เฉินฉางเซิงผลักประตูห้อง แล้วเดินเข้าไปยืนหน้าเก้าอี้ เล่าข่าวที่ได้ยินเมื่อครู่ให้ซูหลีฟังอีกรอบ โดยไม่มีอะไรตกหล่น
ซูหลีเคาะที่เท้าแขนเบาๆ เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “มนุษย์มีแต่ปัญหา เรื่องที่เราต้องทำก็คือแก้ไขปัญหา ปัญหาของเจ้าจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แม้วิธีการที่เหลียงเสี้ยวเซียวใช้สวยงามก็จริง แต่ขอเพียงเจ้ากลับจิงตู ก็แก้ไขได้ และถ้าข้าสามารถกลับเขาหลีซาน ก็ยิ่งแก้ไขได้แน่ๆ”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา ถ้าเหลียงเสี้ยวเซียวคิดใช้ความตายก่อเรื่องบางอย่าง ปัญหานี้ย่อมยากต่อการแก้ไข แต่เขาเป็นคนดังของนิกายหลวง ขอเพียงใต้เท้าสังฆราชยังเชื่อใจเขา ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ส่วนพรรคกระบี่หลีซาน ขอเพียงซูหลีสามารถมีชีวิตรอดกลับเขาหลีซาน แล้วพูดเพียงคำเดียว ใครเล่าจะกล้าสงสัย?
คำพูดของซูหลีฟังดูง่าย แต่แท้จริงแล้วไม่ง่าย เขารวบสองปัญหาให้เป็นปัญหาเดียว เพื่อแก้ปัญหาใหญ่ของเฉินฉางเซิง โดยเฉินฉางเซิงไม่จำเป็นต้องเลือก เพียงคงความคิดก่อนหน้านี้ไว้ก็พอ
“จากนี้ไป เมืองสวินหยางต้องเกิดปัญหาตามมามากมาย ข้าคล้ายคาดการณ์ผิด…เรื่องสำคัญคือ นิกายหลวงไม่ยอมออกหน้า ข้าจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ท่านพูดถูก ดูเหมือนข้าแพ้แล้ว” เฉินฉางเซิงเดินไปยืนข้างโต๊ะ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม รู้สึกลำคอแห้งผาก
ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นสูง แย้มยิ้มพลางพูด “เจ้าน่ะแพ้แน่นอน แต่การตะโกนจนคอแห้งของเจ้าก็ถือว่ามีข้อดีอยู่อย่างน้อยเจ้าก็แก้ปัญหาใหญ่สุดแทนข้าไปแล้ว”
เฉินฉางเซิงวางถ้วยน้ำชาลง ไม่เข้าใจอยู่บ้าง คิดในใจว่าตนทำอะไรลงไปหรือ?
“เจ้าเปิดโปงเส้นทางเร้นกายของข้า ทำให้คนทั้งต้าลู่พุ่งเป้ามาที่เมืองสวินหยาง ตาเฒ่าทั้งหลายที่ต้องการรักษาหน้า ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ลูกศิษย์ลูกหาจากนิกายหลวงมาฆ่าข้าอย่างอุกอาจ” ซูหลีเก็บรอยยิ้ม แล้วพูดต่ออย่างสงบนิ่ง “มิเช่นนั้น มุขนายกเสื้อแดงที่อยู่นอกประตู ตอนนี้ย่อมต้องคิดว่าจะฆ่าข้าอย่างไรดี ดังนั้นอย่างน้อยเจ้าก็ช่วยวังหลีแก้ปัญหาไปอีกหนึ่งเปลาะ”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู ก็พบว่ามีเหตุผล ปัญหาใหญ่ของนิกายหลวงถูกแก้ไขแล้วก็จริง แต่มิได้หมายความว่าเขาจะสามารถแก้ปัญหาที่ตามมาอีกมากมายได้ ก่อนหน้านี้หัวเจี้ยฟูได้แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่า ตอนนี้นิกายหลวงไม่มีทางทำอะไรซูหลีแน่ แต่ก็ไม่มีทางช่วยซูหลีเช่นกัน อย่างมากก็อยู่นิ่งๆ
ตอนเขาคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้นั้น นอกโรงเตี๊ยมพลันเกิดเสียงดังอึกทึกทำลายความเงียบ เขารีบเดินไปเปิดหน้าต่าง เห็นด้านหลังของห้องฝั่งตรงข้ามถนน เกิดฝุ่นควันตลบอบอวล กำแพงบ้านและห้องหับพังทลายไม่หยุด คล้ายสัตว์อสูรขนาดใหญ่กำลังวิ่งมาทางนี้ และคล้ายกำลังจะเกิดแผ่นดินไหว
บรรดานักบวชที่ยืนอยู่นอกโรงเตี๊ยมพากันอุทาน “ท่านอ๋อง…เสด็จ!”
พอได้ยิน เฉินฉางเซิงก็อึ้งเล็กน้อย มองดูฝุ่นควันที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าพื้นห้องสั่นสะเทือน ใจคิด นี่คืออะไรกัน ใครกำลังมาที่โรงเตี๊ยม? ไม่ทันการณ์ เขาพลิ้วกายออกนอกหน้าต่างทันที มาหยุดยืนอยู่บนบันไดหินหน้าโรงเตี๊ยม ขณะหัวเจี้ยฟูวิ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมพอดี จึงมายืนอยู่ข้างกายเขา พร้อมความรู้สึกที่ตึงเครียดผิดปกติ
“ใครมาหรือ?” เฉินฉางเซิงถาม
“รถม้าขนาดใหญ่ของจวนเหลียงอ๋อง” หัวเจี้ยฟูมองดูฝุ่นควันที่อยู่ตรงข้ามถนนในระยะไกลออกไป ขมวดคิ้วน้อยๆ พลางว่า “รถม้าขนาดใหญ่คันนี้ไม่เคยออกจากจวนอ๋องมานับร้อยปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะออกมาได้”
ยังคงเป็นอักษรเหลียงตัวนั้น สรุปแล้วเป็นอักษรเหลียงตัวนั้น
การเดินทางลงใต้ของเฉินฉางเซิงกับซูหลี ทำให้ได้รู้เกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลในแวดวงบำเพ็ญเพียรมากมาย ยิ่งกับคนแซ่เหลียงด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเหลียงเสี้ยวเซียวก็แซ่เหลียง เหลียงหงจวงก็แซ่เหลียง
แซ่เหลียงเคยเป็นแซ่ระดับชาติ ตระกูลเหลียงเป็นเชื้อพระวงศ์ในรัชสมัยก่อน จึงถือเป็นเครือญาติที่เคยสนิทชิดเชื้อกับตระกูลเฉินซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ในปัจจุบันของต้าโจว เมื่อพันปีก่อน แม้คนตระกูลเฉินขึ้นแทนที่คนตระกูลเหลียง ก็ยังให้ความเคารพคนตระกูลเหลียงเป็นอย่างยิ่ง อาจเพราะเคยเป็นญาติสนิทกัน หรืออาจเพราะรู้สึกละอายใจ สรุปแล้วได้มอบสิทธิพิเศษให้ในหลายๆ ด้าน
หลังต้าโจวสร้างชาติ คนตระกูลเหลียงจึงย้ายออกจากจิงตู กลับเมืองเทียนเหลียง โดยถูกแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นอ๋อง แต่คนเคยเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ไหนเลยจะยอมรับชะตากรรมเช่นนี้ จึงคิดอยู่เนืองๆ ที่จะกลับไปรุ่งเรืองเหมือนก่อน เพียงแต่ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ จนตระกูลเหลียงในตอนนี้ นอกจากสายเลือดสูงส่งและเป็นที่เกรงขามของผู้คน ก็ไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินอีก และก็เพราะเหตุนี้ จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ทางเหนือของต้าลู่ได้จนถึงทุกวันนี้
แต่ตระกูลซึ่งเคยปกครองต้าลู่ ย่อมมีผู้สืบสายเลือดที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา พันปีที่ผ่าน จึงปรากฏผู้แข็งแกร่งจากตระกูลเหลียงขึ้นมากมาย จนถึงยุคนี้ ผู้ที่โด่งดังสุดย่อมเป็นท่านอ๋องหนุ่มจากจวนเหลียงอ๋อง นามเหลียงหวังซุน
อย่างที่หัวเจี้ยฟูพูด รถม้าขนาดใหญ่ของจวนเหลียงอ๋องไม่ได้ออกวิ่งมานานแล้ว วันนี้พอออกจากจวน ก็เหยียบบ้านทลายกำแพงมาตลอดทางกว่าจะถึงโรงเตี๊ยม ความเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ บ่งบอกว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ และผู้ที่มีศักดิ์พอที่จะนั่งบนรถม้าขนาดใหญ่ โลกนี้ย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว เหลียงหวังซุน
ก่อนที่ผู้แข็งแกร่งจากสำนักต้นไหวซึ่งเดินทางอยู่ในพื้นที่ทางเหนือจะปรากฏตัว อ๋องท่านนี้น่าจะเป็นปัญหาใหญ่สุดที่ซูหลีกับเฉินฉางเซิงต้องแก้ไข เหลียงหวังซุนมิใช่นามเดิมของอ๋องท่านนี้ เดิมทีอ๋องหนุ่มมีนามว่าเหลียงเจิ้น (เจิ้น เป็นสรรพนามที่จักรพรรดิใช้แทนตนเอง) แต่ผู้คนในเมืองสวินหยางไม่มีใครกล้าเรียกชื่อนี้ ทั่วทั้งต้าลู่จึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเรียกเขาว่า เหลียงหวังซุน
เขาคือผู้แข็งแกร่งลำดับสามในประกาศเซียวเหยา ฉายา คนตรงเหลียงหวังซุน ฉายานี้มาจากนิสัยใจคอที่ตรงไปตรงมา มีสายเลือดสูงส่ง มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรมากสุด เมื่ออ๋องหนุ่มคิดทำอะไร ก็จะทำอย่างตรงไปตรงมา หรือเผด็จการก็ว่าได้ อย่างรถม้าขนาดใหญ่ของจวนเหลียงอ๋องนั้นใหญ่มาก จนไม่สามารถเข้ามาในซอยซึ่งอยู่บนถนนยาวสายนี้ได้ ผู้รับใช้ของจวนเหลียงอ๋องจึงต้องคอยทลายห้อง จากทางเหนือของเมืองมาจนถึงที่นี่ เผด็จการมากจริงๆ
เสียงดังครืนๆ สิ่งก่อสร้างที่อยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามโรงเตี๊ยมพังทลาย ฝุ่นควันตลบอบอวล
ท่ามกลางฝุ่นควัน รถม้าหรูหราขนาดใหญ่คันหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้น
รถม้ากว้างราวสิบจั้ง ยาวราวสิบจั้งเช่นเดียวกัน ฐานของตัวรถทำจากหินดำแวววาวล้ำค่า ไม่รู้ว่าศิลปินท่านใดแกะสลักกลีบดอกไม้ให้หลายร้อยชั้น มองไปเหมือนอาสนะดอกบัว
สองข้างของอาสนะดอกบัวมีเด็กรับใช้ชายหญิงยืนก้มหน้าพร้อมรับคำสั่งอยู่หลายสิบคน
บนอาสนะดอกบัวยักษ์ มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่
คนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา ผมสีดำขลับถูกรวบตึง เสื้อผ้าดูเรียบง่ายทว่าพิถีพิถันยิ่ง ตลอดทั้งร่างดูสูงส่ง นั่งหลังตรงอยู่กลางดอกบัว มือซ้ายจับหัวเข่า มือขวาจับวัชระ ร่างเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย เหมือนรูปสลักอย่างไรอย่างนั้น แววตาก็เหมือนรูปสลักเช่นกัน ไม่แสดงอารมณ์มากมาย จะมีก็แต่ความเย็นชา
คนผู้นี้ย่อมเป็น เหลียงหวังซุน
เขาเปิดประตูบานใหญ่บานหนึ่ง ท่ามกลางอาคารบ้านเรือนหมื่นพันหลังในเมืองสวินหยาง
เพื่อมาเจอภูเขา
จากนั้นก็ผลักภูเขาลูกนี้ลง