บทที่ 4 บทที่ 44 กลายร่างเป็นปีศาจ

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 44 กลายร่างเป็นปีศาจ โดย Ink Stone_Fantasy

 

“สองร้อยห้าสิบล้าน!!”

“เจ้าบ้า!มีการประมูลอย่างนี้ที่ไหนกัน!”

“หรือคุณไม่รู้ ดูจากตอนนี้แล้ว ภาพวาดที่ตกลงขายในราคาสูงที่สุดในโลกมีเพียงภาพวาดของปิกัสโซที่ถึงหลักหนึ่งร้อยล้าน แถมยังเป็นเงินดอลล่าร์ด้วย!”

นี่เป็นราคาที่สูงกว่าการประมูลในครั้งนั้นถึงสองเท่าเลย คนที่พูดรับราคานี้ไม่ได้จริงๆ

ทว่าคนส่วนน้อยกลับรักษาอาการนิ่งเงียบไว้ ราวกับว่ากำลังลังเลอยู่

ตอนที่เอดการ์เกือบจะตะโกนนับครั้งที่สาม จู่ๆ ก็มีคนกัดฟันกรอด พูดอย่างเด็ดขาดว่า “สองร้อยห้าสิบเอ็ดล้านยูโร!”

“สองร้อยหกสิบล้านยูโร”

เยฟิมใช้น้ำเสียงนิ่งอย่างที่เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน เขาเอ่ยตัวเลขที่เกือบจะเกินลิมิตของเขาออกมาอย่างช้าๆ ทำไมเขาต้องควักเงินก้อนโตขนาดนี้ด้วย? เขาน่าจะเอาเข้าบัญชีต่างหาก! แต่ตอนนี้กลับต้องควักเงินเสียเอง!

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เขารู้อยู่แก่ใจว่าภาพนี้เป็นของปลอม! แต่ที่ซวยยิ่งกว่าคือ…ภาพวาดของแท้อยู่ในมือเขามานานแล้วเช่นกัน

“ถือว่าคุณแน่มาก! แต่หวังว่าคุณจะได้มาเก็บสะสมจริงๆ!ราคานี้คุณไม่มีทางขายต่อได้หรอก! อย่าลืมว่าของนี่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย!” คนนั้นสบถออกมา

แต่เยฟิมที่คิดแต่จะรีบจัดการให้เสร็จๆ ไป ไม่คิดจะพูดให้ร้ายอะไรอีกฝ่ายลับหลัง ก็ลุกขึ้นยืน แล้วเอดการ์ก็เปล่งเสียงพูดประโยคสุดท้าย ‘สองร้อยหกสิบห้าล้านยูโร ครั้งที่สาม…ตกลงขาย!”

ได้ยินคำว่า ‘ตกลงขาย’ สองคำนี้ นอกจากรู้สึกปวดใจแล้ว เยฟิมกลับรู้สึกโล่งอกอย่างน่าประหลาด

“คุณผู้ชายท่านนี้ กฎของพวกเราคือจ่ายเงินก่อน แล้วค่อยรับของครับ” เอดการ์พูดอย่างเนิบช้า “คุณวางใจได้ โดยเฉพาะต่อหน้าแขกมากมายขนาดนี้ ตระกูลดีคาปี้ของพวกเราไม่ใช้อำนาจเหนือกฎหมายทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงหรอกครับ”

“ก็หวังว่า” เยฟิมหัวเราะ “ไม่ให้จ่ายเช็ค แต่ให้โอนตรงจากบัญชีธนาคารออนไลน์เลยสินะ”

พูดไปเขาก็ล้วงรหัสไวไฟออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

จ่ายสองร้อยหกสิบล้านยูโรเพื่อซื้อภาพที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นของปลอม เขาคิดว่าตัวเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!

“โอนเข้าบัญชีมาเรียบร้อยแล้วครับ”

เอดการ์เดินมากระซิบข้างๆ หูยูริ

จากนั้นยูริก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วถือภาพเดินไปตรงหน้าเยฟิม พร้อมส่งภาพให้ถึงมือเขา “ถือให้ดีนะครับ ถ้าหล่นขึ้นมาจะไม่มีภาพจริงอีกแล้วนะครับ”

“ไม่ต้องมาเตือนผมหรอก” เยฟิมพูด

แต่ในตอนนั้นเอง ยูริก็ยื่นมือไปถอดหน้ากากค้างคาวบนใบหน้าเยฟิมอย่างรวดเร็ว

“นี่คุณจะทำอะไร!” เยฟิมตกใจ รีบถอยหลัง

ยูริกลับหรี่ตาเฉย พูดเสียงเรียบเฉยว่า “ไม่มีอะไร แค่อยากให้แขกทุกคนที่มาได้รู้จักคุณเท่านั้นเอง ว่าสุดท้ายแล้วใครได้รับภาพวาดล้ำค่านี้ไปกันแน่ จะได้ร่วมแสดงความยินดีพร้อมกันก็แค่นั้น ยินดีกับคุณด้วยนะครับ”

พูดไปยูริก็ยื่นมือออกมา

“แก…”

สีหน้าเยฟิมดูไม่พอใจทันที เพราะเขาได้ยิน ‘เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาแขก!’ อย่างชัดเจน

“เอ๊ะ นี่ไม่ใช่เยฟิมเหรอ? เศรษฐีใหม่คนนั้นที่มาจากเหมืองถ่านหินรัสปาสกาย่านี่…”

เห็นชัดเลยว่ามีแขกบางคนจำเขาได้แล้ว

เยฟิมรู้ดี น่ากลัวว่าไม่เกินวันนี้ สังคมผู้ทรงอิทธิพลทั่วทั้งมอสโกจะรู้ว่าภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ อยู่ในมือเขา

แต่เขาก็ไม่คิดจะก่อเรื่องที่นี่ เขาจับมือยูริอย่างไร้อารมณ์ แต่กลับออกแรงมากเป็นพิเศษ แถมยังกัดฟันพูดเสียงทุ้มต่ำ “ผมประมูลภาพได้แล้ว คุณยังจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?”

“ลูกไม้?” ยูริส่ายหน้า หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่มีลูกไม้อะไรนี่ครับ ผมแค่อยากให้คุณเยฟิมรับภาพวาดนี้ไปเท่านั้นเอง…และคุณก็ไม่ใช่ F&C ที่ใครๆ จะแสร้งเป็นได้ตามอำเภอใจอะไรแบบนั้น”

“แกแน่มากนะ”

เยฟิมแสร้งยิ้ม หลังจากนั้นก็ถือภาพวาดหันไปมองลูกน้องตนเอง แล้วกัดฟันพูดว่า “พวกเราไป!”

เยฟิมเดินนำลูกน้องเปิดประตูห้องนี้ออกไป บรรดาแขกที่เหลือถึงแม้จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆแต่ถ้านี่เป็นปัญหาระหว่างเยฟิมเศรษฐีใหม่เหมืองถ่านหินรัสปาสกาย่ากับไอ้บ้าค้าอาวุธเถื่อนตระกูลดีคาปี้ ก็ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งด้วยสักเท่าไร

“ทุกท่านครับ ผมให้คนเตรียมสุราและอาหารชั้นเลิศไว้ให้แล้ว แม้ว่าภาพจะประมูลขายไปแล้ว แต่ว่า…” ยูริยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ให้พวกเราได้จัดงานเลี้ยงเต้นรำชดเชยเมื่อหลายวันก่อนด้วยเถอะครับ”

แต่ในความเป็นจริง คนส่วนมากไม่ได้อยากอยู่ต่อ…คนที่อยู่ต่ออาจเพียงแค่คิดจะทำความรู้จักตระกูลดีคาปี้เท่านั้น ถึงอย่างไรมีมิตรเพิ่มมาคนหนึ่ง ก็ดีกว่ามีศัตรูเพิ่มมาคนหนึ่ง

สังคม ไม่ว่าจะในมุมสว่าง หรือในมุมมืดก็ต้องรู้จักเลือกสร้างสัมพันธ์กับผู้คน

“สองร้อยหกสิบล้านยูโร จิ๊ๆ” ตอนนี้เวร่าที่ดูงานประมูลจบแล้วก็จัดชายกระโปรงตนเอง พูดด้วยเสียงเรียบว่า “ราคาสูงมากแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะพวกคุณถึงไม่อยากให้งานประมูลเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้น”

ถ้ารู้ว่าจะได้ราคาขนาดนี้ล่ะก็ หากเป็นเธอ เธอก็จะไม่ให้งานประมูลเกิดเรื่องผิดพลาดเหมือนกัน…เธอไม่ได้กระหายอยากได้เงินทองอะไรมากมาย แต่เธอก็ยอมรับว่า เงินทองเป็นอะไรที่ไม่เลวเลย ไม่มีใครรังเกียจว่ามันน้อยได้หรอก

คำพูดที่ว่าไว้หลังจากเงินมากพอระดับหนึ่งแล้ว เงินทองก็จะไม่ใช่เงินทองอีกต่อไป แต่เป็นแค่ตัวเลขธรรมดาๆ เท่านั้น ขอแค่มีกินมีใช้ก็พอแล้ว…คนที่พูดแบบนี้ก็แค่กำลังหลอกลวงประชาชนเท่านั้นเอง

ลองให้คนพวกนี้ไปใช้ชีวิตลำบากในสลัมดูสักหน่อยสิ? จากความหรูหราไปสู่ที่โกโรโกโส พวกเขาคงได้กลืนคำพูดของตนเองลงคอไปทั้งหมด

“คุณเวร่าจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อไหมครับ” เจ้าของร้านลั่วถามกลับ โดยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีกเรื่องเลย

“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบอยู่ร่วมกับพวกสร้างภาพ” เวร่าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตอนนี้ฉันยังไม่ได้ทำลายงานประมูลของพวกคุณ ฉันไปแล้วไม่ดีหรือไง?”

เธอพูดจริงทำจริง หลังจากพูดจบก็ลากวิคก้าเดินออกไป

แต่ที่ต้องรู้คือ ก่อนที่เวร่าจะหลบพ้นสายตาของคนคนนี้ไปได้ เธอรู้สึกกลัวจนตัวสั่นระริก เพราะสายตาที่มองด้านหลังของเธอราวกับงูเหลือมตัวหนึ่งที่จ้องจะกลืนกินคนอย่างไรอย่างนั้น

เธอเหงื่อชุ่มไปทั่วเรือนร่างโดยไม่ทันรู้สึกตัว

ในที่สุดหลังจากที่รถแล่นมาจอดแล้วเวร่าก็เดินขึ้นรถไป เธอกุมหัวใจตนเองเอาไว้แน่นทันที หอบหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับโรคหืดหอบกำเริบ

“เวร่า คุณ…” วิคก้ามีสีหน้าร้อนใจทันที เขารีบร้อนควานหาขวดเล็กๆ อันหนึ่งในลิ้นชักตรงที่นั่งข้างคนขับ แล้วเทเม็ดยาเล็กๆ จำนวนหนึ่งออกมา

“จะกินเยอะไปไม่ได้…” เวร่ากลับผลักมือวิคก้าออก พยายามอดทนอย่างสุดความสามารถต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายจนเธอรู้สึกทรมาน “วันนี้ฉันแค่ใช้สมองหนักไปหน่อย…พักสักเดี๋ยวก็คงหาย รีบไปกันเถอะ…อาศัยช่วงที่ยังไม่มืด…คืนนี้พระจันทร์จะเต็มดวง…”

ห้องใต้ดินของคฤหาสน์…ในห้องใต้ดินที่วิคเตอร์และเยียร์เกอร์ถูกขังไว้

เยียร์เกอร์พยายามคิดอย่างหนักว่า ควรจะทำอย่างไรให้ตนเองหนีพ้นจากสถานที่เฮงซวยแบบนี้ได้ และในตอนนั้นเอง ประตูห้องใต้ดินก็เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง

แต่คราวนี้ คนที่เปิดประตูก็ไม่ใช่คนมาส่งอาหาร…และไม่ได้มาแค่คนเดียวด้วย

พวกเขาเดินมาข้างๆ วิคเตอร์และปล่อยวิคเตอร์เสียอย่างนั้น แต่ขณะเดียวกันก็คุมตัวเขาไว้แน่น

วิคเตอร์ขมวดคิ้ว พูดเสียงเข้มว่า “พวกคุณคิดจะพาผมไปที่ไหนเนี่ย อีกอย่าง พวกคุณรู้ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่? นี่พวกคุณจะท้าทายตำรวจมอสโกอย่างพวกเราแบบโจ่งแจ้งเลยหรือไง!”

แต่พวกเขาเหมือนคนเป็นใบ้ ไม่คิดจะตอบคำถามวิคเตอร์สักคำ แค่คุมตัวเขาออกไปจากที่นี่อย่างป่าเถื่อน

พวกเขานำตัววิคเตอร์มาตรงหน้าเจ้าของคฤหาสน์คนปัจจุบัน ก่อนกดตัวเขานั่งลงตรงหัวโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านหนึ่ง

ส่วนยูริก็นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะและกำลังหั่นสเต็กเนื้อในจานอยู่

“ใจร่มๆ หน่อยคุณตำรวจ” ยูริเคี้ยวเนื้อชิ้นเล็ก จิบเหล้าหนึ่งอึก ก่อนยิ้มแล้วพูดว่า “ผมไม่ได้คิดจะทำร้ายคุณ”

“งั้นเหรอ? กักขังตำรวจเกินสี่สิบแปดชั่วโมง นี่คุณกำลังทำผิดกฎหมายอยู่นะ” วิคเตอร์หัวเราะเยาะ

ถึงแม้ว่าสถานการณ์ของเขาในขณะนี้ค่อนข้างย่ำแย่ แต่กลับมีคนพาเขามาที่โต๊ะอาหารนี่ ซึ่งโต๊ะอาหารแสดงให้เห็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป บางทีอาจเป็นเรื่องที่พอจะเจรจาตกลงกันได้

เขาต้องทำตัวเข้มขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงจะเป็นต่อในการเจรจาที่จะเกิดขึ้นได้

“ผิดกฎหมาย?” ยูริส่ายหน้า เขาประสานมือทั้งสองไว้ด้วยกัน พูดด้วยสีหน้าเคารพว่า “คุณวิคเตอร์เข้าใจผิดแล้วครับ ผมคิดว่าผมเป็นพลเมืองดีคนหนึ่ง ส่วนเพราะอะไรนั้น? ย่อมเป็นเพราะว่าต่อไปนี้ผมจะบอกเบาะแสตามหาภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ กลับมาไงครับ”

“อะไรนะ?” วิคเตอร์ขมวดคิ้ว…จู่ๆ เขาก็เดาไม่ได้ว่าหมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่

ฉับพลันนั้นยูริก็ตบมือ

เอดการ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเขาตลอดก็หันหน้าเดินออกไป แล้วเปิดโปรเจคเตอร์ในห้องรับแขกอย่างเนิบนาบ

“ดูสิ ในนี้มีเรื่องสนุกๆ ด้วยนะครับ” ยูริยิ้มพูด

วิคเตอร์พยายามควบคุมอารมณ์ไว้อย่างมาก แล้วดูภาพที่ฉายจากโปรเจคเตอร์ เริ่มแรกเขาได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

“อะไรนะ? คุณอยากให้ผมประมูลภาพมาให้ได้?”

“หญิงสารเลวนั่น…หักหลังฉันจริงๆ ด้วย!”

จู่ๆ ภาพก็ตัดไป ภายในห้องที่ผู้คนมากมายสวมหน้ากาก ภาพยังคงฉายแค่ชายที่สวมหน้ากากค้างคาวคนนั้น

เสียงของเขา

“…สองร้อยห้าสิบล้านยูโร ใครให้ราคาสูงกว่านี้ก็เอาภาพไปเลย!”

จนกระทั่งถึงภาพเหตุการณ์สุดท้าย หน้ากากค้างคาวที่ชายคนนี้สวมอยู่ก็ถูกถอดออก และในที่สุดก็เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา

“นี่…เยฟิม?” วิคเตอร์ขมวดคิ้วอย่างเสียไม่ได้

ที่เขารู้จักเยฟิมไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ…เขายังเป็นนักการเมืองอีกด้วย

“คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”

“ผมจะให้หลักฐานพวกนี้กับคุณ หากคุณช่วยผมทำลายชื่อเสียงเยฟิมให้ย่อยยับ คุณก็จะหาภาพที่สูญหายไปได้เหมือนกัน จัดการครั้งเดียวก็ได้ความสำเร็จยิ่งใหญ่”

วิคเตอร์หัวเราะเยาะพูดว่า “คุณคิดจะยืมมือผมช่วยคุณขุดรากถอนโคนเยฟิม? คุณคิดว่าผมจะทำเรื่องสกปรกกับคุณงั้นเหรอ? ผมช่วยคุณ ก็ไม่ต่างกับจับสารเลวคนหนึ่งแล้วปล่อยให้สารเลวอีกคนลอยนวลน่ะสิ!”

“ถ้าอย่างนั้น ผมเกรงว่าคุณวิคเตอร์ หรือแม้กระทั่งคู่หูของคุณคงออกจากคฤหาสน์นี้ยากแล้วล่ะครับ…” ยูริพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย “อ้อ จริงสิ คุณวิคเตอร์ คุณมีครอบครัวไหม? แบบพ่อแม่ ลูกเมีย อะไรแบบนี้?”

ป้าบ!!

สองมือวิคเตอร์ตบลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ เขาลุกขึ้นยืนทันที แต่โดนชายสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาจับเขากดให้นั่งลงอย่างป่าเถื่อน

จนเขาต้องขบกรามแน่นแล้วพูดว่า “แก ไอ้สารเลว!!!”

“ไม่ใช่ครับ…” ยูริส่ายหน้า พูดเสียงเบาๆ “ผมก็แค่คนสิ้นหวังที่กลายเป็นปีศาจเท่านั้นเอง…”