บทที่ 43 ปะทะกับด่านสู่พิสดาร (1)
ฟ้าว !
ริ้วแสงจากดาบพุ่งออกไปพร้อมกับแสงเรืองสีแดงฉาน
แม้มันจะไม่ได้สีเด่นชัดอะไรนัก แต่กลับฉาบไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
เมื่อซาเค่อเห็นการโจมตีซัดเข้ามา เขาก็จ้องมันนิ่ง
แข็งแกร่ง !
ดุดัน !
พลังทำลายล้างสูงนัก !
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ? เหตุใดจึงได้ซัดท่าดาบที่ทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้ ?
ทว่าซาเค่อไม่มีเวลาให้ครุ่นคิด เขาพลันสร้างเกราะทรายขึ้นมาขวางไว้ด้านหน้าตน
เผ่าเกล็ดทรายเชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดประเภทดินแต่กำเนิด ใช้วิชาคุมทรายได้ ดังนั้นวิชาทั้งหลายจึงเป็นวิชาทรายเสียมาก ซาเค่อก็เช่นกัน กระบวนท่าแรกที่เขาใช้คือเกราะทรายเหลือง
เกาะทรายดูธรรมดานัก แต่มันกลับขยายขึ้นในพริบตา ทั้งยังมีอำนาจหยุดยั้งการโจมตีอยู่มาก
เกราะทรายไม่ได้หมายจะหยุดการโจมตีทั้งหมด แต่จะทำให้อ่อนกำลังลงต่างหาก ไม่ว่าการโจมตีใดเมื่อปะทะกับเกราะนี้แล้วก็จะช้าลงราวกับถูกโคลนชุ่มดูด และทรายจะค่อย ๆ สลายพลังของมันลง
ทว่าซูเฉินไม่สน ร่างกายเขาลั่นเปรี๊ยะด้วยปล่อยพลังกายออกมาเต็มกำลัง
พลังหลั่งไหลออกมาจากร่างเขาพุ่งไปในอากาศ เกิดเป็นพายุหมุนบ้าคลั่ง
เปลวเพลิงเผาไหม้และกลืนกินเกราะทราย ทำให้ผลของมันลดลงกว่าครึ่ง ในขณะที่ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็ตวัดดาบไม่หยุดมืออย่างไม่ยี่หระ
นับว่าซาเค่อยังมีโชค เพราะเขาไม่ได้พึ่งเพียงเกราะทรายอย่างเดียว
ตอนที่สร้างเกราะทรายขึ้น กล้ามเนื้อของซาเค่อก็แข็งตัวราวกับหิน ทั่วร่างเกิดรอยเกล็ดลามไปทั่ว ราวกับว่าจู่ ๆ ก็มีรูปปั้นหินปรากฏขึ้น ยังผลคล้ายกับภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดของซูเฉิน แต่ใช้วิธีการต่างกัน
“เจ้ามันก็แค่แมลงตัวหนึ่ง !” ซาเค่อคำรามโกรธ ก่อนจะใช้ปล่อยหมัดหินออกไป
ตู้ม !
ดาบหั่นภูผาและหมัดหินเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง เกิดเป็นคลื่นพลังปั่นป่วนกระจายออกรอบทิศ
“อ๊ากกกก !” ซาเค่อแหงนหน้าคำรามเสียงด้วยความเกรี้ยวกราด
ดาบหั่นภูผาสะบั้นแขนเขาขาดทันที
ระหว่างที่แลกกระบวนท่ากันนี้ สุดท้ายเป็นฝ่ายด่านสู่พิสดารที่พ่ายแพ้ไป
แปลกหรือไม่งั้นหรือ ?
ไม่เลย !
ซูเฉินนั้นแกร่งกว่าเมื่อครั้งสู้กับเซินอวิ๋นหงและเว่ยเพ่ยมาก ตอนนี้เขามีประสบการณ์การต่อสู้กับคนด่านสู่พิสดารของมากมายแล้ว
เขาเข้าใจความต่างพลังของด่านสู่พิสดารกับด่านทะลวงลมปราณดี ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ใช้กำลังจะแก้ปัญหาได้ เพราะอย่างไรการทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารได้นั้นจะเพิ่มพลังหลายด้าน พวกเขาจะทรงพลังขึ้น แต่นอกจากพลังแล้ว ทั้งความมุ่งมั่น พลังจิต และความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิด ทุกอย่างล้วนมีเหนือคนด่านทะลวงลมปราณทั้งสิ้น นับว่าคนละชั้นกันโดยแท้
แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเป็นเรื่องกำลังล้วน ๆ ก็นับว่ายากนักที่จะเสมอหรือเหนือกว่าคนด่านสู่พิสดารได้
ในห้องมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ซาเค่อไม่อาจใช้พื้นที่ในการสำแดงพลังได้มากมาย
ซึ่งนั่นเป็นโอกาสของซูเฉิน
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดของซูเฉินนั้นเป็นวิชาเสริมความแกร่งอยู่แล้ว หากพลังของดาบหั่นภูผาถูกเสริมเข้ามา เช่นนั้นในเรื่องกำลังอย่างเดียวเขาก็ไม่เป็นรองใคร อีกทั้งก่อนจะประมือกัน ซูเฉินก็แอบกระดกยาไปทั้งชุด ยิ่งเสริมกำลังมากขึ้นกว่าเดิม เตรียมตัวมาต่อสู้พร้อมพรักเช่นนี้นับว่าหน้าไม่อายเป็นยิ่งนัก
อีกทั้งซาเค่อยังถูกวิชาของจูเซียนเหยา ทำให้พลังโจมตีลดลงราว 2 ใน 10 ส่วน
นับว่าเสียเปรียบอยู่โดยแท้
หากซาเค่อไม่ถูกบีบก็คงแปลกแล้ว
ซาเค่อถูกสะบั้นแขน ร้องคำรามเสียงโหยหวน
ยามคำราม ทรายสีเหลืองก็ไหลเข้ามาล้อมรอบแขนที่ถูกตัดไปของซาเค่อ
เมื่อคนเราขึ้นสู่ด่านสู่พิสดาร พลังชีวิตก็จะแกร่งกล้าขึ้น สร้างความเสียหายถาวรได้ยากมากขึ้น ไม่เพียงแต่จะสามารถบินได้โดยไม่ต้องใช้วิชาใด พวกเขายังฟื้นฟูบาดแผลส่วนมากได้ ทรายเหล่านั้นก็คล้ายกับจะทำเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วมันคือพลังต้นกำเนิดประเภทดินที่กำลังสร้างอวัยวะให้ซาเค่อใหม่ หากเป็นปกติ แขนของซาเค่อก็คงกลับมาใช้ได้ไปแล้ว
เคราะห์ไม่ดีที่มันไม่ใช่เป็นปกติ
ซูเฉินย่อมไม่ปล่อยให้ซาเค่อได้ฟื้นพลังโดยเร็ว
เมื่อตวัดดาบสร้างความได้เปรียบไปแล้ว เขาก็โจมตีอีกครั้ง ส่งเพลิงดำฝ่าเข้ามาอีกหน
จูเซียนเหยาเคยเห็นระเบิดเหยี่ยวเพลิง ก้าวย่างหมอกอสรพิษ ดาบอัสนีบาต และอื่น ๆ ของซูเฉินมาแล้ว เขาจึงไม่กล้าใช้วิชาพวกนั้นอีก แต่ใช้การโจมตีระยะประชิดโดยตรงแทน
เพลิงสีดำนั้นลดขนาดลงแล้วไหลไปตามตัวดาบ
แม้จะเป็นการโจมตีที่ไม่ซับซ้อน แต่ก็รุนแรงและทรงพลังเหนือใคร
ยามต้องประมือกับดาบเป็นคราที่สอง ซาเค่อก็ไม่กล้าปะทะตรง ๆ อีก เขาถอยออกมา บนฟ้าพลันมีสายฝนโปรย พวกทรายกลายเป็นของเหลว จากนั้นรวมกันเป็นก้อน ส่งผลให้ซูเฉินบีบเขาได้ลำบากขึ้น
หากไม่รู้จักฉือหมิงเฟิง เขาก็คงติดหล่มโคลนไปแล้วเหมือนกัน
ทว่าฉือหมิงเฟิงเองก็เชี่ยวชาญทั้งวิชาดินและวิชาน้ำ อีกทั้งที่เชี่ยวชาญวิชาดินเป็นเพราะเขาถนัดการโจมตีระยะไกลแต่ขาดความทรงพลัง เมื่อใช้วิชาประเภทดินมาเสริมทัพก็สามารถช่วยเพิ่มพลังป้องกันและสำแดงกำลังได้มากขึ้น รวมทั้งดินทั้งน้ำเข้าด้วยกันกลายเป็นโคลนเช่นนี้เป็นวิชาถนัดของเขา
ซูเฉินเคยเห็นมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงรับมือได้
“ย่าห์ !” ชายหนุ่มร้องขึ้น ทำให้ลมเย็นยะเยือกที่พัดอยู่รอบกาย เกิดเป็นลมหมุน สร้างเกล็ดน้ำแข็งไปทั่ว นี่คือวิชาที่เขาสร้างให้จีหานเยี่ยน บุปผาเหมันต์หอม !
ในเรื่องการคุมพลังต้นกำเนิดประเภทน้ำ ซูเฉินด้อยกว่าจีหานเยี่ยนมาก พลังเยือกแข็งและความสามารถในการโจมตีมีจำกัด ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดจะใช้มันโจมตี แต่จะใช้ลมหมุนของมันต่างหาก
กระแสลมหมุนพัดปั่นป่วน กวาดเอาทรายกลายเป็นพายุหมุนที่พุ่งเข้าใส่ !
จากนั้นซูเฉินก็ตวัดดาบอีกครั้ง
ท่าดาบครั้งนี้ทรงพลังนัก !
แม้ร่างหินขนาดยักษ์ของซาเค่อจะแกร่งมาก แต่เมื่อพบกับการโจมตีรุนแรงเช่นนี้เขาก็ได้แต่ถอย
ระหว่างที่ถอย ซูเฉินก็รุดเข้ามา
ยังคอยกดดันทุกย่างก้าว !
แม้พลังต้นกำเนิดประเภทดินจะทำให้ซาเค่อฟื้นฟูจากบาดแผลได้ แต่มันก็ทำให้การโจมตีอ่อนแอลงด้วย ซูเฉินจึงหวังฉวยจังหวะนี้ลงมือนั่นเอง
ดังนั้นเขาจึงตวัดดาบรุนแรงออกมาไม่หยุด
เมื่อซาเค่อที่เป็นคนด่านสู่พิสดารถูกคนด่านทะลวงลมปราณบีบให้ถอยไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ ในกายเลยเดือดพล่านด้วยความโกรธจนกลายเป็นไอสังหารหนั่นแน่น
“รนหาที่ตายนัก !”
ว่าจบเขาก็หยิบมุกสีเหลืองอมดำขึ้นมาแล้วสะบัดมันใส่พายุหมุน เช่นเดียวกับคลื่นทรายที่เริ่มไหลออกมาจากมือ ก่อร่างเป็นดาบจากทรายแล้วซัดมันออกไป
ดาบเล่มนี้เหมืนจะสร้างจากวิชา แต่จริง ๆ แล้วมันคือเครื่องมือต้นกำเนิดที่สร้างขึ้นจากมุกพิภพลำดับที่ห้า ดังนั้นจะดูหมิ่นพลังมันไม่ได้
ซาเค่อเดิมทีคิดว่าจะเอาชนะซูเฉินได้ด้วยมือเปล่า ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังจนถึงที่เขาต้องใช้มุกพิภพลำดับที่ห้าเช่นนี้ เมื่อทำการโจมตีอีกครา เขาก็ใช้วิชาโปรด ‘วายุทรายบั่นเศียร’ ออกมาซ้ำ !
เคร้ง !
คลื่นพลังสะท้านสะเทือนเลือนลั่น ซูเฉินไม่อาจทำอันตรายซาเค่อหนักได้ ทว่าความกล้าแกร่งและยามปะทะไม่ถอยสักก้าวเมื่อครู่ก็ทำให้จูเซียนเหยาและซาเค่อตกใจนัก
คนด่านทะลวงลมปราณสู้คนด่านสู่พิสดารในเรื่องกำลังได้เท่าเทียมเลยหรือ ?
แม้จะมีจูเซียนเหยาช่วย และมียาที่ดื่มลงไป ทว่าใครก็ตามที่ได้เห็น อย่างไรก็ต้องตกตะลึง
ถึงกระนั้นก็ยังไม่ถึงขีดจำกัดของซูเฉิน
“คนด่านสู่พิสดาร……” ซูเฉินหัวเราะ “ข้าก็เคยฆ่ามาแล้ว !”
นัยน์ตาเขาพลันส่องแสงเรืองขึ้น
วิชาสรรพสิ่งลวงตา !
วิชาสรรพสิ่งลวงตาไม่สนใจด่านพลัง ทั้งซาเค่อยังถูกระบำจิ้งจอกสวรรค์และกลอนหยกนิรันดร์ของจูเซียนเหยาอยู่ วิชาสรรพสิ่งลวงตาจึงซัดใส่ซาเค่อจนยืนนิ่งไปในพลัน
พริบตานั้น ดาบหั่นภูผาก็กรีดผ่านอากาศ เล็งที่ลำคอซาเค่อ
แม้จะเป็นคนด่านสู่พิสดารที่มีร่างกายและพลังชีวิตทรงพลังเพียงไหน หากหัวขาดอย่างไรก็ต้องตาย !