บทที่ 473 ข่าวคราว

บัลลังก์พญาหงส์

เพราะทั้งสองใกล้ชิสนิทสนมกัน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไม่ได้ส่งหมายแจ้งไปก่อน วันรุ่งขึ้นก็เดินทางออกไปเลย คนที่ไปด้วยยังมีถาวซินหลันและองค์หญิงเก้า อย่างไรไปแล้วคงไม่อาจพูดคุยกันแค่สองสามประโยค ขาดไม่ได้ที่จะอยู่เล่นด้วยกันทั้งวัน ดังนั้นถึงได้เรียกทั้งสองคนไปด้วยเพื่อให้สนุกมากยิ่งขึ้น

 

 

ที่ชวนองค์หญิงเก้า ก็ด้วยเกี่ยวข้องกับคำพูดของหลี่เย่

 

 

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว ถาวจวินหลันก็แอบหาโอกาสพูดคุยกับองค์หญิงแปดเป็นการส่วนตัว อย่างไรพูดต่อหน้าองค์หญิงเก้าก็มีแต่ทำให้องค์หญิงเก้ารู้สึกผิดและขอโทษเท่านั้น

 

 

ถาวจวินหลันเล่าเรื่องที่หลี่เย่สืบพบให้องค์หญิงแปดฟัง แล้วท่าทีขององค์หญิงแปดก็ผิดปกติไป ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ แต่สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

 

 

ความรู้สึกเหล่านั้นแพร่กระจายออกมาจากตัวองค์หญิงแปด จนถาวจวินหลันรับรู้สึกได้ เมื่อคิดถึงลูกขององค์หญิงแปด นางก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา “ในเมื่อรู้ว่าเป็นใครแล้ว ข้าจะต้องเรียกความยุติธรรมให้เจ้าเป็นแน่”

 

 

องค์หญิงแปดหัวเราะเสียงเย็น “ก่อนหน้านี้เพราะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ตอนนี้รู้แล้ว ข้าย่อมต้องไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน ท่านเองก็ไม่ต้องเกรงใจข้า เรื่องนี้ต้องเป็นข้าลงมือแก้แค้นนี้เอง”

 

 

ถาวจวินหลันมององค์หญิงแปดที่มีท่าทีเ**้ยมโหดก็นึกแปลกใจ แม้นรู้อยู่แล้วว่าองค์หญิงแปดไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ แต่ในวันนี้ดูแล้วคงประเมินองค์หญิงแปดต่ำไปเสียหน่อย

 

 

เมื่อเทียบกับองค์หญิงแปดแล้ว องค์หญิงเก้าจะอ่อนแอกว่าหน่อย พูดไปก็เป็นเพราะว่าไม่มีแม่ เมื่อคิดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็สงสารองค์หญิงเก้าอยู่หลายส่วน

 

 

คิดว่าองค์หญิงแปดมีความคิดรอบคอบ คาดว่าจะต้องเดาได้ว่าเป็นเฝินหยางโหวที่ทำเรื่องนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงพูดขอโทษแทนองค์หญิงเก้า “ตอนนั้นน้องเก้าถูกบีบให้แต่งงาน ตอนหลังปฏิเสธถึงทำให้เฝินหยางโหวคิดแค้น แต่อย่างไรนางก็พาลทำให้เจ้าเหนื่อยไปด้วย ข้าต้องขอโทษเจ้าแทนนางด้วย”

 

 

พูดจบ ถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นทำความเคารพเต็มพิธีต่อองค์หญิงแปด นางรู้สึกผิดต่อองค์หญิงแปดจริงๆ

 

 

องค์หญิงแปดตกใจมาก รีบโน้มตัวไปข้างๆ ถลึงตามองถาวจวินหลันพลางพูดว่า “ท่านคิดจะบั่นทอนอายุข้าอย่างนั้นหรือ? หรือว่าท่านไม่เคยเห็นข้าเป็นน้องสาว? ข้ารู้ว่าท่านและองค์หญิงเก้าสนิทกันมาก แต่ก็อย่าลืมว่าข้าเองก็เป็นน้องสาวของพี่รอง พวกเราถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ควรมากพิธีขนาดนี้”

 

 

องค์หญิงแปดพูดด้วยความจริงใจ ในใจของถาวจวินหลันกระตุกวูบ อดหัวเราะไม่ได้ “เป็นข้าเองที่มากพิธีไป ข้าผิดไปแล้ว ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”

 

 

ทันใดนั้นองค์หญิงแปดก็หลุดหัวเราะออกมา ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้บรรยากาศโศกเศร้านั้นหายไปมากกว่าครึ่ง หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหางตาเอาไว้ พลางพูดกล่าวโทษอย่างออดอ้อน “เป็นเพราะท่านไม่ดี อยู่ๆ พูดเรื่องเศร้าขึ้นมา ทำให้ข้าร้องไห้จนตาแดง อีกครู่หนึ่งจะออกไปพบหน้าคนอื่นได้อย่างไร?”

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพูดว่า “บอกว่าฝุ่นเข้าตาเจ้าแล้วกัน”

 

 

องค์หญิงแปดส่ายหน้าให้กับคำพูดเจ้าเล่ห์ของถาวจวินหลัน “ท่านนะท่าน! ไม่พูดกับท่านแล้ว ข้าจะไปประคบตาเสียหน่อย ท่านไปอยู่เป็นเพื่อนพวกนางก่อนเถิด มิเช่นนั้นพวกนางไม่เห็นเราคงจะกล่าวโทษอยู่เป็นแน่”

 

 

ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเดินออกมาก่อน ย่อมไม่เห็นว่าองค์หญิงแปดร้องไห้อีกรอบหลังจากนางเดินออกไปแล้ว

 

 

บ่าวรับใช้ขององค์หญิงแปดรอจนองค์หญิงแปดร้องไห้เสร็จแล้ว ถึงได้ปลอบเสียงเบา “อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นนายท่านรู้เข้าคงจะเจ็บปวดอีกเป็นแน่” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็อดกล่าวโทษไม่ได้ “องค์หญิงเก้ายังคงพึ่งพาไม่ได้ จะก่อนจะหลังก็พาลทำให้องค์หญิงเหนื่อยมากี่รอบแล้วเจ้าคะ? ยังดีที่นายท่านใจกว้าง ถ้าเป็นบ่าวคงไม่พอใจไปนานแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

องค์หญิงแปดส่ายหัว “ไม่ต้องพูดแล้ว นางไม่ได้ตั้งใจ แล้วตอนนี้นางก็ใกล้ชิดกับพี่รอง และยังเป็นน้องสะใภ้ของชายารองถาว ก็ไม่ควรพูดเช่นนี้แล้ว ไม่มีอะไรต้องเก็บมาคิดมาก ก็แค่เด็กคนนั้น…ไม่มีดวงชะตาสมพงศ์กับข้า”

 

 

บ่าวรับใช้ไม่พูดต่อ เพียงแค่ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่

 

 

องค์หญิงแปดเห็นท่าทางเช่นนั้น ก็พูดเตือน “เสด็จแม่เคยพูดเอาไว้ว่าให้รักษาความสัมพันธ์อันดีกับพี่รอง ในอนาคตอาจเป็นที่พึ่งของพวกเราได้”

 

 

บ่าวรับใช้นั้นเป็นคนที่อิงผินส่งมาเพื่อดูแลรับใช้ข้างกายองค์หญิงแปดโดยเฉพาะ ได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่คนมองโลกแคบ เมื่อถูกพูดเช่นนี้ ก็เข้าใจนัยที่แฝงไว้ พูดอย่างแปลกใจว่า “หรืออิงผินเหนียงเหนียงคิดว่า…”

 

 

“อืม” องค์หญิงแปดรับคำ พลางกำชับอีกว่า “รีบทาแป้งให้ข้าใหม่เร็วเข้า เสียเวลามานานแล้วไม่เหมาะสมนัก”

 

 

เพราะถาวจวินหลันช่วยพูดแก้ตัวไว้เล็กน้อย ดังนั้นช่วงเวลาทีองค์หญิงแปดหายไปจึงไม่มีใครคิดอะไรมาก พอองค์หญิงแปดมาถึงแล้ว ทั้งสี่คนก็เล่นไพ่นกกระจอกด้วยกันอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

ตอนที่จับไพ่ องค์หญิงแปดกลับพูดเรื่องหนึ่งขึ้นมา “ได้ยินว่าในวังเริ่มจัดงานคัดเลือกหญิงสาวอีกแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป เผลอปล่อยไพ่หลุดมือไป “คัดเลือกหญิงสาว? ไม่ใช่ว่าหลายปีมานี้ไม่ได้เลือกแล้วหรือ?”

 

 

“ก็เพราะหลายปีมานี้ไม่ได้เลือก ไม่รู้ว่าทำไมปีนี้ถึงได้เสนอขึ้นมา ได้ยินว่าไปเสนอไทเฮาและฮองเฮาและก็ตกลงเรื่องนี้ เสด็จพ่อก็ไม่มีความคิดเห็นอะไรเจ้าค่ะ” องค์หญิงแปดยิ้มพลางพูดอธิบาย และพูดเร่งถาวจวินหลันว่า “ปล่อยไพ่เร็วเข้าเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันหงายไพ่ ในใจกลับรู้สึกไม่สงบเล็กน้อย ตามปกติแล้วทุกสามปีจะมีการจัดการเลือกครั้งใหญ่หนึ่งครั้ง แต่ก่อนหน้านี้เพราะไว้อาลัยแคว้นฮ่องเต้จึงประกาศงดไปสามปี หลังจากนั้นมาก็เพราะมีภัยพิบัติบ่อยครั้ง ไม่อยากจะผลาญเงินของประชาชน ดังนั้นจึงไม่มีการจัดงานขึ้น ตอนนี้ฮ่องเต้อายุมากขึ้นแล้ว สุขภาพร่างกายก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อน นางคิดว่างานคัดเลือกหญิงสาวนี้ไม่ควรมีอีกแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ก็จะเสนอขึ้นมาเช่นนี้

 

 

องค์หญิงแปดเหมือนจะรู้ความคิดของถาวจวินหลัน นางหัวเราะพลางพูดว่า “ต่อให้เสด็จพ่อไม่เอาไปเยอะ ก็จะต้องประทานให้กับองค์ชายและขุนนางทั้งหลาย ท่านอ๋องและองค์ชายที่อยู่ข้างกายก็คงจะต้องถูกยัดให้สองสามคน”

 

 

ถาวจวินหลันคิดดูแล้วก็สมเหตุสมผล จึงไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก คัดเลือกหญิงสาวก็ดี ไม่คัดเลือกก็ดี เรื่องนี้ไม่ควรให้นางจัดการ อย่างมากก็ทำได้เพียงแปลกใจเท่านั้นเอง

 

 

ส่วนจะให้หญิงสาวกับหลี่เย่หรือไม่ รอจนเลือกได้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องรอฤดูร้อนปีหน้า ยังมีเวลากว่าครึ่งปี

 

 

แต่ในใจของนางก็ยังครุ่นคิดว่าถ้าถึงตอนนั้นประทานคนมาให้หลี่เย่ นางเองก็คงต้องสนับสนุนให้หลี่เย่เก็บเอาไว้ อย่างแรกเพราะว่าจวนตวนอ๋องเหลือนายหญิงน้อยเกินไป อย่างที่สองก็เพราะว่าร่างกายของเจียงอวี้เหลียนไม่ไหวแล้ว เกรงว่าหลังจากนี้ไปอีกนานถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ ไม่มีทางปรนนิบัติหลี่เย่ได้ ไทเฮาจะต้องกำหนดมาให้อย่างแน่นอน

 

 

บางทีอาจไม่ต้องรอถึงงานคัดเลือก ถาวจวินหลันคิดอย่างเย้ยหยัน และลอบถอนหายใจ เรื่องเช่นนี้ ไม่ว่านางจะไม่พอใจอย่างไร ก็ไม่มีทางไปขัดขวางได้ อย่างไรผู้หญิงทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน แม้แต่ฮองเฮาก็เป็นเหมือนกันมิใช่หรืออย่างไร? ไม่ต้องพูดถึงนางเลย

 

 

“อี๋เฟยกลับวังหลวงครั้งนี้ได้รับการต้อนรับดีมาก” ฉับพลันองค์หญิงแปดก็พูดถึงอี๋เฟยและองค์ชายเก้า “เพราะเป็นลูกชายที่เกิดช้าสุด เสด็จพ่อจึงรักใคร่น้องเก้ามาก แม้แต่น้องเจ็ดและน้องแปดก็เทียบไม่ได้”

 

 

องค์ชายเจ็ดและองค์ชายแปดปีนี้อายุสิบสี่ปีคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งอายุครบแปดปี ลูกชายที่ฮ่องเต้รักใคร่มากที่สุดก่อนหน้านี้คือพวกเขาสองคน แน่นอนว่าอาจด้วยมีเพียงแค่องค์ชายสององค์นี้ที่ยังอยู่ในวังหลวง

 

 

อี้เฟยแม่ขององค์ชายเจ็ดและหรูกุ้ยเฟยแม่ขององค์ชายแปด ก็ยังถือว่าได้รับความโปรดปรานเพราะเหตุผลนี้

 

 

ที่จริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะว่าหลายปีก่อนนี้กุ้ยเฟยที่กำลังมีหน้ามีตาล้มป่วยลง ที่จริงก็ควรจะเป็นกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด แต่น่าเสียดาย กุ้ยเฟยและเสด็จแม่ของหลี่เย่มีชะตาสั้นเหมือนกัน

 

 

แต่เมื่อพูดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะกุ้ยเฟยเสียชีวิตกะทันหัน เช่นนั้นฮองเฮาก็คงจะต้องปวดหัวเป็นแน่ ฮ่องเต้เคยแต่งตั้งกุ้ยเฟยสองครั้ง คนหนึ่งคือแม่ผู้ให้กำเนิดของหลี่เย่ อีกคนหนึ่งก็คือหวังกุ้ยเฟย หวังกุ้ยเฟยเป็นคนมีฝีมือ สามารถต่อกรกับฮองเฮาได้มาตลอด แต่น่าเสียดาย…

 

 

หัวข้อนี้ถูกดึงออกไปไกล ถาวจวินหลันรวบรวมสมาธิไม่คิดเยอะอีก เพียงแค่พูดตามน้ำองค์หญิงแปด “สองวันก่อนนี้ข้าเพิ่งเข้าวังหลวงไปครั้งหนึ่ง ได้พบอี๋เฟย ข้าดูแล้วมีน้ำมีนวลมากกว่าตอนก่อนคลอดอยู่มากนัก เห็นได้ชัดว่าตอนอยู่ไฟคงบำรุงดีเลยทีเดียว”

 

 

องค์หญิงแปดยิ้มแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน “จะไม่ใช่ได้อย่างไร? ไม่รู้ว่านางอยู่ในที่ห่างไกลกันดารขนาดนั้น แท้จริงแล้วอยู่ไฟอย่างสบายอกสบายใจได้อย่างไรกัน? ถ้าเป็นข้าคงจะอึดอัดตายไปแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันแย้มยิ้ม “อาจด้วยรู้ว่าถ้าไม่บำรุงให้ดีก็จะสูญสิ้นโอกาสไปโดยสิ้นเชิง นางเลยจำเป็นต้องทำเช่นนี้” แต่ฉวยโอกาสตอนนี้บำรุงให้ดี ก็อธิบายได้ว่าอี๋เฟยเป็นคนฉลาด

 

 

“อี๋เฟยเพิ่งกลับวังหลวงมาได้ไม่นาน เสด็จพ่อก็พลิกป้ายชื่อไปหลายรอบแล้ว ดูจากสถานการณ์นี้เกรงว่าอี๋เฟยคงจะได้รับความโปรดปรานอีกแล้วเจ้าค่ะ” องค์หญิงแปดพูดออกมา คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เหมือนไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

 

 

องค์หญิงเก้าที่ไม่ค่อยเอ่ยปากพูดก็หัวเราะออกมา “ไม่ว่าใครจะได้รับความโปรดปรานแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราเล่าเจ้าคะ? พี่แปด ท่านว่าใช่หรือไม่?”

 

 

องค์หญิงแปดมององค์หญิงเก้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มกว้าง “เพราะเหตุนี้ เป็นข้าเองที่เบื่อเกินไปถึงได้มากังวลเรื่องนี้”

 

 

ถาวซินหลันก็หัวเราะพลางพูดแทรกขึ้นมา “จริงซี พวกท่านได้ยินแล้วหรือไม่ คุณชายสามของจวนเหิงกั๋วกงทนไม่ไหวแล้ว คุณหนูสามที่เกิดจากภรรยาเอกก็ถูกเฝินหยางโหวขอแต่งงานอยู่ตลอด เหิงกั๋วกงโมโหจนต้องกระทืบเท้า”

 

 

เรื่องนี้ทุกคนรู้กัน หญิงสาวทั้งสี่จึงพูดเรื่องนี้กันอย่างครึกครื้น

 

 

องค์หญิงแปดหัวเราะเสียงดังออกมา พูดพร้อมสีหน้ามีความสุข “สมควรแล้ว ปกติเหิงกั๋วกงชอบเดินอย่างเย่อหยิ่งอวดทะนงนัก ตอนนี้ก็ถือเขาต้องประสบเคราะห์แล้ว”

 

 

“พูดไปแล้ว ได้ยินว่าสถานการณ์ของฮูหยินชราเหิงกั๋วกงก็ไม่ดีนักไม่ใช่หรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ไม่ใช่ว่าคุณหนูสามของภรรยาเอกจะต้องไว้อาลัยสามปีหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ถือว่าเสียเวลาแล้ว” องค์หญิงเก้าพูดอย่างสงสัยเล็กน้อย

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มพลางส่ายหน้า “เรื่องที่เหิงกั๋วกงเป็นกังวลไม่ใช่เรื่องการไว้อาลัยของหญิงสาวจะเสียเวลาหรือไม่ สิ่งที่เขาควรเป็นกังวลก็คือฮูหยินชราเหิงกั๋วหงเสียชีวิตไป แล้วฮ่องเต้ต้องการให้เขาไว้อาลัยแล้วจะทำเช่นไร? ไม่เพียงแค่ตัวเหิงกั๋วกงเท่านั้น แล้วยังมีลูกชายของเขาอีก ล้วนต้องไว้อาลัยเช่นเดียวกัน”

 

 

เมื่อพูดเช่นนี้ คนของจวนเหิงกั๋วกงก็ต้องหายไปจากราชสำนักอย่างน้อยกว่าครึ่ง ที่เหลืออยู่ก็ล้วนเป็นญาติหรือว่ามีความสัมพันธ์ห่างเหินกัน

 

 

หากมีคนฉวยโอกาสตอนนี้เพื่อปราบจวนเหิงกั๋วกง อย่างนั้นแผนการก็ได้ผลคุ้มค่าแล้ว