บทที่ 474 ญาติ

บัลลังก์พญาหงส์

ด้วยองค์หญิงเก้าไปคนละทางกับจวนตวนขินอ๋อง ดังนั้นจึงไม่ได้ไปกับถาวจวินหลัน แต่ถาวซินหลันกลับหัวเราะสดใสและพูดว่า “ข้านั่งรถคันเดียวไปกับท่านพี่ หลังจากนั้นค่อยให้พวกเขาอ้อมกลับไป”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ แล้วบีบแก้มถาวซินหลันเบาๆ “ทำเช่นนี้ไม่สู้ไปทานข้าวที่จวนของข้าเลยดีกว่า ให้คนไปรายงานก่อน บอกว่าข้าให้เจ้าอยู่ทานข้าวด้วยกัน”

 

 

ถาวซินหลันก็ไม่เกรงใจ ตอบในในทันที จากนั้นก็ขึ้นรถม้าตามถาวจวินหลันไป ไม่ยอมนั่งแยกกัน ต้องนั่งติดกับถาวจวินหลัน เอาศีรษะไปแนบชิดกับศีรษะกับพี่สาวของตนเอง

 

 

เมื่อเจอท่าทีออดอ้อนของถาวซินหลัน ถาวจวินหลันย่อมไม่ปฏิเสธ แต่กลับจับปิ่นที่ปักอยู่หลวมๆ บนศีรษะของถาวซินหลันให้เรียบร้อยอย่างเอ็นดู

 

 

“ท่านพี่” หลังจากรถม้าวิ่งไประยะหนึ่งแล้ว ถาวซินหลันพลันเอ่ยปากทำลายความเงียบ

 

 

ถาวจวินหลันส่งเสียงตอบรับ “หืม?”

 

 

“ไม่มีชายาเอกตวนชินอ๋องแล้ว ก็จะต้องเลือกชายาเอกคนใหม่ให้พี่เขยใช่หรือไม่เจ้าคะ?” เสียงของถาวซินหลันค่อนข้างเบา แต่กลับชัดเจนอย่างน่าประหลาด แม้กระทั่งเสียงล้อของรถม้าที่หมุนบดไปกับพื้น เสียงกีบม้ากระทบพื้นและเสียงพูดคุยของคนบนถนนก็ไม่อาจทำให้เสียงของนางที่พูดประโยคเมื่อครู่นี้ถูกกลบหายไปได้

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง ยังคงส่งเสียงตอบรับเบาๆ “น่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

 

ถาวซินหลันนั่งตัวตรง มองตาของถาวจวินหลัน “ถ้าอย่างนั้น ท่านพี่อยากเป็นชายาเอกตวนชินอ๋องหรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไป สบตากับถาวซินหลันอยู่ครู่หนึ่งถึงได้สติคืนมา นางรีบหลุบตาลงซ่อนดวงตาของตัวเองเอาไว้ แสร้งทำเป็นมองข้างล่าง “พูดอะไรเหลวไหล? เป็นเด็กไม่รู้จักโตเสียจริง คิดอะไรก็พูดออกมาหมด”

 

 

ที่นางพูดเช่นนี้ก็ด้วยจงใจทำลายบรรยากาศเคร่งเครียด มิเช่นนั้นนางคงไม่เป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งนางยิ่งไม่สามารถมองแววตาของถาวซินหลันได้ พอต้องเจอกับสายตาบริสุทธิ์ของน้องสาวตนเอง นางก็ไม่อยากพูดโกหก หรือบิดเบือนความในใจของตัวเอง ดังนั้น จึงไม่อาจตอบได้ ทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องคุย

 

 

แต่ถาวซินหลันกลับไม่ให้โอกาสนี้กับนาง ถามนางอย่างตรงไปตรงมา “อยากหรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

ถาวจวินหลันต้องหลีกเลี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่มองถาวซินหลันพลางหัวเราะอย่างขมขื่น และพูดแฝงนัย “มีที่ไหนพูดอยากได้แล้วจะทำได้ ข้าอยากให้ท่านพ่อ ท่านแม่กลับมามีชีวิตแล้วเป็นจริงได้หรือไม่? ข้าอยากกลับไปตอนที่ตระกูลถาวยังสงบสุข แล้วเป็นไปได้หรือไม่? ข้ามีฐานะเช่นใด? หรืออาศัยเพียงแค่ความโปรดปรานจากท่านอ๋องแล้วข้าจะกำเริบเสิบสานได้อย่างนั้นหรือ? คิดเพ้อเจ้อในเรื่องเกินจริงอย่างนั้นหรือ? มีคนพูดว่ารู้จักพอถึงจะมีความสุข แล้วข้าก็ควรทำเช่นนั้น”

 

 

ที่พูดแบบนี้ก็ถือว่าแสดงความคิดของนางแล้ว ดูจากสติปัญญาของถาวซินหลันแล้วคิดว่าจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน

 

 

“ทำไมถึงบอกว่าคิดเพ้อเจอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เล่าเจ้าคะ?” ถาวซินหลันยังคงดื้อรั้น “ข้าช่วยท่านได้ถ้าอยากเป็นจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริง”

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าถาวซินหลันเอาความคิดดื้อรั้นเหล่านี้มาจากไหน นางกลัวว่าถาวซินหลันจะเก็บเรื่องนี้ไปคิดจริงจัง จึงจงใจส่ายหัว “ไม่ ข้าไม่อยาก ต่อให้ข้าอยาก ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลา หรือเจ้าไม่รู้ว่า ที่จริงแล้วไทเฮามีตัวเลือกชายาเอกตวนชินอ๋องคนใหม่แล้ว”

 

 

ถาวซินหลันไม่รู้เรื่องนี้เลย จึงเผลอร้องเสียงหลงออกมา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ นางเข้าใจดี ในรายชื่อของไทเฮาต้องไม่มีถาวจวินหลันเป็นแน่

 

 

ถ้าจะพูดถึงความผิดหวังย่อมต้องมี แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความไม่ยอมและโมโห “ทำไม? ท่านพี่มีอะไรไม่ดีเจ้าคะ? ข้าไม่เชื่อ ยังจะมีใครเอาชนะท่านพี่ได้กัน? ไทเฮาเลือกใครมาบ้าง? ข้าจะต้องให้คนเหล่านี้ปฏิเสธให้ได้!”

 

 

ถาวซินหลันพูดเปิดเผยความหมายโจ่งแจ้งอย่างถึงที่สุด

 

 

พอเห็นท่าทีไม่พอใจของถาวซินหลัน ถาวจวินหลันก็เจ็บปวดใจเล็กน้อยและยังรู้สึกถึงความอบอุ่นจางๆ แต่สุดท้ายนางก็ยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้ ถ้าเจ้าทำเช่นนั้นจริง จะให้ข้าตายไม่มีที่ฝังหรืออย่างไร”

 

 

ถาวซินหลันโมโหจนกัดริมฝีปาก นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถึงพูดอย่างขลาดกลัว “ข้าว่าท่านอ่อนแอเกินไป! ท่านถูกตวนชินอ๋องให้กินยาเสน่ห์!” เมื่ออารมณ์ร้อน แม้แต่คำว่า ‘พี่เขย’ ก็ไม่พูด

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ ขมวดคิ้วอธิบายว่า “ทำไมเจ้าถึงได้ไม่คำนึงถึงเหตุผลเช่นนี้? เจ้าลองคิดให้ดี หากเรื่องถูกทำลายตอนนี้ ไทเฮาจะคิดว่าใครทำ? ไทเฮาแต่เดิมก็ไม่ชอบข้าอยู่แล้ว เจ้าเองก็รู้ ทำไมถึงได้พูดอะไรมั่วๆ ออกมา? หากข้าทำเกินไป ไทเฮาจะต้องบีบบังคับให้ตวนชินอ๋องเก็บลูกไล่แม่เป็นแน่ เจ้าลองคิดให้ดีสถานการณ์ในตอนนี้ข้าควรจะทำเช่นไร?”

 

 

ถาวซินหลันถูกพี่สาวของตนเองสั่งสอนเช่นนี้ กลับไม่รู้สึกอัปยศแม้แต่น้อย เพราะนางรวมสมธิทั้งหมดไว้ที่เรื่องที่ถาวจวินหลันวิเคราะห์

 

 

นางเก็บคำพูดของถาวจวินหลันมาคิดอย่างละเอียดอีกทีหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็พบความจริงข้อหนึ่ง ถูกต้องตามที่ถาวจวินหลันพูด เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายเลยแม้แต่น้อย

 

 

แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่พอใจ นางกัดริมฝีปากพูดว่า “หรือว่าท่านจะยอมแพ้แล้ว? ยามนี้พี่ใหญ่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หรือว่ายังเป็นหลักให้ท่านไม่ได้? หลิวซื่อตายแล้ว หากมีชายาเอกตวนชินอ๋องคนใหม่ ครั้งต่อไปอาจไม่ได้โชคดีอย่างนี้อีกนะเจ้าคะ”

 

 

ถาวซินหลันย่อมต้องคิดก่อนแล้ว ว่าถึงเวลานั้นก็ค่อยกำจัดทิ้งไป แต่พอคิดไปคิดมา ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกไป อย่างไรนางก็ไม่ใช่คนที่เ**้ยมโหดเช่นนั้น ที่บอกว่าไม่ควรคิดทำร้ายคนอื่น เป็นคำพูดที่ถาวจวินหลันสอนนางมาตั้งแต่แรก

 

 

พอรู้ว่าถาวซินหลันกำลังเป็นกังวลแทนตนเอง แม้ว่าถาวจวินหลันจะรู้สึกเศร้าใจ แต่ก็ยังอดแย้มยิ้มไม่ได้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ต้องไม่ยอมแพ้เช่นนี้เป็นแน่ สำหรับโอกาสนั้น ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่ตัดใจไม่ได้ อีกอย่างภายในช่วงเวลาสั้นๆ คงยังเลือกชายาคนใหม่ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เจ้าและจิ้งผิงย่อมต้องช่วยเหลือข้าได้อย่างแน่นอน แต่ตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋องเป็นสิ่งที่ใครจะเป็นก็ได้หรืออย่างไรกัน?” หากหลี่เย่ยังคงเป็นท่านอ๋องใบ้เช่นเดิม บางทีเรื่องนี้ก็จะง่ายขึ้น นางคงได้เป็นชายาเอกตวนชินอ๋องคนใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

แต่ตอนนี้ หลี่เย่เป็นตวนชินอ๋อง แล้วยังได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ ย่อมเอามาเทียบกันไม่ได้

 

 

ถาวซินหลันยังคงไม่พอใจ ทว่าถาวจวินหลันกลับยิ้มพลางตบบ่านาง “เอาเถิด ก็เพียงรักษาสถานการณ์ในตอนนี้เอาไว้ คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว เขาดีกับข้ามาก ข้ายังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?”

 

 

ถาวซินหลันส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่เขาทำดีกับท่านเท่านั้นก็พอแล้วนะเจ้าคะ” อย่างไรอนุภรรยาและภรรยาเอกก็ต่างกัน ด้วยเป็นผู้หญิงเหมือนกัน นางย่อมต้องรู้สึกเหมือนเจอเรื่องที่ถาวจวินหลันเจอกับตัวเอง หากลองเทียบกับก่อนหน้านี้ ต่อให้หลิวซื่อจะมีแค่ชื่อแต่ไร้ตัวตนนั้น ทว่าถาวจวินหลันก็ยังคงต้องเคารพนาง เป็นมนุษย์ย่อมต้องรู้สึกน้อยใจเป็นธรรมดา มิใช่หรือ? เป็นภรรยาเอก อย่างไรก็ต้องอยู่สูงกว่าอนุภรรยาเล็กน้อย

 

 

แต่ไม่ว่าถาวจวินหลันจะพูดดีอย่างไร นางก็ยังรู้สึกว่าพี่สาวของตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม อีกทั้งยังไม่ยุติธรรมมาก หากเป็นไปได้นางไม่ยินยอมให้พี่สาวของตนเองพบเจอกับเรื่องเช่นนี้

 

 

ไม่รู้ว่าสุดท้ายเพราะเป็นพี่น้องกันหรือไม่ แม้ว่าถาวซินหลันจะไม่ได้พูดออกมาหมด แต่ถาวจวินหลันก็ยังเข้าใจคำพูดต่อมาได้ทันที รอยยิ้มจึงยิ่งกว้างขึ้นไปอีก แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา

 

 

นางรู้ว่าถาวซินหลันหวังดีต่อนาง แต่ไม่อาจละโมบได้ทุกเรื่อง จะได้คืบเอาศอกไม่ได้ บางทีอาจครอบครองตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋องได้ด้วยวิธีบางอย่าง แต่พอได้รับแล้วเล่า? ความสงสัยและต่อต้านของไทเฮา ความลำบากใจของหลี่เย่ และเรื่องที่มาทำลายความสัมพันธ์ของสามีภรรยาในอนาคต เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากได้

 

 

เพื่อตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋อง ทุ่มเทสิ่งเหล่านี้ไปก็ไม่คุ้ม

 

 

เพียงไม่นานก็มาถึงจวนตวนชินอ๋อง ถาวซินหลันกลับไม่เข้าไปทานอาหาร หลังจากคุยเรื่องพวกนี้ไป ถาวซินหลันก็หดหู่มาก ไม่อยากทานอาหารอีก

 

 

ถาวจวินหลันจนปัญญา ได้แต่ให้นางกลับไป

 

 

ตอนที่ถาวซินหลันจะกลับก็ยังพูดกับถาวจวินหลันว่า “ที่จริงแล้วพี่ใหญ่บอกให้ข้ามาถามท่านก่อน หากเป็นข้า ข้าคงจะทำก่อนแล้วค่อยบอก” ดังนั้นนางจึงขัดแย้งอย่างมาก ด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าถ้าเป็นเช่นนี้จะไม่ถาม แต่อีกด้านก็รู้สึกว่าโชคดีที่ถามไป

 

 

ต้องแบกรับความคิดเช่นนี้ ถาวซินหลันก็รู้สึกปวกเปียกมากขึ้น

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงไปเล็กน้อย แล้วหัวเราะออกมา “ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วงข้าขนาดนี้” แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่ความอบอุ่นและซาบซึ้งใจของนางก็ไม่อาจมีอะไรมาเทียบได้

 

 

พวกเขาสามพี่น้องไม่ได้ห่างเหินกันไกลเพียงเพราะออกเรือนกันไปแล้ว แต่กลับยิ่งสนิทสนมกันมากอย่างไม่มีช่องว่าง เรื่องนี้ถาวจวินหลันปลื้มใจมาก โดยเฉพาะถาวจิ้งผิง หญิงสาวที่แต่งงานออกไปแล้วไม่ได้เป็นเหมือนน้ำที่โดนสาดออกไป ถาวจิ้งผิงยังเห็นพวกนางเป็นครอบครัวเดียวกันได้ และไว้หน้าพวกนางมากพอ น้องชายเช่นนี้จะไปหาจากที่ไหนได้?

 

 

อีกอย่าง ถาวจิ้งผิงยังคิดได้ว่าควรมาถามถาวซินหลันก่อน ก็แสดงออกว่าเขาพิจารณารอบคอบแล้ว เห็นน้องชายของตนเองยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ พี่สาวอย่างนางย่อมต้องมีความสุขมากขึ้น

 

 

ในขณะเดียวกันถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าเรื่องกำจัดชื่อขุนนางนักโทษออกจากตระกูลถาวก็สมควรแก่เวลาแล้ว ก่อนเกิดโรคระบาด ตระกูลเฉินบอกว่าหาพยานสำคัญได้แล้วคนหนึ่ง รอจนพยานเข้ามาในเมืองหลวงก็ยื่นฎีกาขอให้ตรวจสอบใหม่อีกครั้งได้

 

 

แม้ว่าเรื่องนี้จะต้องล่าช้าไปเพราะโรคระบาด แต่มาคิดดูแล้วก็ถึงแก่เวลาแล้ว นางวางแผนว่าจะไปพบเฉินฮูหยินด้วยตนเองพรุ่งนี้ แม้ว่าเรื่องนี้ให้ถาวซินหลันกลับไปถามได้ แต่ด้วยมารยาทและความเคารพ นางจึงต้องไปด้วยตนเองครั้งหนึ่ง

 

 

ไม่เพียงแค่นาง ถาวจิ้งผิงก็ควรไปด้วยเช่นกัน

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ในใจ อารมณ์ก็สดใสปลอดโปร่งเป็นพิเศษ อย่างไรขอแค่ตระกูลถาวสลัดชื่อขุนนางนักโทษออกไปได้ ก็มีประโยชน์ต่ออนาคตของถาวจิ้งผิง ถึงเวลานั้นพบว่าที่จริงแล้วตระกูลถาวถูกใส่ร้าย ฮ่องเต้เองก็ต้องอยากชดใช้เล็กๆ น้อยๆ แน่นอน บางทีนางก็อาจได้รับประโยชน์บางอย่างจากเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

 

 

บวกกับฎีกาของหลิวซื่อก่อนตาย และคิดหาวิธีอีกเล็กน้อย ตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋องก็ไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม

 

 

แต่ก่อนหน้านั้นต้องหาวิธีกำจัดชื่อขุนนางนักโทษออกไปก่อน

 

 

ตกดึกตอนที่หลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันก็พูดเรื่องคัดเลือกหญิงสาวที่องค์หญิงแปดบอกนาง และกังวลเล็กน้อย “ท่านว่าโรคระบาดเพิ่งหมดไป ประชาชนที่ลี้ภัยมายังไม่จัดการให้ดี ก็เริ่มจัดพิธีคัดเลือกหญิงสาวแล้วจะทำให้ประชาชนไม่พอใจหรือไม่”

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “เกรงว่าคงไม่พอใจเป็นแน่”