สายตาของจ่านป๋ายจ้องไปยังลู่เฟยอวี๋กับหลินเซียนเอ๋อร์ หลินเซียนเอ๋อร์สวมใส่ด้วยชุดกระโปรงเดรสสีขาวไข่มุก แต่งหน้าโทนสีอ่อนสบายตา หน้าตาละหม้ายคล้ายกับหลินเสวียนหลาน แต่แค่มีความชดช้อยสมบูรณ์แบบมากกว่า
สองพี่น้องตระกูลหลินรูปลักษณ์สวยหล่อจริงอย่างที่ตาเห็น จ่านป๋ายแอบคิดในใจ ส่วนลู่เฟยอวี๋สวมใส่กระโปรงเดรสเช่นกัน เพียงแต่ว่าเป็นสีฟ้าอ่อนปลายกระโปรงค่อนข้างบานฟูฟ่อง ให้ความรู้สึกถึงการแต่งตัวสไตล์จีนโบราณ
นี่น่าจะเป็นสีและทรงกระโปรงในแบบที่หลินเสวียนหลานชอบ จู่ๆ จ่านป๋ายก็เหมือนจะคิดปัญหาอะไรได้ขึ้นมา เมื่อกี้ตอนที่หลินเสวียนหลานมาก็ใส่ชุดสูทสีน้ำเงิน ข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวสลับฟ้า…ดูแล้วเหมือนชุดพิธีการอะไรสักอย่าง
“คุณผู้หญิงทั้งสอง ขับรถมาถึงบ้านที่นี่กลางดึกแบบนี้ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือครับ” จ่านป๋ายยิ้ม ในใจมีความคิดชั่วร้ายปรากฎขึ้นมา หลินเสวียนหลานทำอะไรกันแน่ ทำไมดวงตาของผู้หญิงทั้งสองคนนี้ราวกับจะมีไฟปะทุออกมา?
“หลินเสวียนหลานอยู่ที่นี่ใช่ไหม” ลู่เฟยอวี๋ถามออกมาตรงๆ
“อยู่ครับ!” จ่านป๋ายพูดไปแล้วก็เปิดทางให้เข้ามา “เขาอยู่ในครัวกำลังยุ่งกับการทำกับข้าวอยู่ คุณผู้หญิงทั้งสองคนคงไม่ได้จะมาร่วมวงกินข้าวกับพวกเราหรอกนะ ความจริงผมไม่ค่อยอยากจะต้อนรับเท่าไหร่”
ลู่เฟยอวี๋ไม่ได้ให้ความสนใจกับจ่านป๋าย เธอจูงมือหลินเซียนเอ๋อร์ให้เดินเข้าไปข้างในด้วยกันกับตนแล้วพูดตะเบ็งเสียงให้ดังขึ้น “หลินเสวียนหลาน คุณรีบออกมาเลยนะ!”
หลินเสวียนหลานสวมใส่ผ้ากันเปื้อนเดินออกมาจากในห้องครัว เขารู้ว่าลู่เฟยอวี๋จะต้องมาหาเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำขนาดนี้ “มีอะไร”
“พี่ พี่คิดจะทำอะไรกันแน่?” หลินเสวียนเอ๋อร์ยกชายกระโปรงแล้วเดินเข้าไปหาหลินเสวียนหลาน ขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่ก็รู้ดีแก่ใจว่าวันนี้เป็นวันหมั้นของพี่กับพี่เฟยอวี๋ แต่ทำไมพี่ถึงหนีออกมา?”
ซีเหมินจินเหลียนนั่งอยู่บนโซฟาอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมทั้งกลอกตาชมละครดราม่าที่อยู่ตรงหน้า วันหมั้น? ที่แท้วันนี้ก็เป็นวันฤกษ์งามยามดีระหว่างหลินเสวียนหลานกับลู่เฟยอวี๋ แล้วเขาจะหนีมาหาเธอทำไมกัน
“ฉันรับปากเมื่อไหร่ว่าจะแต่งงานกับลู่เฟยอวี๋?” หลินเสวียนหลานแค่นเสียงเหอะออกมา เขาเคยคุยกับหลินเจิ้งมาก่อนแล้วว่าเขาไม่ยินยอมที่จะแต่งงาน แถมยังพูดเรื่องเลิกอย่างชัดเจนกับลู่เฟยอวี๋แล้ว
“พี่ พี่กำลังพูดอะไรอยู่รู้ตัวหรือเปล่า” หลินเซียนเอ๋อร์ถามอย่างโกรธเคือง “พี่กับพี่เฟยอวี๋หมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กๆ เติบโตมาด้วยกัน วันนี้เรื่องมาถึงขั้นต้องเจรจาเรื่องงานแต่งงาน แถมคุณปู่ก็ป่วยอาการโคม่าหนัก รอคอยที่จะเห็นพวกพี่ลงเอยกันด้วยดี…”
หลินเสวียนหลานส่ายหน้า แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยทะเลาะกับใคร และก็ไม่อยากพูดจาให้มากความด้วย เพราะอย่างนั้นจึงหันหลังกลับเข้าไปในห้องครัว
“หลินเสวียนหลาน คุณหมายความว่ายังไง?” ลู่เฟยอวี๋เดินเข้ามาขวางทางเขาไว้ ที่จริงงานหมั้นไม่ควรจะเรียบง่ายขนาดนี้ แต่เพราะคุณปู่หลินป่วยหนัก การเจรจาของหลินเหวินและตระกูลลู่เลยต้องยืมการแต่งงานของพวกเขาทั้งคู่มาแก้หน้า บางทีถ้าคุณปู่ดีใจจนอาการดีขึ้นมา อาการป่วยอาจจะมีโอกาสฟื้นกลับมา…
ตระกูลลู่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ให้สิทธิในการพูดกับหลินเสวียนหลาน ทั้งสองตระกูลได้ตกลงกันไว้แล้ว ไหนจะหาฤกษ์งามยามดีพร้อมเสร็จสรรพ จัดงานพิธีเล็กๆ กันเองในบ้านตระกูลหลิน นี่ก็เรียกว่างานหมั้นแล้ว
แขกที่มาเยือนก็มีแค่ญาติสนิทมิตรสหายของคนทั้งสองตระกูล แต่ทว่าระหว่างก่อนที่งานจะเริ่ม ลู่เฟยอวี๋เดินหาทั่วบ้านก็ไม่เจอแม้แต่เงาของหลินเสวียนหลาน
ในห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลิน ได้ยินเสียงของญาติมิตรถามไถ่ ในใจของเธอก็ราวกับถูกโจมตีอย่างหนัก ในขณะนั้นไม่รู้ว่าความรู้สึกในชีวิตเป็นอย่างไรกันแน่ ตลอดเวลาเขาเป็นคนที่ทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง แต่ผู้ชายที่สุภาพอ่อนโยนอย่างเขา ทำไมถึงได้หนีไปต่อหน้าแขกมากมาย แล้วทิ้งให้เธอต้องอับอายขายขี้หน้าอยู่คนเดียวแบบนี้? ก่อนเกิดเรื่องก็ไม่เห็นจะทำท่าทางที่ผิดสังเกตอะไร
“ผมจะทำอาหารให้ซีเหมินจินเหลียน” หลินเสวียนหลานมองไปทางลู่เฟยอวี๋ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ทำอาหารให้เธอ?” ไม่ใช่แค่ลู่เฟยอวี๋ที่อยากจะบ้าคลั่ง แม้แต่หลินเสวียนเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ตอนที่คุณแม่ยังอยู่ เขามีทักษะในการเรียนทำอาหารมาไม่น้อย แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาแทบจะไม่ได้จับตะหลิวถือกระทะเข้าครัวเลย อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ถึงคุณปู่จะอยากกินกับข้าวฝีมือเขาแค่ไหนก็ไม่มีทางได้ลิ้มรส
แต่ตอนนี้ไม่คิดเลยว่าเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว เขาจะถลกแขนเสื้อพร้อมสวมเสื้อกันเปื้อน นี่ก็เกินไปแล้ว วันนี้เป็นงานวันหมั้นของเขานะ
ลู่เฟยอวี๋นิ่งงันอยู่เป็นนาน หลินเสวียนหลานก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องครัว เธออยากจะเจอเขาเพื่อที่จะถาโถมอารมณ์เข้าใส่ แต่เธอก็รู้ว่าตามนิสัยของหลินเสวียนหลานนั้นเป็นอย่างไร เขากับหลินเซียนเอ๋อร์ไม่เหมือนกันสักนิด ถึงเธอจะหาเรื่องเขาอย่างไร แต่ปฏิกิริยาของเขาก็นิ่งเงียบไม่พูดจาสักประโยค มองอย่างเงียบๆ อยู่แบบนั้น…
หากอยากเจอเขาเพื่อชวนทะเลาะ แต่มันคงจะง่ายกว่าถ้าไปหาเรื่องทะเลาะกับก้อนหิน
ในห้องครัวมีเสียงของมีดดังออกมา ถ้อยคำสุภาพอ่อนโยนส่งเสียงถามซีเหมินจินเหลียนว่า “จินเหลียน กระดูกหมูนี่จะเอาไปทำต้มซุปหรือว่ากระดูกหมูผัดซอสดีครับ”
“คุณว่ายังไงก็ตามนั้นเลย!” ซีเหมินจินเหลียนยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ไม่รู้ว่าหยิบกรรไกรตัดเล็บมาจากไหน ก่อนจะค่อยๆ ตะไบเล็บของเธอ
“ซีเหมินจินเหลียน สิ่งที่เธอเคยพูดเชื่อถือได้บ้างไหม?” ลู่เฟยอวี๋หันไปค้อนถามเธอ
“เชื่อได้ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้ารับ “คุณลู่เชิญนั่งก่อน ฉันกับคุณหลินเราเป็นเพื่อนกันมาจนถึงตอนนี้ เป็นเพื่อนร่วมธุรกิจ ฉันมีแฟนแล้ว คุณก็รู้ คุณคิดดูสิขนาดงานหมั้นของพวกคุณ เขายังไม่เชิญฉันเลย” สำหรับเรื่องที่ลู่เฟยอวี๋ต้องขายหน้าเพราะคู่หมั้นหายตัวหนีไปจากงานหมั้นนั้น เธอก็รู้สึกเห็นใจ แต่ถ้าหากจัดการเรื่องวันนี้ไม่ดีแล้วละก็ เกรงว่าลู่เฟยอวี๋คงต้องเกลียดเธอไปตลอดชาติแน่ๆ
เวลานี้ วิธีที่ดีที่สุดของเธอคงจะเป็นการทำตัวให้เป็นคนนอก
“คุณลู่น่าจะทราบ ตอนแรกคุณหลินก็เป็นคนแนะนำให้ฉันรู้จักการเดิมพันหยก เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าเข้าจะมากินข้าวสักมื้อ ฉันก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรได้ ใครจะสามารถไล่เขาออกไปได้ตรงๆ กัน จริงไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา บางทีเธอน่าจะไปโน้มน้าวหลินเสวียนหลานให้กลับไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ น่าจะยังทันอยู่
เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองเวลา ก็เห็นว่ายังเร็วไป แต่เมื่อคิดว่าประมาณหกโมงน่าจะถึงเวลางานหมั้น ก็น่าจะยังเพิ่งเริ่มต้น
“เธออย่ามาพูดไร้สาระนะ!” หลินเซียนเอ๋อร์พุ่งตัวไปประจันหน้ากับซีเหมินจินเหลียน ชี้หน้าเธอแล้วพูดว่า “ตั้งแต่ที่พี่ฉันรู้จักสุนัขจิ้งจอกอย่างเธอ เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้ หึ อย่าคิดนะว่าไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องการอะไร ไม่ใช่ว่าเธออยากแต่งงานกับพี่ชายฉันหรอกเหรอ? ตอนวันเกิดคุณปู่ของฉัน เธอก็ส่งของขวัญราคาแพงมาให้ นั่นก็ไม่ใช่เพราะอยากจะประจบคนแก่ๆ อย่างท่านหรือไง?”
“คุณปู่อายุเจ็ดสิบปีแล้ว อีกทั้งยังชอบหยก และหยกชิ้นนั้นก็เป็นหยกที่ฉันได้มาจากการชนะเดิมพัน ราคาไม่เกินหนึ่งหมื่น สำหรับฉันแล้วราคานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ซีเหมินจินเหลียนมองไปยังเธอแล้วส่ายหน้า “คุณหลิน ขอให้คุณรู้ไว้ด้วยว่าฉันมีแฟนแล้ว!”
ใช้จ่านป๋ายมาเป็นไพ่บังหน้า มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
“เขา?” หลินเซียนเอ๋อร์ขมวดคิ้วถาม “เขาไม่ใช่บอดี้การ์ดของเธอเหรอ”
“เซียนเอ๋อร์ เธออย่าทำให้คนอื่นต้องหัวเราะเยาะไปมากกว่านี้เลย!” หลินเสวียนหลานเดินออกมาจากในครัว แล้วมองไปทางหลินเซียนเอ๋อร์ “ประธานใหญ่ของจินติ่งกรุ๊ปอย่างคุณชายใหญ่ตระกูลจ่าน จ่านมู่หรงน่ะเหรอจะมาเป็นบอดี้การ์ดของคนอื่น? บนโลกใบนี้ก็ไม่มีใครเชิญเข้ามาเป็นบอดี้การ์ดได้หรอกนะ”
“ทำไมผมถึงรู้สึกว่า ปากของฉินเฮ่านั้นก็รั่วยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีกนะ?” จ่านป๋ายส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ ฉินเฮ่ารู้พื้นหลังของเขา แต่หลินเสวียนหลานไม่น่าจะค้นหาเจอ
ซีเหมินจินเหลียนสติเลื่อนลอยอยู่นาน ประธานเของจินติ่งกรุ๊ป? คุณชายตระกูลจ่าน? บริษัทประมูลจินติ่ง หรือว่าวันนั้นที่ฉินเฮ่าปล่อยเขาไว้หน้างาน แต่เขาก็เข้าไปได้ นั่นเป็นเพราะว่าเขาเป็นประธานบริษัท
แต่ว่าจ่านป๋ายทำอะไรกัน? สำหรับเรื่องคนดังในตระกูลไฮโซ เธอเข้าไม่ถึงจริงๆ
ไม่นานหลินเสวียนหลานก็พูดประโยคหนึ่งออกมาที่ทำให้ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกอยากจะขว้างถ้วยชาทิ้งซะ “แป้งมันอยู่ไหนเหรอ”
ซีเหมินจินเหลียนฉุกคิด บ้านเธอมีแป้งมันด้วยเหรอ? จ่านป๋ายก็เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน “เหมือนผมจะจำได้ว่าเคยซื้อมา แต่ลืมแล้วว่าวางไว้ที่ไหน ผมไปหาดูก่อนแล้วกัน” ระหว่างที่พูดไปเขาก็เผ่นหนีไปที่ห้องครัว ตั้งอกตั้งใจหาแป้งมันเป็นพิเศษ หลินเสวียนหลานจึงเดินตามเข้าไป
เหลือผู้หญิงสามคนอยู่ในห้องด้วยกัน บรรยากาศภายในห้องรับแขกก็เงียบสงัด ไม่มีใครยอมปริปากพูดอะไรออกมา
ถ้าหากจ่านป๋ายเป็นคนธรรมดา ลู่เฟยอวี๋อาจจะไม่เชื่อคำพูดของเธอ แต่ถ้าจ่านป๋ายเป็นจ่านมู่หรง ประธานใหญ่ของจินติ่งกรุ๊ป คุณชายจ่านป๋ายอย่างที่ว่า ซีเหมินจินเหลียนคงจะไม่ได้พูดจาหาข้ออ้าง ไร้สาระหรอก
ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายอยู่ด้วยกัน นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้
เรื่องที่เธออยากจะหาเรื่องทะเลาะกับซีเหมินจินเหลียน คงทำได้แต่ระบายความอัดอั้นภายในใจ ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นคนบ้าไร้เหตุผล เธอมีแฟนและอยู่ด้วยกันกับแฟน แถมแฟนยังอยู่ข้างกายตลอด…
หลินเสวียนหลานเป็นแค่เพื่อนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นแขกที่บ้านของเธอ เธอเลยไม่มีเหตุผลที่จะหาทางไล่เขาออกไป
แต่ว่า เธอควรจะทำยังไง? จะให้ญาติมิตรเพื่อนสหายหัวเราะเยาะเธออย่างนี้เหรอ คู่หมั้นหายในงานหมั้น …
ส่วนหลินเซียนเอ๋อร์ที่ถูกลู่เฟยอวี๋บังคับให้มา เมื่อรู้ว่าจ่านป๋ายคือจ่านมู่หรงก็ได้แต่ยืนทื่ออยู่ตรงนั้น จนกระทั่งจ่านป๋ายเดินเข้าไปในห้องครัว เธอก็ยังเหม่อลอยไม่ได้สติกลับมา
ลู่เฟยอวี๋หันหลังเตรียมตัวเดินออกไปข้างนอก
ในความมึนงงของหลินเซียนเอ๋อร์ก็ได้แต่รีบวิ่งตามเธอไป “พี่เฟยอวี๋…พี่จะไปไหน”
“ฉันจะกลับบ้าน!” หน้าของลู่เฟยอวี๋เต็มไปด้วยไอร้อนผ่าว หรือว่าคนอย่างเธอลู่เฟยอวี๋จะไม่ได้แต่งงานแล้ว? แม้แต่ตายตามเขาไปก็คงเป็นไปไม่ได้?
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่บ้านทำยังไงดีล่ะคะพี่” หลินเซียนเอ๋อร์ค้างอยู่นาน ลู่เฟยอวี๋ก็จะกลับบ้าน อย่างนั้นงานหมั้นคืนนี้จะเป็นอย่างไรต่อ?
“นั่นเป็นเรื่องของที่บ้านเธอ เกี่ยวอะไรกับฉัน?” ลู่เฟยอวี๋แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น ทิ้งหลินเซียนเอ๋อร์เอาไว้แล้วหมุนตัวเดินจากไป
หลินเซียนเอ๋อร์ยืนทื่ออยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เมื่อซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทีว่าพวกเธอทั้งสองคนกำลังจะกลับ จึงเดินไปทางห้องครัวเห็นจ่านป๋ายกำลังช่วยหั่นผัก ส่วนหลินเสวียนหลานใส่ผ้ากันเปื้อนพับแขนเสื้ออยู่ ท่าทางราวกับเป็นเชฟอย่างแท้จริง
“พี่หลิน คุณลู่กลับไปแล้ว แล้วพี่ไม่กลับเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียน
“กินข้าวเย็นกันก่อน รอให้ผมตุ๋นซุปให้เสร็จก่อนนะ คุณไม่ต้องไล่ผม เดี๋ยวผมก็ไป วางใจเถอะ” หลินเสวียนหลานเงยหน้าขึ้นมายิ้ม “ในเมื่อคุณทำกับข้าวไม่เป็น ก็ออกไปรอข้างนอกเถอะ ไม่ต้องช่วยอะไรหรอก”
“แล้วญาติพี่เพื่อนพี่ที่อยู่ที่บ้าน พี่จะปล่อยเขาไว้อย่างนั้นเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างฝืดฝืน