ตอนที่ 601 นอนห้องหนังสือเจ้าไม่สงสารหรือ
เฉินยางเมื่อได้ยินเขาถามกลับเช่นนี้ก็ทราบทันทีว่าเรื่องนี้เป็นที่แน่นอนประหนึ่งตะปูตอกลงบนกระดานแล้วไม่ผิดแน่ ความกังวลใจปิดไม่มิด ครานี้นางอารมณ์เหวี่ยงเหมือนเด็กสาวอย่างไรอย่างนั้น “ท่าน…เขาให้ท่านไปท่านก็ไปหรือ ท่านก็ไม่ปฏิเสธหรือ ท่านไม่ใช่แม่ทัพเสียหน่อย และก็ไม่ใช่นายพลด้วย แม้แต่ทหารสักคนก็ไม่ให้ท่าน อย่างนี้ไม่เท่ากับส่งท่านไปตายหรือ”
เฝิงเยี่ยไป๋กดมือให้นางนั่งลง “ใครเป็นคนบอกเรื่องพวกนี้กับเจ้า”
“เฉาเต๋อหลุนบอกข้า …หากเขาไม่บอกข้า ท่านยังคิดจะปิดบังข้าใช่หรือไม่” นางมองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า หลายวันมานี้อารมณ์โกรธยังสุมอกหาที่ระบายไม่ได้ ทั้งยังโกรธที่ตนนั้นไร้ความสามารถ นอกจากออกแรงหลั่งน้ำตาแล้วก็ทำอะไรมิได้เลย
เฝิงเยี่ยไป๋ทนเห็นนางร้องไห้ไม่ได้ ถอนหายใจอย่างจนใจ มือหนึ่งก็กอดนางไว้ อีกมือหนึ่งก็ช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง “ข้ายังไม่คิดจะบอกเจ้า นี่ก็เพิ่งกลับมา กำลังวางแผนจะบอกเจ้าอยู่เลย คาดไม่ถึงว่าเฉาเต๋อหลุนจะปากไวเพียงนี้ ชิงบอกเจ้าเสียก่อน”
เฉินยางร้องไห้อยู่กับกลุ่มลายปักบนอกเสื้อของเฝิงเยี่ยไป๋ ลายปักตรงอกนั้นไม่นานก็เปียกไปด้วยคราบน้ำตา มือของเฉินยางนั้นดึงชายเสื้อเอาไว้ ในใจว่างโหวง “ท่านต้องไปคนเดียวจริงๆ หรือ ถ้าเช่นนั้น…ข้างนอกที่รบกัน มีดดาบล้วนไร้ตา ข้ารู้ ข้ารู้ว่าท่านมีวิทยายุทธ์ แต่ว่าคนอื่นนั้นคนมากกำลังเยอะ ท่าน…หากท่านได้รับบาดเจ็บ แล้วจะทำเช่นไร”
เฝิงเยี่ยไป๋ลูบปลายจมูกนาง “ฮ่องเต้ไม่ใช่คนโง่งม จะให้ข้าเข้าสนามรบตามลำพังได้อย่างไร ต้องมีผู้อื่นไปด้วยอยู่แล้ว อีกอย่างข้าเป็นแม่ทัพ บุกทะลวงข้าศึกอย่างไรก็ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก มีคนอื่นอีก อย่ากังวลไปเลย”
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปด้วย”
“ครานี้ไม่เหมือนคราก่อน หนนี้เป็นดาบจริงปืนจริงสู้กัน อีกอย่างในกองทัพล้วนแต่เป็นผู้ชาย เจ้าเป็นหญิงเพียงคนเดียวไปคงจะไม่เหมาะ อีกอย่างหากเจ้าไปด้วย แล้วลูกชายเล่าจะทำเช่นไร มอบให้คนอื่นดูแลเจ้าวางใจหรือ”
ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ระบุเงื่อนไขข้อนี้ในราชโองการแล้ว พานางไปก็ไม่เหมาะจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้ต้องมีแผนอะไรแน่ ไปแล้วหากมีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาเองต้องคำนึงถึงสถานการณ์ตรงหน้าเป็นหลัก ทั้งยังต้องดูแลนาง สองเรื่องพร้อมกันคงต้องดูไม่ทั่วถึงเป็นแน่ เขาไม่ยอมเห็นนางตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ หากดูจากสถานการณ์ทั้งสองนี้แล้ว ให้นางอยู่ในเมืองหลวงจะปลอดภัยที่สุด
ตอนนี้นางมีลูกแล้วจะทำตัวเหมือนเมื่อก่อนที่ไร้ภาระใดๆ ให้ห่วงไม่ได้ อยากจะตามเขาไปไหนก็ไป นี่เป็นครอบครัว ในครอบครัวมีลูกก็เหมือนมีความหวัง เฝิงเยี่ยไป๋ไม่อยู่นางต้องดูแลบ้าน ดูแลคนในบ้านให้ดี เพื่อให้เขาไม่ต้องพะวงเรื่องข้างหลัง
“เจ้าวางใจเถอะ ฮ่องเต้จะทำอะไรข้าได้” เขาปลอบใจนางพลางตบหลังนางเบาๆ “ผ่านมาได้หลายครั้งหลายเรื่อง ไม่ขาดเพียงเรื่องนี้หรอก เรื่องยิ่งเยอะยิ่งต้องฝ่าฟัน พวกเรากลืนน้ำตาให้สิ้นเสีย อีกหน่อยไม่ว่าเรื่องอะไรก็ราบรื่นหมด มิใช่หรือ”
เฉินยางขดตัวในอ้อมกอดเขาพลางพยักหน้า “ข้ารู้ ข้า…ข้าไปกับท่านไม่ได้ แต่ท่านวางใจเถอะ ข้าอยู่บ้านจะไม่สร้างความยุ่งยากอะไรให้ท่าน ข้า…ข้าไม่ควรโกรธท่านจริงๆ แต่อีกหน่อยหากท่านมีเรื่องอันใดก็ห้ามปิดบังข้านะ ก่อนหน้าเรื่องที่ท่านปิดบังข้า ข้าจะยังไม่เอาเรื่อง รอท่านกลับมา เราค่อยมาคิดบัญชีกัน ท่านต้องรีบกลับมานะ”
“เจ้ายังจะคิดบัญชีกับข้าอีกหรือ…” เขาบีบปลายจมูกนางอีกที “เจ้าเย็นชากับข้าตั้งนาน ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ ให้ข้านอนห้องหนังสือทุกวัน เจ้าไม่ปวดใจเลยหรือ”
ตอนที่ 602 ปากเป็นมีด ใจเป็นเต้าหู้
หากว่าไม่ปวดใจ นั่นก็ไม่ปวดใจจริงๆ นางให้คนเอาฟูกไปปูทับทั้งบนทั้งล่างเตียงเดี่ยวตั้งหลายชั้น แล้วยังเรียกให้คนเอาอ่างไฟไปเพิ่มอีกหลาย นอนไปอย่างไรก็สบายเป็นแน่ ก็แค่นอนห้องหนังสือ อย่างไรก็ดีไม่มีทางที่จะทำให้เขาลำบากแน่นอน ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องปวดใจหรือสงสารเขาเลย
เฝิงเยี่ยไป๋ก็มิได้ตาบอด สิ่งที่นางทำให้เขาเองก็เห็นด้วยตารับไว้ด้วยใจ ใครว่าอย่างไรเล่า ตัวอย่างของปากเป็นมีดใจเป็นเต้าหู้อย่างไร ปากบอกว่าไม่ดีด้วยไม่ยอมอยู่ด้วยกันแต่ให้หลังก็ยังให้คนมาดูแลความเป็นอยู่อย่างหาที่ดีกว่านี้ไม่ได้ บ้านมีภรรยาที่ยอดเยี่ยมเพียงนี้ ชาตินี้ก็คงมิหวังอื่นใดแล้ว
ตอนเขาออกมาก็กำชับเฉาเต๋อหลุนว่าอย่างไรก็ตามต้องปกป้องเฉินยางให้ปลอดภัยรอบด้าน ต่อแต่นี้ไปชะตาชีวิตเขากับนางก็ผูกไว้ด้วยกันแล้ว หากเฉินยางเป็นอะไรไป ชีวิตเขานี้ก็คงไม่ยืนยาวเสียแล้ว
เฉาเต๋อหลุนก็รับคำเป็นอย่างดี เฉินยางในใจเฝิงเยี่ยไป๋นั้นผู้ใดก็เทียบมิได้ เฝิงเยี่ยไป๋กำชับให้ดูแลเฉินยาง นั่นหมายถึงเชื่อในตัวเขา หาเรื่องนี้ทำได้ดีก็ไม่มีกระไร หากทำได้ไม่ดีเล่า จะมีชีวิตยืนยาวหรือไม่นั้นคงต้องว่ากันอีกครา
ฮ่องเต้น้อยนั้นเอาใจไปใส่ไว้กับทัพเรือแล้ว ซู่อ๋องถูกเขาส่งไปเป็นกำลังเสริมต้านไว้ที่ด่านเมืองถงกวน อ๋องเมืองหน้าด่านทั้งสองก็เป็นปัญหาใหญ่ เขาต้องลงมือหนักถึงจะเข้าที ไม่อย่างนั้นเขาที่เพิ่งขึ้นครองราชย์มาพ่ายศึก จะให้ไพร่ฟ้าใต้หล้ามองเขาอย่างไร จะให้เหล่าขุนนางมองเขาอย่างไรdyo
ซู่อ๋องก็ไม่ยอมส่งข่าวสารมา ไส้ศึกที่อยู่เมืองหลวงบอกว่าเฝิงเยี่ยไป๋ถูกฮ่องเต้ส่งออกไปแล้ว ไม่อยู่เมืองหลวงชั่วขณะ ในเมื่อไม่อยู่ในวัง อย่างนั้นก็ไม่มีทางส่งข่าวสารจากในวังออกมาได้แน่
รอไปเยี่ยงนี้ก็หาใช่วิธีการที่ดีไม่ อวี่เหวินลู่นิสัยใจร้อน ตบเข่าฉาดแล้วเอ่ยว่า “ข้าไปเอง ข้าจะไปเมืองหลวงเพื่อดูสถานการณ์ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะรอต่อไปก็เหมือนดั่งคนตาบอดหูหนวก เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ถูกเล่นงานก็ไม่รู้เรื่อง”
ซู่อ๋องลูบเคราพลางพยักหน้า “ถูกต้องที่ว่าต้องมีคนที่ไว้ใจได้ไปดู อวี่เหวินฉือผู้นี้ท่าทางไม่เหมือนผู้เป็นบิดาโดยสิ้นเชิง ข้าพบเมื่อคราก่อนเขาเพิ่งจะหัดเดิน นี่ก็ผ่านมาสิบกว่าปีเขาเปลี่ยนไปอย่างไร นิสัยใจคอเป็นเช่นไรข้าก็ไม่อาจทราบได้ รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง คงต้องมีคนไปสืบให้ถ่องแท้เสีย”
เสียงดีดลูกคิดรางแก้วในใจอวี่เหวินลู่ดังติดๆ กัน ลูกตากลอกไปมาอย่างใช้ความคิด ถือโอกาสนี้รายงานบิดาไปว่า “ถ้าเช่นนั้นให้ลูกไปก็เหมาะที่สุดแล้ว ลูกทำอะไรที่เคยทำให้ท่านผิดหวังบ้างเล่า อย่างไรเสียศึกครั้งนี้ก็ต้องรบ ลูกว่างอยู่ก็ว่างอยู่ ไม่สู้ให้ลูกไปเมืองหลวงเถอะ อย่างไรลูกก็คุ้นเคยกับเมืองหลวงดียิ่ง คนอื่นจะไว้ใจได้เท่าลูกตนได้อย่างไร ให้ลูกไปเถอะ”
ซู่หวังมองด้วยสายตาพิจารณา ลูกตนเองในท้องคิดอะไรมีไส้กี่ขดเขาแจ้งแก่ใจ ตั้งใจจะไปเมืองหลวงเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่แค่สาเหตุนี้เป็นแน่ “สถานการณ์พ่อเป็นอย่างไรเจ้ารู้อยู่แก่ใจ ไปเมืองหลวงอันตรายนัก นางต้องไม่ยอมให้เจ้าไปแน่ พ่อมีเจ้าเพียงคนเดียว หากเจ้าถูกพบเล่า เจ้านั้นอำนาจก็ไม่มีกำลังก็น้อย เกิดเรื่องอะไรขึ้นจะให้ข้าทำอย่างไร”
“จะเกิดอะไรขึ้นได้ ข้าไปมาไม่รู้กี่หนแล้ว ก็ไม่ได้กลับมาอย่างปลอดภัยรึ” อวี่เหวินลู่กลัวว่าบิดาจะมองออก รีบเอ่ยกลบเกลื่อน กระทืบเท้ายืนขึ้นทันที ดูท่าทางลนลาน “ท่านก็อย่ากังวลเลย ข้าไปแล้วจะต้องทำงานหลวงให้สำเร็จงดงามเป็นแน่ วางใจเถิด ส่วนท่านป้านั้น ท่านจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ อย่างไรเสียข้าก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแย่”