ตอนที่ 589 เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน / ตอนที่ 590 ตัวอย่างความเจ็บปวด

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 589 เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน

 

 

“นายเริ่มลงมือแล้วใช่ไหม” สวีอันหรานได้ยินมาจากผู้ช่วยของเหยียนเค่อว่าชายหนุ่มให้เริ่มแผนการเร็วกว่าเดิมจึงอยากถามให้แน่ใจ

 

 

เหยียนเค่อพยักหน้า “ช่วงนี้โดนโจมตี พี่ชายฉันเริ่มลงมืออีกแล้ว ร่วมมือกับคนอื่น เป็นอันตรายต่อ YAN”

 

 

“นายยอมรับว่าทำไปเพื่อจะได้ซย่าเสี่ยวมั่วมาเร็วๆมันจะตายหรือไง”

 

 

เป็นผู้ชายที่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ แต่ก่อนให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองชอบซย่าเสี่ยวมั่วแต่ตอนนี้ยอมรับออกมาแล้ว แต่ทำเรื่องต่างๆไปตั้งมากมายกลับไม่ยอมรับเหตุผลที่สำคัญที่สุดเสียนี่

 

 

“ฉันทำไปเพื่อปลอบใจตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้ซย่าเสี่ยวมั่วมาแต่ก็ยังได้ประโยชน์อย่างอื่นอยู่ นายต้องเปิดโปงฉันขนาดนี้เลยหรือไง” เหยียนเค่อไม่สบอารมณ์ ทำไมคนคนนี้ชอบเอามีดมาปักที่ใจเขาอยู่เรื่อย

 

 

สวีอันหรานหัวเราะ “ขอโทษที ฉันตามไม่ทัน คราวหลังจะไม่ทำแล้ว”

 

 

เหยียนเค่อกลอกตามองเพื่อน “ต่อไปฉันก็จะไม่ให้นายมีโอกาสแบบนี้อยู่แล้ว”

 

 

ด้านนอกเริ่มจุดดอกไม้ไฟ ดอกไม้ไฟเป็นประกายอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ามืดครึ้ม มีรูปแบบหลากหลายมากมาก

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วใช้ดินสอวาดรูปอยู่หลายใบ จากนั้นก็เริ่มลงสี ในใจของเธอไม่ว่าสถานที่ไหนๆก็ต้องมีคนที่กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เป็นประกายระยิบระยับอยู่

 

 

เหยียนเค่อเงยหน้ามองดอกไม้ไฟที่ปล่อยขึ้นฟ้าไปอย่างเหม่ออลอยนิดๆ “สวยจริงๆ”

 

 

“นายจะลงไปจุดบ้างไหม” สวีอันหรานเสนอ

 

 

ตอนนี้ยังไม่เริ่มเปิดงาน ยังลงไปเล่นได้อยู่

 

 

“อือ เรียกฉินซื่อหลานกับเซ่าหมิงฟ่านไปด้วย” เหยียนเค่อนึกอยากสนุก วิ่งลงไปด้านล่างโดยไม่แม้แต่จะใส่เสื้อคลุมทับ

 

 

สวีอันหรานมองตามแผ่นหลังเพื่อนแล้วส่ายหัวยิ้มเบาๆ คนนี้นี้บางทีก็ง้อง่ายบางทีก็เอาใจยากจริงๆ

 

 

คนด้านล่างเห็นนายน้อยของตนวิ่งมาก็ไม่มีใครกล้าจุดต่อ ทั้งหมดเอ่ยทำความเคารพ

 

 

“นายน้อย”

 

 

“อือ” เหยียนเค่อหยิบดอกไม้ไฟออกมาจากกล่องแท่งหนึ่ง “จุดให้ฉัน”

 

 

พ่อบ้านชราอยู่กับผู้เฒ่าเหยียนมาเกือบครึ่งชีวิต เขาก็เห็นเหยียนเค่อเติบโตมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่านายน้อยเป็นคนชอบหาเรื่องเล่นสนุก จึงเอ่ยเตือนอย่างนอบน้อม “นายน้อย มันไม่ปลอดภัยนะครับ”

 

 

“หืม?” เหยียนเค่อไม่ฟัง ตั้งแต่เด็กเขาก็ชอบเล่นดอกไม้ไฟ ทำไมพอโตขึ้นมันถึงกลายเป็นเรื่องไม่ปลอดภัยล่ะ

 

 

คนใช้ไม่กล้าเอ่ยพูดอะไร รีบเอาไฟแช็คไปจุดให้ จัดการกับนายน้อยคนนี้ได้ อีกด้านก็มีวิ่งมาเพิ่มอีกกลุ่ม

 

 

“ลุงฝู” พวกสวีอันหรานเอ่ยทักทายพ่อบ้านชรา แล้วแยกย้ายไปหยิบดอกไม้ไฟแล้วให้คนใช้จุดไฟให้

 

 

ลุงฝูไม่รู้จะพูดกับเด็กเกเรกลุ่มนี้อย่างไรดีแล้ว ตั้งแต่เด็กก็ชอบรวมตัวกันทำเรื่องวุ่นวาย นี่ก็จะอายุสามสิบกันอยู่แล้วยังจะมาทรมานพวกเขาแบบนี้อีก

 

 

“พวกคุณๆระวังกันหน่อยนะครับ อย่าให้เกิดเรื่อง เข้าใจไหมครับ” ลุงฝูมองเด็กพวกนี้เติบโตมา บ่นกำชับแต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใย

 

 

“รู้แล้วครับ รู้แล้ว” พูดรับปากกันทั้งกลุ่ม พอเอามาถืออยู่คนละอันแล้ว มองไปที่แสงสีแดงทีจุด จากนั้นก็อดไม่ได้หัวเราะกันขึ้นมา

 

 

เซ่าหมิงฟ่านมองไปที่เงาของฉินจานที่ถือดอกไม้ไฟแล้วเล่นอยู่ก็รู้สึกไม่ค่อยดี สวีอันหรานหนาวจนจมูกแดงไปหมด เขามองไปทางเซ่าหมิงฟ่านที่โดนบังคับยืนอยู่ตรงนั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองตามสายตาของเซ่าหมิงฟ่านไปจึงเห็นฉินจาน เขาเอื้อมมือไปตบไหล่ชายหนุ่มอย่างจนใจ “พอแล้วน่า วันสิ้นปีมาแสดงอารมณ์เศร้าโศกอะไร”

 

 

เซ่าหมิงฟ่านจ้องไปที่สวีอันหราน “นายจะหาเรื่องหรือไง”

 

 

“อย่าเพิ่งไปสิ เพื่อนกันทั้งนั้น ผ่านมาหลายปีแล้วนายยังปล่อยวางไม่ได้อีกเหรอ”

 

 

ความจริงสวีอันหรานก็รู้สึกไม่ชอบที่เพื่อนยังคงคิดถึงภรรยาของซูอี้อยู่แบบนี้ แค่ลองคิดว่าถ้าเสี่ยวชีของเขาโดนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องคิดถึงอยู่ในใจมาตลอดหลายปีก็คงรู้สึกหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน แต่ดีนะที่เป็นพี่น้องกัน อีกอย่างเซ่าหมิงฟ่านก็แค่ก้าวข้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับฉินจานแล้ว ดังนั้นเขาเลยพยายามใจเย็นช่วยแนะนำทางสว่างให้เพื่อน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 590 ตัวอย่างความเจ็บปวด

 

 

เหยียนเค่อถือดอกไม้ไฟวิ่งเล่นไปทั่วพร้อมกับฉินซื่อหลานตั้งนานแล้ว

 

 

“นายดูเหยียนเค่อ ถ้าเกิดซย่าเสี่ยวมั่วแต่งงานกับฉินซื่อหลาน มันก็คงไม่มาเป็นแบบที่นายเป็นอยู่ตอนนี้หรอก” บางครั้งสวีอันหรานก็รู้สึกชื่นชมท่าที่ที่แสดงออกว่าเป็นปกติของเหยียนเค่อ ทั้งๆที่ในใจรู้สึกเจ็บปวดจะตายอยู่แล้วแท้ๆแต่กลับแสดงออกว่าไม่เป็นอะไรและไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลย

 

 

“ถ้าเป็นเหยียนเค่อล่ะก็ชาตินี้คงไม่พูดอะไรกับซย่าเสี่ยวมั่วอีก คงจะรักษาระยะห่างอยู่อย่างนั้นแล้วก็คงทำท่าทางแบบว่าเธอตาบอดไปแล้วที่ไม่เลือกฉัน” รู้จักกันมานานจนรู้นิสัยกันอย่างถ่องแท้ เซ่าหมิงฟ่านวิเคราะห์ออกมาได้ตรงมาก

 

 

สวีอันหรานยักไหล่ “นั่นน่ะสิ นายก็ควรจะเอาเป็นแบบอย่าง”

 

 

“แต่นายรู้ไหมว่าในใจมันเจ็บปวดขนาดไหน” เซ่าหมิงฟ่านเอ่ยถามเสียงราบเรียบ ไอ้การเก็บกดอารมณ์ไม่แสดงออกให้คนอื่นแบบนี้ยิ่งจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดทรมานเข้าไปใหญ่

 

 

สวีอันหรานที่ถูกถามก็ชะงักไป ขณะที่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี เซ่าหมิงฟ่านก็เอ่ยขัดเสียก่อน “ฉันอารมณ์ดีขึ้นเยอะแล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นปีใหม่แล้ว ฉันก็ควรที่จะปล่อยวางเสียที”

 

 

“หืม?” ตามหลักแล้วเป็นเขาที่พูดแนะนำเซ่าหมิงฟ่านไม่ใช่เหรอ แต่เขากลับโดนถามจนไปไม่เป็นเสียเองส่วนเซ่าหมิงฟ่านก็กลับคิดไดด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น

 

 

เซ่าหมิงฟ่านเดินถือกล่องไปร่วมจุดดอกไม้ไฟกับเหยียนเค่อ สวีอันหรานมองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆเดินห่างออกไปอย่างรู้สึกหดหู่

 

 

ซูอี้ที่ยืนมองภรรยาของตนเองกำลังเล่นดอกไม้ไฟอยู่ข้างๆ หันไปเห็นสวีอันหรานยืนอยู่คนเดียวจึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรไป ยืนอยู่ตรงนี้ทำไม”

 

 

“กำลังคิดอะไรนิดหน่อย” สวีอันหรานจ้องตาชายหนุ่มสองวิ “ทำไมไม่ไปดูเมียนาย”

 

 

“เหยียนเค่ออยู่ด้วย เธอไม่เป็นอะไรหรอก”

 

 

สวีอันหรานไม่รู้จะพูดอะไรต่อหลังจากได้ยินคำตอบของซูอี้ ฉินจานเป็นพี่สาวของฉินซื่อหลาน ถ้าพูดว่าฉินซื่อหลานอยู่ด้วยหล่อนไม่เป็นอะไรหรอก เขาคงไม่รู้สึกอะไร แต่พูดว่าเหยียนเค่ออยู่ตรงนั้นนี่หมายความว่าอะไร

 

 

“เชื่อฉันเถอะ มีแค่เหยียนเค่อเท่านั้นแหล่ะที่จะแย่งเมียฉันไปได้ ดังนั้นนายไม่ต้องกังวลไป” ซูอี้เอ่ยปลอบ

 

 

สวีอันหรานยืนอยู่ตรงนั้นกับเซ่าหมิงฟ่านตั้งนาน ใครก็เดาได้ว่าทั้งคู่คนอะไรกันอยู่

 

 

“เอาเถอะ ฉันไปจุดดอกไม้ไฟดีกว่า” ตนเองก็อุตส่าห์กังวลความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของทุกคนแต่สรุปแล้วไม่มีใครกังวลใจเลยสักคน

 

 

ซูอี้โอบไหล่สวีอันหรานแล้วเดินไปด้วยกัน คนที่โตแล้วอย่างพวกเขาก็มีเรื่องให้พูดคุยกันได้มากเป็นธรรมดา จากนั้นก็ถูกฉินจานยัดดอกไม้ไฟใส่มือเป็นกำ แล้วยืนโบกดอกไม้ไฟอยู่ด้วยข้างพลางคุยไปด้วย

 

 

ฉินจานยืนหัวเราะอยู่กับเสี่ยวฝูเอ๋อร์ “สองคนนั้นตลกจังเลย”

 

 

เสี่ยวฝูเอ๋อร์ใส่เสื้อผ้าหลายชั้นมาก ยืนราวกับก้อนกลมๆอยู่ข้างๆฉินจาน ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็ถูกฉินซื่อหลานเขกเข้าที่หัว “ถ้าหนาวก็รีบเข้าไปด้านใน อย่ามั่วมายืนอยู่อย่างนี้”

 

 

“ไม่หนาว“ เสี่ยวฝูเอ๋อร์ส่ายหัวจนหมวกที่สวมอยู่ส่ายตามอย่างดื้อรั้น เบิกตาใสมองไปยังท้องฟ้า

 

 

ฉินซื่อหลานเห็นแล้วก็คันยิบๆในใจ จนต้องเบนสายตาหนี “ถ้าหนาวก็พาพี่จานของเราเข้าไปข้างในนะ”

 

 

“รู้แล้วค่ะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์เอื้อมมือที่ใส่ถุงมือไปแตะที่แขนของฉินซื่อหลาน “พี่ไปเล่นเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน”

 

 

ฉินซื่อหลานเอามือไปปัดหมวกของหล่อน พอหล่อนโวยวายเสียงดังก็รีบวิ่งไปหาพวกเหยียนเค่อ ฉินจานมองดุทั้งแหย่กันอย่างมีความสุข เอื้อมมือไปลูบหัวเสี่ยวฝูเอ๋อร์ “ฉินซื่อหลานอยู่กับเราแล้วเหมือนเด็กมาก”

 

 

“ที่ไหนกันล่ะ ตอนเขาอยู่กับพี่เหยียนต่างหากถึงจะดูเหมือนเด็ก” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ถอยหลังไปหน่อยหนึ่งแล้วสะบัดหมวกของตัวเอง แต่ก็ยังทำไม่ได้เสียทีเลยกระโดดถอยหลังไปเรื่อยๆ

 

 

ฉินจานเอื้อมมือไปจะดึงเสี่ยวฝูเอ๋อร์ แต่พอเห็นสวีอิ๋งอิ๋งที่ยืนอยู่ด้านหลังเสี่ยวฝูเอ๋อร์จึงหันหลังกลับไปอีกทาง ฉันใจก็หงุดหงิด ทั้งๆที่ไม่ได้สนิทกันแท้ๆ กลับจะมาตีสนิทด้วย