ส่วนที่ 4 ตอนที่ 40 อยู่บ้านทำกับข้าว

ความลับแห่งจินเหลียน

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า อายุขนาดนี้เฝ้าแต่คิดถึงภรรยาที่จากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสน่ห์ของคำที่มีความหมายนั่น มันช่างไม่มีสิ้นสุดยิ่งนัก

 

 

“ต้องการรูปทรงแบบไหน ขนาดเล็กใหญ่ยังไงคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม หยกชนิดเดียวกันแต่ขนาดไม่เท่ากัน ราคาก็ย่อมแตกต่างเป็นธรรมดา

 

 

“เอ่อ…” จางจิ้นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดออกมา ”คุณซีเหมินจินเหลียน เดี๋ยวผมกลับไปหาคนร่างแบบ พร้อมกับบอกลักษณะและขนาดส่งให้คุณพร้อมกัน คุณว่าอย่างไรครับ? คุณบอกหมายเลขแฟกซ์กับผมแล้วกัน”

 

 

“ตกลงค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบตกลง ของแบบนี้จางจิ้นคงอยากจะทำให้เป็นทรัพย์สมบัติสืบทอดของตระกูล คงจะทำแบบลวกๆ ไม่ได้ ส่วนเรื่องการหาคนมาวาดแบบให้ เธอย่อมเข้าใจดี

 

 

เมื่อส่งจางจิ้นกลับไปแล้ว อารมณ์ของซีเหมินจินเหลียนก็สดชื่นขึ้นมา ขายกำไลสองวงเงินสดที่ได้มาย่อมเพิ่มขึ้นอีกร้อยล้าน ถ้ายิ่งขายขลุ่ยหยกและดอกบัวสีแดงออกไป คิดๆ เงินที่กำไว้ในมือคงจะพอแล้ว

 

 

“เสี่ยวป๋าย ตอนเย็นพวกเราออกไปกินข้าวฉลองกันสักหน่อยเป็นอย่างไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม

 

 

“อืม ผมก็กำลังคิดอยู่เลยครับ…” จ่านป๋ายยิ้ม ”ตอนนี้ผมไม่มีพรสวรรค์ในการทำกับข้าวแล้วจริงๆ”

 

 

ส่วนซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ พวกเขาสองคนเคยทำอาหารตามสูตรก็แล้ว แต่สิ่งที่ออกมาถึงจะไม่ได้ดำไหม้เกรียมจนกินไม่ได้ แต่รสชาติก็ไม่อร่อยคล้ายกับตามร้านอาหาร ทำได้แค่แค่นกินอย่างเดียว ถ้าหากมีธุระพวกเขาทั้งสองคนก็จะอยู่ที่บ้านไม่ออกไปไหน แต่ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่อยากที่จะทำร้ายตัวเอง

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

 

“โอเคครับ คุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวผมไปเอารถออกมารอ” จ่านป๋ายยิ้ม

 

 

ระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะขึ้นไปด้านบนนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา จ่านป๋ายเห็นดังนั้น คิ้วก็ย่นขมวดเข้าหากันอย่างไม่ต้องสงสัย ขอให้ไม่มีคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเข้ามาทีเถิด…

 

 

แต่ว่ายิ่งจ่านป๋ายกลัว สิ่งนั้นก็ยิ่งเข้าหา   

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกดปุ่มรับสาย จ่านป๋ายแอบได้ยินว่าเป็นเสียงของหลินเสวียนหลาน “จินเหลียน ว่างหรือเปล่าครับ?”

 

 

“ว่างค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบ

 

 

“ผมเข้าไปกินข้าวกับคุณได้ไหม” หลินเสวียนหลานยิ้ม

 

 

“ฝีมือการทำอาหารของฉันกับจ่ายป๋าย เกรงว่าไม่น่าจะอร่อยหรอกนะคะ…” ซีเหมินจินเหลียนสีหน้าอมทุกข์ “ไม่อย่างนั้น เราออกไปกินข้าวข้างนอกกันดีกว่าไหม ฉันเลี้ยงพี่เอง?”

 

 

“ไม่ต้องหรอก ผมไม่อยากออกไปกินข้างนอก พวกเราออกไปซื้อวัตถุดิบกันดีกว่า ผมรับผิดชอบทำอาหารเอง จินเหลียนตอนนี้ผมอยู่ที่ประตูหน้าบ้านของคุณ…” หลินเสวียนหลานยิ้ม

 

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะทำอย่างไร เธอได้เพียงแต่รีบวิ่งไปเปิดประตู ในทางกลับกันจ่านป๋ายก็กัดฟันกรอดอย่างไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วจะมาที่นี่ทำไมกัน เดทที่คิดไว้อย่างดิบดี กลับถูกเขาทำลายลงแบบนี้ แล้วยังจะมาขอร่วมวงกินข้าวด้วย เขาคิดได้ยังไง

 

 

หลินเสวียนหลานใส่เสื้อสูทสีน้ำเงินทั้งชุด แววตาที่แสนอบอุ่นราวกับพระอาทิตย์ตกในฤดูใบไม้ร่วงช่วงแรก เหมือนกับเทพบุตรส่งลงมาให้เกิดก็ไม่ปาน ซีเหมินจินเหลียนมองนิ่งอยู่นาน ในใจมีคำพูดของขงจื้อลอยเข้ามาหนึ่งประโยค ความชื่นชอบในสิ่งสวยงาม เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์…

 

 

คนที่คุณสมบัติเพียบพร้อมขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายต่างยอมรับ เธอไม่ใช่คนบ้า เมื่อเห็นดาราชายหล่อๆ ในโทรทัศน์ก็ยังต้องมีใจเต้นแรงกันบ้าง ยิ่งลักษณะภายนอกของหลินเสวียนหลาน ไม่มีสิ่งไหนเปรียบเทียบได้จริงๆ 

 

 

จ่านป๋ายลอบด่าเขาอยู่ในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ…

 

 

“เป็นไงมาไงถึงว่างมาหาพวกเราได้ล่ะ” จ่านป๋ายยิ้มด้วยสีหน้าชั่วร้าย

 

 

หลินเสวียนหลานสับสน ทำไมถึงเป็นบ้านของเขาไปได้ล่ะ ไหนจะคำว่าพวกเราอีก? บอดี้การ์ดจู่ๆ ก็ตีตนเสมอเจ้านายแล้วหรือ แต่ว่าเขาไม่ใช่ฉินเฮ่า ที่อยู่ๆ จะไปมีเรื่องกับจ่านป๋ายซึ่งๆ หน้า เช่นนั้นจึงได้แต่ยิ้มแล้วพูดออกไปว่า “คิดถึงจินเหลียน ผมก็เลยมาหาน่ะ ช่วงนี้ที่บ้านมีแต่เรื่องวุ่นวายไปหมด…ผมทนดูต่อไปไม่ไหว อยากหาสถานที่เงียบๆ หลบผู้คนสักหน่อย แถมที่นี้ค่อนข้างใช้ได้ หรือว่าคุณจ่านไม่ยินดีต้อนรับเหรอ?”

 

 

ถ้าหากไม่มีซีเหมินจินเหลียนอยู่ข้างๆ ด้วย จ่านป๋ายคงจะไม่พูดคำว่า ‘ยินดี’ อย่างเด็ดขาด แต่นี่เมื่อเห็นท่าทางดีอกดีใจของเธอ บวกกับคำพูดจาสุภาพของเขาที่ทำให้คนตกหลุมรัก บางครั้งก็หมดหนทาง เหมือนกับไม่มีแรงที่จะไปต่อกรได้…

 

 

“ยินดีสิครัล!” จ่านป๋ายหลีกทางและให้เขาเข้ามา

 

 

“จินเหลียน พวกเราออกไปซื้อชากันเถอะ กลับมาผมจะทำกับข้าวให้!” หลินเสวียนหลานถาม “คุณอยากกินอะไร เดี๋ยวผมทำให้คุณกินเอง”

 

 

“คุณทำกับข้าวเป็นเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ จ่านป๋ายก็เหมือนกัน หลินเสวียนหลานทำกับข้าวเป็น แม้ว่าการขับรถของเขาจะสู้ฉินเฮ่าไม่ได้ และยังสู้เขาไม่ได้เช่นกัน แต่เขาคือคุณชายแห่งบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ ย่อมมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ตั้งแต่เด็ก คิดไม่ถึงเขาจะทำกับข้าวเป็น

 

 

“ก่อนที่คุณแม่ของผมจะจากไป ท่านก็เคยสอนผมเป็นวิชาติดตัวเอาไว้ เพียงแต่หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ค่อยมีเวลาได้ลงมือทำ ไม่รู้ว่าฝีมือจะถอยหลังหรือเปล่า ตอนนี้ได้เวลาทดสอบพอดี ยังไงย่านหลานกุ้ยนี้ก็มีตลาดสดอยู่ คงจะดีถ้าซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารทานเองกัน” หลินเสวียนหลานพูด “ถ้าออกไปกินข้าวข้างนอก รสชาติตามร้านอาหารก็มีแต่รสเดิมๆ ร้านอาหารดังตามโรงแรมก็คงไม่อร่อยเท่าตัวเองทำหรอกครับ”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดไม่ถึงว่าหลินเสวียนหลานจะทำกับข้าวเป็นด้วย นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของเธอ ถ้าอย่างนั้นก็ดี! ในเมื่อเขาอยากจะลอง พวกเราก็ให้โอกาสเขาสักหน่อย แถมการที่ให้ผู้ชายหล่อเหลาไปเดินเล่นที่ตลาดสดก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปตลาดสดกันค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางเรียกหลินเสวียนหลาน

 

 

เพราะว่าระยะทางไม่ไกล อีกทั้งยังอยู่ในบริเวณย่านหลานกุ้ย ซีเหมินจินเหลียนจึงพาหลินเสวียนหลานไป อีกทั้งยังตั้งใจมอบหมายหน้าที่ให้จ่านป๋ายออกไปซื้อข้าวสารมาหนึ่งกระสอบ

 

 

หลินเสวียนหลานเตรียมตัวอำพรางตัว จึงหยิบแว่นตากันแดดสีดำขึ้นมาใส่ แว่นตาปิดบังหน้าเขาไว้เกือบครึ่งหน้า แต่ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทีงุ่มง่ามของเขา เสริมกับท่าทางที่ไม่คุ้นเคยกับตลาดสกปรกเปรอะไปด้วยกลิ่นสารพัด เขาไม่รู้เลยว่าจะย่างเท้าเดินต่อไปทางไหนดี เห็นแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา…

 

 

ครั้งหน้า ครั้งหน้าเธอจะพาฉินเฮ่าหรือไม่ก็จ่านป๋ายมาด้วยกัน ให้พวกคุณชายที่ไม่สนใจเรื่องแบบนี้มาลองเห็นโลกอีกใบของชีวิตคนธรรมดา อืม ไม่ใช่สิ เมื่อก่อนจ่านป๋ายก็เคยทำกับข้าว เขาอาจจะเคยมาที่ตลาดนี้แล้วก็ได้ ไม่จำเป็นต้องพาเขามาสัมผัสกับบรรยากาศนี้อีกครั้งแล้ว

 

 

หลินเสวียนหลานกำลังมองซีเหมินจินเหลียนจับจ่ายซื้อวัตถุดิบอย่างหลากหลาย ต่อรองเพื่อราคาหนึ่งเหมากับเจ้าของร้าน ในใจก็รู้สึกประหลาดยิ่งนัก โดยทั่วไปซื้อขายกันด้วยเงินหลักหลายล้าน ไม่เคยเห็นเธอจะต่อรองแบบนี้…

 

 

เขาก็ทำกับข้าวได้จริงๆ แต่เมื่อก่อนเป็นเพราะว่าคนรับใช้ที่บ้านเป็นคนเตรียมของให้ ส่วนหน้าที่ซื้อวัตถุดิบ ไม่ใช่เรื่องของเขาที่ต้องรับผิดชอบ

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทีของเขาแล้วก็หัวเราะ เขาทำกับข้าวเป็นจริงใช่ไหมเนี่ย? ดูเหมือนเป็นคนที่ไม่เคยมาเหยียบตลาดมาก่อนเลย

 

 

ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะรอซีเหมินจินเหลียนเลือกซื้อของทุกอย่างจนเสร็จ หลินเสวียนหลานแสดงความเป็นสุภาพบุรุษช่วยเธอถือถุงเล็กใหญ่ ทั้งสองคนเตรียมตัวจะกลับ เมื่อผ่านร้านค้าก็แวะซื้อของสัพเพเหระ

 

 

“เป็นยังไงบ้างคะ ความรู้สึกในการมาจ่ายตลาดไม่เลวเลยใช่ไหม?” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะคิกคัก

 

 

“ยังพอไหว…” หลินเสวียนหลานยิ้มอย่างกระดากอาย เพราะว่าความคิดไปซื้อของมาทำกับข้าวเป็นความคิดของเขาแท้ๆ นี่จะโทษใครไม่ได้ แต่ว่าตลาดสดทำไมถึงได้ดูน่ากลัวขนาดนี้นะ แม้ว่าเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อน ใช้แว่นกันแดดปิดบังใบหน้า แต่ก็ยังมีป้าคอยมองเขาอย่างไม่ละสายตา มองเขาจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว…

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้เขารับไม่ได้เห็นจะเป็นมีคนพวกหนึ่งใช้โอกาสที่ซีเหมินจินเหลียนจ่ายเงิน ลูบไล้มือของเธอ…เขาก็เกลียดจนอยากจะเอามีดฆ่าหมูมาฆ่าคน

 

 

“งั้น…ถ้ามีเวลาเรามากันใหม่ดีไหมคะ?” ซีเหมินจินเหลียนส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับถามเขาขึ้น

 

 

“อย่า…” หลินเสวียนหลานส่ายหัว “ตลาดสดก็น่ากลัวจริงๆ”

 

 

“น่ากลัว?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “คุณเป็นลูกคุณหนู ถ้าหากคุณไม่ใช่ลูกชายของตระกูลหลิน ก็คงต้องหลีกเลี่ยงสถานที่แบบนี้ไม่ได้” แม้กระทั่งต่อรองราคากับแม่ค้า ประโยคนี้เธอไม่ได้พูดออกไป

 

 

เธอรู้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่มักจะรับไม่ได้กับตลาดสดที่แสนสกปรกเช่นนี้ เมื่อก่อนเธอก็เคยพาหวังหมิงเหยามาด้วยกัน ทั้งๆ ที่ฐานะครอบครัวปานกลาง แต่เขาทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายและรับไม่ได้ ยิ่งคุณชายหลินก็เหมือนกัน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเสนอมา เธอก็คงไม่มีความรู้สึกเลวร้ายเช่นนี้

 

 

หลินเสวียนหลานไม่พูดอะไรต่อ ส่วนซีเหมินจินเหลียนได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดว่า ”ถ้ามีวันนั้น วันที่พวกเราไม่เหลืออะไร ถึงตอนนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำงาน รองรับอารมณ์เจ้านาย โดยสารรถสาธารณะที่แออดัก ไปตลาดสดซื้อกับข้าว…”

 

 

“เพราะอย่างนั้น เพื่อที่จะไม่ต้องมีวันเวลาเหล่านั้น ผมจะพยายาม!” หลินเสวียนหลานแบกของน้อยใหญ่แล้วกระซิบเธอไปว่า ”จินเหลียนผมรู้นะครับ”

 

 

“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขารู้อะไร? เธอก็แค่รู้สึกอะไรก็พูดไปแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยยากจน ความจริงแล้วตอนที่เธอยังเป็นเด็กน้อย แทบที่จะจนกว่าคนจนด้วยกันด้วยซ้ำ

 

 

เธอเคยแออัดเบียดเสียดกับผู้คนบนรถโดยสาร ต่อรองราคากันที่ตลาด ใส่เสื้อผ้าราคาตลาดนัด รองรับอารมณ์ของคนอื่น แต่ชีวิตตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนเมฆหมอกในภวังค์ บางครั้งตื่นขึ้นมา ยังคงคิดไปว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องเช่าหลังเท่ารูหนู ได้แต่กังวลว่าเมื่อไหร่ที่จะถึงเวลาจ่ายค่าเช่า…

 

 

ส่วนตอนนี้นั้นมองโคมไฟแขวนจากคริสตัล สัมผัสเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้ ตกแต่งบ้านด้วยสไตล์คลาสสิก คิดดูยังไงเธอก็เหมือนแค่แขกที่ผ่านมาเยี่ยม ไม่ใช่เจ้าของบ้าน

 

 

“ใส่กำไลราคาเจ็ดสิบล้านมาต่อรองราคาแค่หนึ่งเหมา สนุกมากไหม?” สายตาของหลินเสวียนหลานตกไปอยู่ที่กำไลข้อมือหยกฮกลกซิ่วของเธอพร้อมบ่ายหน้า

 

 

“ใครจะไปคิดว่าเป็นของจริงกัน คนอื่นๆ ก็คงคิดแค่ว่าเป็นแก้วธรรมดาทั่วไป” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม กำไลที่สวยขนาดนี้คงไม่มีใครคิดว่าเป็นของจริงหรอก

 

 

เมื่อกลับไปที่คฤหาสน์ของซีเหมินจินเหลียน หลินเสวียนหลานก็ได้ผ่อนลมหายใจออกมา เขาเห็นจ่านป๋ายนั่งอยู่ที่โซฟากำลังดูโน้ตบุ๊ค เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมาแล้วเลยยิ้มถามไปว่า ”วันนี้ผมจะลองเป็นคุณชายแล้วกัน รอกินก็พอใช่ไหม?”

 

 

“รีบมาช่วยกันสิ คุณยังจะแอบขี้เกียจอีก?” ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี “ฝีมือในการตัดเต้าหู้ของคุณไม่เลวเลย ดูท่าทางแล้วฝีมือในการหั่นผักก็คงใช้ได้เลย”

 

 

หลินเสวียนหลานถอดชุดสูทออกเรียบร้อยแล้วเพื่อเตรียมตัวเข้าครัว จ่านป๋ายกำลังเข้าไปช่วยแต่กลับได้ยินเสียงกดกริ่ง ก็บ่นพึมพำไปว่า ”ป่านนี้แล้วคงจะไม่ใช่ว่ามีใครมาร่วมวงกินข้าวกันอีกนะ?”

 

 

ประตูถูกเปิดออก กลับเป็นลู่เฟยอวี๋และหลินเซียนเอ๋อร์ ยืนสีหน้าเย็นยะเยือกอยู่ที่หน้าประตู