บทที่ 475 เบื้องหลัง

บัลลังก์พญาหงส์

ไม่ว่าประชาชนจะพอใจหรือไม่ เรื่องคัดเลือกหญิงสาวก็ตัดสินใจตามแล้ว เป็นไทเฮาที่เริ่มเสนอก่อน จากนั้นตระกูลกู้ก็ร่วมมือกับขุนนางชั้นสูงเสนอฎีกา อย่างไรตั้งแต่ฮ่องเต้ครองบัลลังก์มาก็ยังไม่มีการคัดเลือกหญิงสาวเลย ดังนั้นต่อให้ช่วงเวลาไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ก็ยังถือว่าสมเหตุสมผล

 

 

วันรุ่งขึ้นหลังจากข่าวเรื่องพิธีคัดเลือกหญิงสาวกระจายออกไป จวนเหิงกั๋วโหวกลับเคาะระฆังมรณะ

 

 

ถาวจวินหลันได้รับข่าวหลังจากนั้น คิดไม่ถึงว่าเวลาไม่ถึงชั่วยามจวนเหิงกั๋วโหวก็สูญเสียไปแล้วสองคน คนหนึ่งคือฮูหยินชราเหิงกั๋วโหว และอีกคนคือลูกชายคนที่สาม

 

 

ถาวจวินหลันย่อมต้องแปลกใจ จึงถามบ่าวรับใช้ที่มารายงาน “ด้านนอกได้บอกหรือไม่ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร?” การตายนี้บังเอิญเกินไป ถ้าจะบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ นางไม่มีทางเชื่อว่าจะบังเอิญขนาดนี้ เวลาห่างกันยังไม่ถึงชั่วยามเลย!

 

 

หลี่เย่ที่ให้กลับมารายงานข่างนั้น บอกให้นางเตรียมของร่วมงานศพสองชุดส่งไปที่จวนเหิงกั๋วโหว อย่างไรนั่นก็เป็นญาติของฮองเฮา ในนามแล้วหลี่เย่ก็ยังต้อเรียกว่าท่านลุงด้วยซ้ำไป ย่อมต้องไว้หน้าให้มาก

 

 

“ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับเฝินหยางโหวเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้คนนั้นรู้มาเพียงเล็กน้อย ฟังแค่นั้น ก็เท่ากับว่าไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่น้อย สามารถตอบคำถามได้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า รู้ว่าบ่าวรับใช้ไม่รู้แน่ชัด จึงไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแค่เรียกหงหลัวมา “ไป เตรียมของร่วมงานศพที่สมน้ำสมเนื้อมาสองชุด อีกครู่หนึ่งข้าจะนำไปมอบด้วยตนเอง” ให้คนนำไปส่งย่อมต้องไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน ในเมื่อต้องแสดงท่าที ก็จะต้องทำให้เหมือนหน่อย

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็เรียกปี้เจียวมากำชับ “สั่งคนไปถามองค์หญิงเก้าว่าจะไปหรือไม่? ถ้าไป พวกเราก็จะได้ไปพร้อมกัน” มีเพื่อนร่วมทาง ระหว่างทางก็จะได้มีเพื่อนคุย อีกทั้งเมื่อไปแล้วก็คงไม่ดีหากนั่งอยู่แค่ครู่เดียว อย่างไรก็ควรต้องให้เวลาผ่านไปช่วงธูปหนึ่งถึงจะถูก

 

 

เพียงไม่นาน ก็เตรียมของที่ใช้ในงานศพเรียบร้อย ทางด้านองค์หญิงเก้าก็ตอบกลับมาแล้ว บอกกว่าอีกครู่หนึ่งให้ถาวจวินหลันไปรับนาง

 

 

พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบง่าย และถอดเครื่องประดับออก ถาวจวินหลันถึงได้ออกจากประตูไป องค์หญิงเก้าเองก็แต่งกายไม่ต่างกันมากนัก หลังจากทั้งสองพบกันแล้วก็ต้องพูดคุยเรื่องนี้กัน

 

 

องค์หญิงเก้าถามถาวจวินหลันว่า “ ไม่รู้ว่าจวนเหิงกั๋วโหวเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้ตายกะทันหันตั้งสองคน? เรื่องงานศพจะทำเช่นไร?”

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ตอนที่พี่รองของเจ้าให้คนมาแจ้งข้าก็พูดไม่ชัดเจน ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน เรื่องงานศพจะทำเช่นไร แล้วยังจะทำอะไรได้อีก? ทำได้เพียงจัดพร้อมกันเท่านั้น คงไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้ แม้จะบอกว่าตอนนี้อากาศไม่ร้อน ไม่ต้องกลัวว่าศพจะเหม็นเน่า แต่อย่างไรก็ไม่เหมาะสม ต้องยึดพิธีศพของฮูหยินชราเป็นหลัก ส่วนคุณชายสาม…”

 

 

องค์หญิงเก้าพยักหน้าไม่ได้ถามอะไรอีก

 

 

ถาวจวินหลันคิดถึงคำของหลี่เย่ จึงถามองค์หญิงเก้าว่า “ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง? จิ้งผิงไม่ได้รังแกเจ้าใช่หรือไม่? หากเขารังแกเจ้า เจ้าก็ให้คนมาแจ้งข้าได้เลย ข้าจะไปจัดการเขาให้เอง”

 

 

องค์หญิงเก้าหัวเราะ “จิ้งผิงดีมากเจ้าค่ะ ไม่ได้รังแกข้า”

 

 

ถาวจวินหลันก็หัวเราะเช่นเดียวกัน “คิดว่าตัวเจ้าเองก็คงจะเข้าใจ แม้เขาจะมีนิสัยดื้อรั้นไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นคนอ่อนโยนคนหนึ่ง หากเขาโมโห เจ้าเองก็ถอยให้ก้าวหนึ่ง พอเขาคิดได้จะต้องมาขอโทษเจ้าเป็นแน่”

 

 

องค์หญิงเก้าคิดถึงท่าทีเย็นชาหลายวันมานี้ของถาวจิ้งผิง ก็รู้สึกมืดมน ยิ้มอย่างฝืดเคือง “อืม ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันมองท่าทีขององค์หญิงเก้า ฉับพลันก็รู้สึกแปลก จึงอดถามไม่ได้ “เจ้ากับจิ้งผิงเป็นอะไรหรือ? ทะเลาะกันหรืออย่างไร?” พอนางพูดออกไปแล้ว ถึงเพิ่งได้สติกลับมา ถามเช่นนี้ดูกะทันหันเกินไปหน่อย

 

 

องค์หญิงเก้ามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง ยิ้มเฝื่อน “ไม่ได้ทะเลาะกันเจ้าค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี” นางและถาวจิ้งผิงไฉนเลยจะถือว่าทะเลาะกันได้ แม้ว่านางอยากจะทะเลาะ แต่ถาวจิ้งผิงก็ต้องสนใจนางก่อนถึงจะถูก เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน องค์หญิงเก้าก็รู้สึกขมไปทั้งปาก

 

 

องค์หญิงเก้าไม่ยอมพูด ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจจะบีบบังคับ จึงถอนหายใจเสียงเบา “ทะเลาะกันก็ไม่เป็นอะไร ข้ากับท่านอ๋องเองก็เคยทะเลาะกันมาก่อน แต่พอจบเรื่องก็ควรถอยคนละก้าว เขามีนิสัยดื้อรั้น เจ้าเองก็ถอยมาก่อน พวกเจ้าสองคนคุยกันให้ดี ก็จะแก้ไขปัญหาได้ราบรื่นแล้ว”

 

 

นางตั้งใจช่วยองค์หญิงเก้าและถาวจิ้งผิงจริงๆ

 

 

แต่ไม่รู้ว่าองค์หญิงเก้าได้ฟังบ้างหรือไม่ ยังไม่ทันรอให้องค์หญิงเก้าพูดอะไร รถม้าก็หยุดลง มาถึงจวนเหิงกั๋วโหวแล้ว

 

 

เมื่อลงจากรถม้า ถาวจวินหลันก็เห็นโคมไฟขาวและกระดาษกลอนสีขาวที่หน้าประตู

 

 

แล้วนางก็ให้บ่าวเอาของร่วมงานศพไปมอบให้ แล้วถึงได้เดินตามบ่าวชราเข้าไปข้างในพร้อมองค์หญิงเก้า พวกนางมาเพื่อไว้อาลัยฮูหยินชรา ส่วนคุณชายสามกลับไม่เหมาะให้ผู้หญิงอย่างพวกนางเข้าไปไว้อาลัย

 

 

ฮูหยินชราแต่งกายเรียบร้อย ใส่ชุดพิธีตำแหน่งผิน บนศีรษะมีมงกุฎ ในปากอมไข่มุก มือทั้งสองข้างถืออัญมณีเอาไว้ นอนหลับตานิ่งอยู่ภายในโลงศพ แลดูมีท่าทีมีเมตตาอยู่หลายส่วน

 

 

ถาวจวินหลันเข้าไปก็เห็นเพ่ยหยางโหวฮูหยิน นางคุกเข่าอยู่ตรงนั้น อย่างไรฮูหยินชราก็เป็นแม่ใหญ่ของนางมิใช่หรืออย่างไร?

 

 

เมื่อจุดธูป และก้มคำนับแล้ว ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้าก็ยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่นานร่างของเพ่ยหยางโหวูหยินก็ส่ายไปมา ถาวจวินหลันจึงก้าวเข้าไปพูดว่า “ท่านแม่เป็นอะไรเจ้าคะ? เพราะว่าคุกเข่านานเกินไปหรือไม่เจ้าคะ? ถ้าอย่างนั้นก็พักเสียหน่อย มิเช่นนั้นกลับไปยังต้องให้คนอื่นมาคอยดูแลท่านนะเจ้าคะ ไม่ใช่ว่าทำเรื่องวุ่นวายอีกหรืออย่างไรเจ้าคะ?”

 

 

ด้วยเป็นลูกสาว คำพูดของถาวจวินหลันย่อมไม่อาจเสียมารยาทจนเกินไป คนอื่นก็ทำได้แค่เปิดปากพูดกล่อมเพ่ยหยางโหวฮูหยินเล็กน้อย

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินลุกขึ้นตามแรงดึง แล้วให้ถาวจวินหลันประคองตนเองไปห้องข้างๆ เพื่อพักผ่อน

 

 

“ท่านแม่มานานเท่าไรแล้วเจ้าคะ?” ถาวจวินหลันถามเสียงเบา

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินส่ายหน้าพูดว่า “ไม่นานเท่าไรนัก มาเร็วกว่าพวกเจ้าประมาณครึ่งชั่วยามได้”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นท่านแม่ก็คงไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น”

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินส่ายหน้า “ใครบอกว่าข้าไม่รู้? ข้ารู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เป็นเรื่องที่เฝินหยางโหวบีบบังคับให้แต่งงาน”

 

 

“บีบบังคับให้แต่งงานหรือเจ้าคะ?” ถาวจวินหลันพูดซ้ำอีกครั้งด้วยความตกใจ รู้สึกว่าคาดไม่ถึง นี่ยังไม่ได้ตกลงว่าจะหมั้นหมายด้วยซ้ำไป แล้วจะพูดเรื่องบีบบังคับแต่งงานได้อย่างไรกัน?

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินหัวเราะเยาะ “ไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกความคิดเหลวไหลให้เฝินหยางโหว เฝินหยางโหวพูดไปทั่วว่าตนเองหมั้นหมายกับคุณหนูสาม อีกไม่นานก็จะแต่งเข้าเรือน และไปก่อเรื่องวุ่นวายกับครอบครัวที่เดิมหมั้นหมายกับคุณหนูสามไว้หลายรอบ ทำลายงานแต่งงานของคุณหนูสามไม่พอ แล้วยังทำให้คนตระกูลนั้นเยาะเย้ยคุณหนูสามอีก พูดว่าหญิงสาวคนหนึ่งแต่งงานกับผู้ชายสองคน คราวนี้ไม่รู้ว่าคุณหนูสามไปได้ยินคำพูดนี้มาได้อย่างไร ก็เลยจะฆ่าตัวตาย หลังจากคุณชายสามรู้เรื่องแล้ว ก็จะไปเรียกร้องความยุติธรรมจากเฝินหยางโหว แต่พอลงจากเตียงกลับล้มหน้าคะมำไป ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็เสียชีวิต หลังจากที่คุณชายสามเสียชีวิตแล้วนั้น ฮูหยินชราได้ยินข่าวร้ายก็เกิดร้อนใจ หายใจไม่ทัน”

 

 

เพ่ยหยางโหวพูดออกมาอย่างละเอียด ถาวจวินหลันตกใจเป็นอย่างมาก “นี่แทบจะเป็นเหมือนละครแล้วนะเจ้าคะ”

 

 

“จะไม่ใช่ได้อย่างไรกัน” เพ่ยหยางโหวฮูหยินเริ่มมีท่าทีเย้ยหยันมากยิ่งขึ้น “น่าชมกว่าในละครตั้งเยอะ ต่อจากนี้ไปไม่รู้ว่าจวนเฝินหยางโหวและจวนเหิงกั๋วโหวจะวุ่นวายเพียงใด”

 

 

ครู่เดียวก็มีคนเสียชีวิตไปสองคน ล้วนเป็นเพราะเพ่ยหยางโหว หากเหิงกั๋วโหวกล้ำกลืนความแค้นนี้ลงไปอย่างง่ายดาย เกรงว่าต่อจากนี้ไปแม้แต่หน้าที่จะออกจากบ้านก็ยังไม่มี แต่แม้ว่าจวนเฝินหยางโหวจะล่มสลาย แต่ก็กุมจุดอ่อนของฮองเฮาเอาไว้ ไม่มีทางแก้ไขได้ชัดเจน

 

 

ถาวจวินหลันวางแผนอยู่ในใจ แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องนี้มีฝีมือของหลี่เย่บ้างหรือไม่?

 

 

และนางก็รู้สึกว่าคนที่ออกความคิดให้กับเฝินหยางโหว ก็คือจั่วเสี่ยนอวี้ที่เป็นน้องชายจากอนุภรรยาของเฝินหยางโหว นอกจากเขา เกรงว่าคงไม่มีใครจัดการกับเฝินหยางโหวเช่นนี้ได้

 

 

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้คุณหนูสามซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อผ่านเรื่องราวเหล่านี้แล้ว คนปกติย่อมไม่มีทางพูดเรื่องหมั้นหมายกับนางเป็นแน่ อีกอย่างมาพรากชีวิตของพี่ชายและย่าของตนเองไป ในใจของนางย่อมต้องรู้สึกไม่ดีเป็นแน่

 

 

พอเห็นท่าทีเหน็ดเหนื่อยของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ถาวจวินหลันก็ยิ้มบางๆ “แต่วันเวลาต่อจากนี้ไปท่านแม่ก็จะขาดคีมเหล็กไปหนึ่งอัน ช่างน่ายินดีด้วยเหลือเกิน” ฮูหยินชราครอบครองตำแหน่งแม่ใหญ่ ปกติแล้วชอบชี้นิ้วสั่งจวนเพ่ยหยางโหว ยามนี้ไม่มีฮูหยินชราแล้ว เกรงว่าในใจของเพ่ยหยางโหวฮูหยินคงไม่ได้โศกเศร้าสักเท่าไร อาจรู้สึกสบายใจเสียด้วยซ้ำ

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่ได้ปฏิเสธอะไร กลับเห็นด้วยกับคำพูดของถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วเพ่ยหยางโหวฮูหยินก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง ทำให้ถาวจวินหลันเข้าใจในทันใดว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินรู้สึกเช่นไร

 

 

“เมื่อวานซืนฮูหยินยังบีบบังคับให้ข้าเอาลูกของอนุภรรยาไปแต่งงานกับเฝินหยางโหว” นี่คือคำพูดของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ตอนที่พูดสิ่งนี้ออกมา เพ่ยหยางโหวก็มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่า หากนางเป็นเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ไม่ส่งเสียงหัวเราะก็ถือว่าเก็บอารมณ์ได้ดีแล้ว การกระทำเช่นนี้ของฮูหยินชราช่างไม่น่าเคารพเสียจริง

 

 

หลังจากนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็ขอตัวกลับจวน แต่หลังจากกลับไปแล้ว นางก็กำชับหงหลัวว่า “เจ้าไปด้วยตนเองสักครั้งหนึ่ง ไปเชิญฉินฮูหยินมาพูดคุยกับข้าเสียหน่อย”

 

 

ฉินซื่อเป็นภรรยาของจั่วเสี่ยนอวี้ หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจั่วเสี่ยนอวี้ ถ้าเช่นนั้นฉินซื่อก็ต้องรู้อย่างแน่นอน

 

 

นางอยากจะรู้เบื้องหลังของเรื่องนี้ อีกอย่าง มีแค่รู้เบื้องหลังเรื่องนี้แล้ว นางถึงจะลงมือเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตนเอง แค้นขององค์หญิงแปดยังไม่ได้ชำระเลย

 

 

ถาวจวินหลันกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานอย่างไม่คาดคิด “ถาวจืออี๋เหนียงและจิ้งหลิงอี๋เหนียงทะเลาะกันเจ้าค่ะ จิ้งหลิงอี๋เหนียงลงมือตบถาวจืออี๋เหนียงด้วยเจ้าค่ะ!”

 

 

ถาวจวินหลันตกใจมาก “ไม่มีทางหรอก?” แม้จะบอกว่าจิ้งหลิงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่เคยลงมือตบตีใครมาก่อน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือหลายปีมานี้ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น! เจ้านายทั้งสองคน ทะเลาะกันก็ไม่แปลก แต่นี่ถึงกับลงไม้ลงมือ!

 

 

นี่ถูกต้องที่ไหนกัน? ถาวจวินหลันนวดหว่างคิ้ว “ประคองข้าไปดู” ในขณะเดียวกันนางก็ปวดหัว หากนี่เป็นเรื่องจริง นางที่เป็นคนดูแลจวนอยู่ตรงกลางย่อมต้องลำบากใจที่สุด