ถนนหน้าโรงเตี๊ยมเงียบลงในทันที ผู้คนที่เดินผ่านไปมาและพ่อค้าแม่ขายต่างเงยหน้าขึ้น มองไปยังแหล่งกำเนิดเสียงอย่างตกตะลึง พอเห็นเฉินฉางเซิงก็ได้ยินเขาพูดต่อ
“ข้าคือเฉินฉางเซิง ซูหลีอยู่ในห้อง ที่ด้านหลังข้านี่ ใครอยากฆ่าเขา หรืออยากช่วยเขา ก็ให้รีบขึ้นมาไวๆ”
ประโยคนี้เหมือนคำพูดก่อนหน้าอย่างไรอย่างนั้น ล่องลอยอยู่ในทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองสวินหยาง ล่องลอยไปไกลและเร็ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็ต้องลอยออกจากเมือง ไปไกลถึงต้าลู่
สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่หน้าต่าง บนใบหน้าเฉินฉางเซิง ถนนในเมืองสวินหยางเงียบไปอีกสักพัก ก็ถูกเสียงดังอลหม่านทำลายลง นำมาซึ่งความวุ่นวายโกลาหล!
เสียงเครื่องลายครามตกแตก เสียงปิดหน้าต่างห้องอย่างแรง เสียงกรี๊ดสลับเสียงร้องไห้ เสียงถามเบาๆ ของเด็กๆ เสียงเอ็ดตะโรด่าว่าของบิดามารดา เสียงควบม้าออกไปไกลอย่างเร่งรีบ กระทั่งเสียงสั่นสะเทือนของประตูเมืองอันหนักอึ้งที่ปิดลงดังแว่วมา!
ระยะเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ พ่อค้าแม่ขายและผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนนของเมืองสวินหยางต่างหายตัวกันไปหมด ถนนยาวว่างเปล่า เหลือเพียงกระดาษห่อขนมที่ปลิวไปมา และฝุ่นควันเล็กน้อยที่อยู่ไกลออกไปนอกเมือง เมืองสวินหยางคล้ายกลายเป็นเมืองว่างเปล่าในพริบตา…ใช่ว่าเมืองที่ว่างเปล่าทุกเมืองคือกับดัก บางครั้งเมืองที่ว่างเปล่าก็คือเมืองร้าง หรืออาจกลายเป็นเมืองร้างในเวลาต่อมา
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองดูถนนเงียบเหงาไร้ผู้คน ฟังเสียงพูดที่ยิ่งห่างไกลก็ยิ่งไม่ได้ยิน เห็นสายตาอันหวาดกลัว มองลอดผ่านช่องประตูที่ปิดสนิท เขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก ไม่เข้าใจ แค่ตะโกนว่าซูหลีอยู่ที่นี่ ทำไมจึงเกิดความเคลื่อนไหวมากมายขนาดนี้? คลับคล้ายเหมือนตนจะทำอะไรผิด หรือประเมินเรื่องนี้ต่ำเกินไป
เมืองสวินหยางปลายฤดูใบไม้ผลิ สายลมที่พัดผ่านตรอกซอกซอยควรอบอุ่นเล็กน้อย แต่ตอนนี้เตาผิงข้างถนนดับลงแล้ว เมื่อไม่มีผู้คน ลมก็เย็นขึ้น เฉินฉางเซิงจึงปิดหน้าต่างตามสัญชาตญาณ พอหันกลับมามอง ก็เห็นซูหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้ พลางถามด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนและเย้ยหยัน “กลัวล่ะสิ?”
เสียงของเฉินฉางเซิงตื่นเต้นอยู่บ้าง “อย่างไรก็เดิมพันดูสักตั้ง”
มือซ้ายของซูหลีจับด้ามร่มกระดาษทองเมื่อไรไม่รู้ มือขวาจับที่เท้าแขนเบาๆ มองตาเขาพลางว่า “เช่นนั้นตอนนี้ ข้าก็บอกเจ้าได้เลยว่า เจ้า…แพ้แล้ว”
……
……
ซูหลีอยู่ที่นี่ คำคำนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองสวินหยางอย่างรวดเร็วเกินคาด แม้กระทั่งเหยี่ยวแดงหรือห่านป่าแดงของกองทัพต้าโจวที่ว่าเร็วสุดๆ มาเอง ก็ไม่สามารถคาบข่าวนี้คืนกลับได้ เมืองสวินหยางเงียบกริบ แต่เบื้องหลังความเงียบกลับเป็นความวุ่นวายอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าจานชามในบ้านคนธรรมดาต้องแตกไปมากน้อยเท่าไร ไม่รู้ว่าคนอีกมากน้อยเท่าไหร่ต้องข้อเท้าพลิก
สถานที่ที่บรรยากาศตึงเครียดสุด ย่อมเป็นโรงเตี๊ยมที่ซูหลีกับเฉินฉางเซิงพักอยู่ และที่นี่ก็เป็นบ่อเกิดของความวุ่นวายเช่นเดียวกัน แขกซึ่งนั่งทานข้าวอยู่ดีๆ วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ส่วนแขกที่พักอยู่ในห้อง หลายคนรีบหนีออกไปตามๆ กันโดยยอมทิ้งสัมภาระไว้ กระทั่งเถ้าแก่กับพวกเสี่ยวเอ้อร์ก็แอบหนีออกไปด้วย
ตอนนี้โรงเตี๊ยมจึงเงียบสงัด เห็นเพียงโต๊ะเก้าอี้ล้มคว่ำระเนระนาด มีเพียงคนผู้เดียวที่ยืนหลังพิงกำแพงตรงโต๊ะเก็บเงิน หลงจู๊ผู้นี้คิ้วตกทั้งสองข้าง หน้าตาดูโทรมๆ ตรงข้ามกับเสื้อผ้าที่ดูสะอาดสะอ้าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียดายงานที่ทำอยู่หรืออย่างไร ถึงได้ดูอาลัยยิ่งนัก จนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมไปจากโรงเตี๊ยม ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ซ้ำคว้าเอาลูกคิดมาดีดเพื่อคิดบัญชีต่อ
เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป ผู้คนย่อมมาอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ทำให้เฉินฉางเซิงดีใจอยู่บ้างก็คือ คนแรกที่มาเป็นคนของนิกายหลวง ซึ่งก็คือ มุขนายกเมืองสวินหยาง หรือมุขนายกแห่งต้าลู่ทางตอนเหนือ เขามีตำแหน่งใหญ่โต มีอำนาจมากมาย เขาชื่อ หัวเจี้ยฟู เป็นญาติสนิทของใต้เท้าสังฆราช ดังนั้นตำแหน่งนี้จึงเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงทั้งในเมืองสวินหยางและเมืองเทียนเหลียง ขนาดเจ้าเมืองสวินหยางหรือจวนอ๋องแห่งนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง แต่วันนี้เขากลับมาที่โรงเตี๊ยมด้วยตนเอง อีกทั้งท่าทีที่แสดงออก ยังทำให้คนบางกลุ่มในเมืองสวินหยางรู้สึกว่าไม่เหมาะสม
หัวเจี้ยฟูมิได้นำอาจารย์ผู้ติดตามที่มากันหลายสิบคนเข้าไปด้านในด้วย เขายืนอยู่ตรงบันไดหิน จัดเสื้อผ้าชุดสีแดงให้เรียบร้อย แล้วเดินเข้าไปเพียงลำพัง พร้อมท่าทีเรียบง่ายยิ่ง กระทั่งเจียมเนื้อเจียมตัวด้วยซ้ำ ถ้าซูหลีไม่บาดเจ็บสาหัส และยังอยู่ยั้งยืนยง การแสดงความเคารพเช่นนี้ย่อมมีต่อซูหลี แต่ตอนนี้ผู้ที่เขาแสดงความเคารพก็คือ เฉินฉางเซิง
ด้วยตอนนี้เฉินฉางเซิงคือหัวหน้าสำนักฝึกหลวง ซึ่งถ้าว่ากันตามคำพูดของหัวหน้ามุขนายกเหมยหลี่ซาแล้ว ภายในนิกายหลวง นอกจากใต้เท้าสังฆราชแล้ว เฉินฉางเซิงไม่จำเป็นต้องทำความเคารพใคร ในทางกลับกัน ผู้อื่นควรทำความเคารพเขาถึงจะถูก เพียงแต่พอเห็นผู้ที่มีฐานะสูงส่งอย่างมุขนายกเสื้อแดงทำความเคารพ เขาก็ยังคงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงเบี่ยงกายออกเล็กน้อยตามจิตใต้สำนึก
หัวเจี้ยฟูยืดตัวตรง เขาไม่มองห้องที่ปิดประตูอยู่แม้แต่น้อย ตั้งใจพูดกับเฉินฉางเซิง
“เราเพิ่งได้ข่าวว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ไม่แน่ใจ วันนี้พอได้เห็นท่านจริงๆ ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าพอข่าวนี้แพร่ไปถึงจิงตู ใต้เท้าสังฆราชก็ต้องยินดีด้วยเช่นกัน รวมทั้งผู้คนมากมายที่เฝ้ารอคอยการกลับจิงตูของท่านอยู่”
ขนาดยังพูดไม่จบ ที่พูดมาก็ตรงประเด็นอย่างยิ่ง ใต้เท้ามุขนายกท่านนี้เชิญให้เฉินฉางเซิงออกจากเมืองสวินหยางอย่างตรงไปตรงมา ถ้าเฉินฉางเซิงเห็นด้วย ตำหนักการศึกษาแห่งเมืองสวินหยางต้องส่งผู้แข็งแกร่งมากมายมาคุ้มกันอย่างไม่ต้องสงสัย หรือแม้แต่หัวเจี้ยฟูก็อาจไปส่งด้วยตัวเอง
เฉินฉางเซิงหันมองห้องที่ปิดประตู เงียบไปสักพัก ก่อนว่า “เจ้ารู้ใช่ไหมว่า ข้าในตอนนี้มีปัญหาเล็กน้อย”
“ข้ายอมรับว่า ท่านผู้นี้เป็นปัญหาจริงๆ กระทั่งอาจเป็นปัญหาใหญ่สุดในหลายร้อยปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำ” หัวเจี้ยฟูเหลือบมองประตูห้อง แล้วว่า “แต่นี่มิใช่ปัญหาของท่าน และมิใช่ปัญหาของนิกายหลวง ถ้าท่านยืนกรานที่จะพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ต่อ ปัญหานี้ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ และใหญ่จนถึงขั้นที่ว่าข้าไม่สามารถแก้ไขได้”
“ปัญหา…เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด?” เฉินฉางเซิงถาม
หัวเจี้ยฟูตอบ “ในไม่ช้า ทางจิงตูส่งข่าวมาว่า คนของสำนักต้นไหวอาจมาถึงพื้นที่ทางเหนือแล้ว ล่าสุดยังไม่สามารถระบุสถานะ แต่มั่นใจว่า นี่คือปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งจริงๆ”
เฉินฉางเซิงเงียบไปสักพัก ค่อยถาม “ข้าพาท่านซูหลีกลับจิงตูด้วยไม่ได้หรือ?”
หัวเจี้ยฟูตอบโดยไม่ต้องคิด “วังหลีมิได้สั่งการมา”
เฉินฉางเซิงเงียบลงอีกครั้ง เข้าใจความหมายของเขา…ตั้งแต่เจอะเจอกับเซวียเหอและนักฆ่าอีกสองคน ถึงตอนนี้ผ่านมาระยะเวลาหนึ่ง ทางวังหลีย่อมต้องรู้ข่าวของเขากับซูหลีแล้ว จึงขอให้คนของตำหนักการศึกษาคุ้มกันเฉินฉางเซิงกลับเมืองหลวง แต่กลับมิได้เอ่ยถึงซูหลี บ่งบอกว่านี่ก็คือท่าทีของวังหลี
“ข้าอาจต้องพักในโรงเตี๊ยมต่ออีกสักระยะ”
“เราย่อมคุ้มครองความปลอดภัยให้ท่าน แต่ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยให้ท่านที่อยู่ในห้อง ถึงแม้ท่านต้องการคุ้มครองเขาก็ตาม ท่านควรเข้าใจว่า นี่เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม”
“เข้าใจ”
เฉินฉางเซิงมองหัวเจี้ยฟูพลางว่า “เจ้าก็ทำเป็นไม่รู้ว่าข้าอยู่ในเมืองสวินหยางก็แล้วกัน”
หัวเจี้ยฟูว่า “แต่ท่านอยู่ในเมืองสวินหยางจริงๆ แล้วท่านจะอยู่ถึงเมื่อไหร่? ทุกคนต่างมีปัญหาที่ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง นับประสาอะไรกับท่านผู้นั้นที่ตัวเองก็คือปัญหา”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู แล้วว่า “ข้าอยากรอให้คนของพรรคกระบี่หลีซานมาก่อน หรือ…คนที่เขาเชื่อใจ ที่สามารถคุ้มครองเขาได้มาก่อน”
หัวเจี้ยฟูคร่ำครวญ “ผู้คนล้วนรู้ว่า แต่ไหนแต่ไรมาซูหลีไม่เคยเชื่อใจใคร…เขาไม่มีสหาย สักคนก็ไม่มี ท่านคิดรอให้คนที่ว่าปรากฏตัว จะต้องรอถึงเมื่อไหร่กัน?”
“ถูกของเจ้า…แต่ข้ามักรู้สึกว่าควรมีคนยอมช่วยเหลือเขาถึงจะถูก”
พูดจบ เฉินฉางเซิงก็หันกาย เดินเข้าไปในห้อง
หัวเจี้ยฟูรีบพูด “ท่านอาจยังไม่รู้ว่า…นอกสวนโจวเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ท่านต้องรีบกลับจิงตูเพื่อแก้ไขโดยด่วน”
เฉินฉางเซิงชะงักฝีเท้า “เรื่องอะไร?”
หัวเจี้ยฟูว่า “เหลียงเสี้ยวเซียวตายแล้ว”
เฉินฉางเซิงคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินข่าวนี้ จึงอึ้งไปสักพัก ก่อนว่า “เขาเป็นสายลับให้พวกมาร ถูกใครฆ่าตาย?”
หัวเจี้ยฟูลังเลเล็กน้อย ก่อนว่า “เขาว่าเขาถูกท่านฆ่าตาย”
เฉินฉางเซิงตะลึงงัน “เขาพูดหรือ? ข้าเป็นคนฆ่าหรือ?”
“แม้ก่อนตายเขาไม่ได้พูดออกมาชัดๆ แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าเขาหมายถึงใคร”
หัวเจี้ยฟูจ้องตาเฉินฉางเซิงพลางว่า “เขาตายด้วยเพลงกระบี่หลีซานกระบวนท่าสุดท้าย ซึ่งในสวนโจวมีเพียงชีเจียนกับท่านเท่านั้นที่เป็นเพลงกระบี่นี้”
เฉินฉางเซิงอึ้ง คิดไม่ออกว่านี่คือเรื่องอะไรกันแน่
หัวเจี้ยฟูทิ้งท้าย “เหลียงเสี้ยวเซียวยังว่าท่านกับเจ๋อซิ่วเป็นสายลับให้พวกมาร เจ๋อซิ่ว…ตอนนี้อยู่ในคุกหลวง”
พอได้ยินคำพูดนี้ เฉินฉางเซิงก็เงียบไปเนิ่นนาน เขารู้ว่าตนต้องรีบกลับจิงตู แต่ตอนนี้เขาจะกลับได้อย่างไรกัน? เขาหันมองห้องที่ปิดประตูไว้ รู้สึกว่า มีปัญหามากมายจริงๆ