่ขายหรอกนะคะ ถ้าหากคุณจางอยากได้ ลองดูเป็นชิ้นอื่นดีกว่าค่ะ”
“ถ้าผมจะขอดูใกล้ๆ ได้หรือเปล่าครับ?” จางจิ้นถามขึ้น
ซีเหลินจินเหลียนได้ฟังแล้วก็ให้จ่านป๋ายขึ้นไปยิ้มกำไลหยกประกายดาวลงมา กำไลวงนั้นเธอก็เก็บไว้ในกล่องเช่นเดียวกัน ตอนที่ซีเหมินจินเหลียนเปิดกล่องออก แล้วส่งไปตรงหน้าของจางจิ้น เขาก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายสายตาออกไปได้เป็นนาน
ประกายดาว นี่ก็เปล่งประกายแสงเหมือนกับดวงดาวจริงๆ ด้วย สวยงามจนเหมือนกับไม่ใช่ของจริง ยามที่เขายื่นมือออกไปสัมผัสนั้น ก็รู้ว่าเป็นหยกบ่อเก่าจากพม่าจริงๆ เพียงแค่หยกนี้ เพียงแค่สัมผัสอันเรียบลื่นนี้ก็ไม่มีอะไรมาทดแทนได้แล้วจริงๆ
ตอนนั้นเสียงโทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขึ้น เมื่อหยิบออกมาดูก็เห็นว่าเป็นธนาคารที่โทรมาแจ้งว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีของเธอจำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวน สำหรับลูกค้ารายใหญ่แบบเธอ แน่นอนว่าธนาคารต้องเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เมื่อมีเงินก้อนใหญ่โอนเข้าหรือโอนออก พนักงานของทางธนาคารต้องโทรมาแจ้งเสมอ
“คุณจางคะ กำไลสองวงนั้นก็เป็นของคุณแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นยิ้มๆ “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ขายกำไลประกายดาว แต่คราวหน้าหากคุณต้องการสินค้าตัวไหน ก็สามารถจองได้เลยนะคะ หรือว่าถ้าคุณต้องการสั่งทำเป็นพิเศษก็ไม่มีปัญหาค่ะ…อย่างเช่นพวกเครื่องประดับสลักชื่อ อะไรแบบนั้นก็ได้ค่ะ”
จางจิ้นยังรู้สึกเสียดายกำไลประกายดาววงนั้นไม่หาย เขาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นว่า “คุณซีเหมินครับ ที่นี่ก็มีหยกสีแดงด้วยหรือเปล่าครับ” สำหรับของล้ำค่าอย่างหยกประกายดาวนั่น หากได้เห็นสักครั้งหนึ่งในชีวิตก็ถือว่าโชคดีเป็นอย่างมากแล้ว หากคิดอยากจะได้เอามาไว้ในครอบครอง ไม่ใช่แค่ว่ามีเงินก็จะซื้อหามาได้ แต่ก็ต้องมีโชคด้วย
“หยกสีแดงเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ต้องการแบบไหน ชนิดไหนคะ”
จ่านป๋ายเก็บกำไลแสงดาวไว้แล้วพูดว่า “พวกเรามีชนิดน้ำแข็งสีแดงอมชมพู อันนั้นเหมาะสมกับคนระดับปานกลางสวมใส่ ถ้าหากคุณต้องการ เราก็มีหยกสีเลือดอยู่ครับ”
“หยกสีเลือด?” จางจิ้นถามอย่างสงสัย ชื่อนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเลย หรือว่าในนิยามของหยกสีแดง จะมีหยกสีคล้ายเลือดอยู่ไหนนั้น?
จ่านป๋ายมองไปทางซีเหมินจินเหลียนและอธิบายว่า “ได้ยินมาว่า ในหยกสีแดง หยกสีเลือด หยกสีไฟล้วนเป็นตระกูลหยกสีแดงชั้นดีอย่างไม่ต้องสงสัย คุณจางน่าจะรู้ว่าหยกสีเลือดเป็นหยกคุณภาพดี ถ้าหากคุณสนใจผมจะไปนำสินค้าตัวอย่างมาให้คุณดูครับ”
ถึงจางจิ้นจะไม่มีความสนใจ แต่เขาก็อยากจะเห็นหยกสีเลือดในตำนานสักครั้ง ดังนั้นจึงรีบพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว “แน่นอนอยู่แล้วครับ”
ตอนที่จ่านป๋ายถือดอกบัวสีแดงออกมาวางไว้ข้างหน้าของจางจิ้น แววตาของจางจิ้นก็ไม่ละสายตาไปไหนเลย…
หยกสีเลือดอย่างที่คิด สีสันสดใสบริสุทธิ์กำลังดี ฝีมือการแกะสลักของซีเหมินจินเหลียน กลีบดอกบัวแต่ละชั้นสะท้อนให้เห็นถึงความพิถีพิถันราวกับมีชีวิตอยู่จริง
“นี่คือดอกบัวไฟสีแดงแห่งความชั่วร้าย!” ซีเหมินจินเหลียนอธิบาย” แต่ว่าชิ้นนี้ฉันได้ติดต่อกับบริษัทประมูลจินติ่งไว้แล้ว” ถึงแม้ว่าดอกบัวไฟสีแดงแห่งความชั่วร้ายจะมีสองดอก แต่ดอกนั้นใหญ่กว่าหน่อย เธอตั้งไว้ประดับที่หัวเตียง ไม่ได้คิดจะขาย
“ถ้าผมสั่งทำสีนี้ สามารถรับประกันว่าคุณภาพเนื้อหยกจะเหมือนกับดอกบัวแดงนี้หรือเปล่าครับ” จางจิ้นหยิบดอกบัวสีแดงมาอย่างระมัดระวัง
“แน่นอนค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “เพียงแต่คุณจางอยากจะสั่งทำแบบไหนหรือคะ”
“คุณซีเหมินรู้จักพวงแท่นหยกหลิงหลงหยกไหมครับ” จางจิ้นถาม
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า แท่นหยกหลิงหลงหยกโบราณทำไมเธอจะไม่รู้จักล่ะ?
จางจิ้นพูด “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบสิบปีการจากไปของภรรยาผมแล้ว ผมหวังว่าอยากจะออกแบบแท่นหยกเพื่อตั้งไว้หน้าสุสาน”
ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายไม่เข้าใจ ดูไม่ออกว่าจางจิ้นคนนี้จะเป็นคนมีความผูกพัน ซีเหมินจินเหลียนคิดเลยถามไปว่า “คุณจางต้องการให้สลักอะไรลงไปบนนั้นหรือเปล่าคะ อย่างเช่นชื่อของภรรยาคุณ?”
“ชื่อไม่ต้องหรอกครับ” จางจิ้นส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มีประโยคหนึ่งที่ผมชอบมาก ผมอยากให้คุณซีเหมินช่วยสลักประโยคนั้นลงไปก็พอครับ”
“อ้อ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม “ประโยคอะไรหรือคะ”
“ความลุ่มหลงอยู่ได้ไม่นาน คนที่โดดเด่นเกินไปก็มักถูกคนรังแก ผู้มีคุณธรรมนอบน้อมควรจะจิตนิ่งสงบ” จางจิ้นพูดพลางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกยาวใหญ่
ซีเหมินจินเหลียนรู้ความหมายของประโยคนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนทำธุรกิจอย่างเขา จะมีเรื่องราวที่คล้ายกับบทละครนิยายด้วย แถมยังให้แกะสลักลงบนแท่นหยกอีก ถือว่าเป็นสมบัติตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น…