ตอนที่ 514 เชื่อเขาอีกสักครั้ง / ตอนที่ 515 ให้เขาเข้าห้องพักผู้ป่วย

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 514 เชื่อเขาอีกสักครั้ง

 

 

           เขาพูดไปก็เป็นฝ่ายเปิดกล่องเค้กให้เขา แล้วหยิบเค้กออกมา ทั้งยังหยิบส้อมให้เขาด้วย

 

 

           สายตามั่วไป๋จดจ่ออยู่ที่เค้กชิ้นนั้น สีหน้าเย็นชา ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           ไป๋จิ่งค่อนข้างตื่นตระหนก กลัวมั่วไป๋ไม่ยอมกิน

 

 

           แต่มั่วไป๋ไม่พูดอะไรสักอย่าง ยื่นมือไปหยิบส้อมในมือของไป๋จิ่ง ตักเค้กคำหนึ่งเข้าปาก

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวกลิ่นหอมหวานก็อบอวลอยู่ในปาก

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาด้วยความเป็นกังวล ทั้งยังกลัวว่าเขาไม่ชอบ

 

 

           ยังดีที่มั่วไป๋ไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้ากินเค้กต่อไป

 

 

           การกระทำนี้ทำให้ไป๋จิ่งโล่งใจไปโดยไม่รู้ตัว เขายื่นมือไปเปิดของหวานบนโต๊ะอีกด้วยเช่นกัน

 

 

           “ยังมีอันนี้ด้วย อร่อยมากเลย”

 

 

           มั่วไป๋เห็นของหวานและเค้กชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กวางเรียงรายอยู่ต่อหน้าตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

 

 

           ‘นี่ถือเป็นของชดเชยที่ไป๋จิ่งทำให้เขาเหรอ’

 

 

           พอคิดถึงตรงนี้ รสชาติที่ยังหวานแต่เดิมในปากไม่รู้ว่าทำไมถึงเริ่มขมฝาดๆ เล็กน้อยแล้ว

 

 

           เขาชะงักส้อมในมือลง เอ่ยเสียงต่ำ “ที่จริงนายไม่ต้องเอาใจฉันแบบนี้ก็ได้”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินก็รีบโต้แย้ง “นี่ไม่ใช่การเอาใจนะ”

 

 

           “ถ้าฉันจำไม่ผิด เมื่อก่อนนายไม่เคยจะทำอะไรพวกนี้มาก่อนเลย”

 

 

           น้ำเสียงเย็นชาของเขาทำให้ไป๋จิ่งไปแทบไม่เป็น

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว “เคยคิด เพียงแต่ว่าไม่กล้าทำ”

 

 

           เพราะกลัวว่ายิ่งตัวเองดีกับหลินฝานอีกนิด ก็ยิ่งจะอยากจะดีกับเขาขึ้นอีกนิด

 

 

           มั่วไป๋ไม่รู้ว่าที่ไป๋จิ่งพูดอะไรพวกนี้มาหมายความว่ายังไงกัน เขานั่งรอฟังคำพูดต่อจากนั้นของไป๋จิ่ง แต่ไป๋จิ่งพูดประโยคนี้แล้ว กลับไม่อธิบายอะไรต่อ

 

 

           “ไป๋จิ่ง ที่นายอยากได้ ฉันให้นายไม่ไหวแล้ว”

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นความรัก หรือความไม่รักตัวกลัวตายในตอนนั้น เขาก็ให้ไม่ไหวแล้ว

 

 

           “ฉันในวันนี้เหลือแค่เพียงร่างกายที่ข้างในว่างเปล่า ไม่มีอะไรแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ครั้งนี้ไม่ต้องให้คุณเดิน ครั้งนี้ผมจะเดินเอง ขอเพียงแต่คุณไม่หนีผม อย่าหลบผมก็พอ…

 

 

           …ผมจะให้ทุกอย่างที่คุณต้องการได้…

 

 

           …ขอเพียงแต่คุณต้องการ ผมก็ให้คุณได้หมด”

 

 

           คำพูดเหล่านี้ของไป๋จิ่งสำหรับมั่วไป๋แล้วล่อใจคนเกินไปแล้ว

 

 

            แต่ว่าของที่ล่อใจคนเกินไป ส่วนมากจะอาบด้วยยาพิษ ถ้าเชื่อไป๋จิ่งอีกครั้ง จะลงเอยด้วยดีจริงๆ ได้เหรอ

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว มือมั่วไป๋ที่จับส้อมไว้กระชับแน่นขึ้น เขาหลุบตาลงไม่กล้ามองไป๋จิ่ง “นายให้ฉันคิดหน่อยได้ไหม”

 

 

           เขากำลังลังเลใจอยู่ อดที่จะอยากเชื่อไป๋จิ่งไม่ได้

 

 

           แต่ความเจ็บปวดทรมานในตอนนั้นมันฝังอยู่ลึกเกินไปในหัวใจของเขา

 

 

           เขากลัวว่าเชื่อไป๋จิ่งครั้งนี้แล้ว วันหน้าจะเหมือนกับตอนแรกเริ่มนั้น เจ็บทะลุถึงหัวใจ

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแววตาเย็นชาของอีกฝ่ายเผยความรู้สึกที่หมดหนทาง เขาก็ทำใจแข็งไม่พอจะบีบบังคับมั่วไป๋อีกต่อไป

 

 

           “คุณค่อยๆ คิดก็ได้ ผมรอคุณได้เสมอ ขอเพียงแต่คุณคิดดีแล้ว จะบอกผมเมื่อไหร่ก็ได้”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ก็ไม่ได้อยู่ในข้างในห้องต่อ เป็นฝ่ายเดินออกไปคนเดียวเอง

 

 

           หลังจากเขาออกไปแล้ว สายตามั่วไป๋จดจ่ออยู่ที่เค้กของหวานบนโต๊ะ

 

 

           ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มั่วไป๋ก็นึกถึงจูบของไป๋จิ่งเมื่อครู่นี้ นิ้วมือลูบเบาๆ โดยไม่รู้ตัว

 

 

           ‘บางที…การเชื่อเขาอีกสักครั้ง…ก็ไม่เป็นไร….ใช่ไหม…’

 

 

ค่ำคืนวันเดียวกัน เซียวเย่ว์ทนไม่ไหวติดต่อหาไป๋จิ่ง เพียงแต่ว่าไป๋จิ่งไม่มีกะจิตกะใจมาสนใจเธอ ดังนั้นจึงหาข้ออ้างแบบขอไปทีให้พ้นๆ ไป

 

 

เขากำลังกลุ้มใจต้องการไปตามหาเซียวเย่ว์ เซียวเย่ว์ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้

 

 

ถ้าไม่ใช่เพื่อมั่วไป๋แล้ว คนคนนี้ไม่มีทางที่เขาจะเจอได้อีกตลอดชีวิตนี้

 

 

เมื่อเข้าสู่ราตรีกาล อุณหภูมิก็ลดลงอีกหลายองศา

 

 

           ถึงแม้ว่าไป๋จิ่งจะกินยาลดไข้แล้ว แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะกดอาการไว้แล้ว แต่เสียงไอก็ยังเล็ดลอดออกมาอย่างต่อเนื่อง  

 

 

       

 

 

ตอนที่ 515 ให้เขาเข้าห้องพักผู้ป่วย

 

 

           มั่วไป๋ในห้องพักผู้ป่วยได้ยินเสียงนั้นของเขา พลางคิดถึงว่าเขากำลังเป็นไข้

 

 

           ใจก็อ่อนยวบทันที อดจะดึงผ้าห่มออกมาไม่ได้ เขาไม่เปิดไฟ แต่เดินตามแสงไฟข้างนอกเปิดประตูออกไป

 

 

           เพราะไป๋จิ่งไอ เขาจึงขดตัวเล็กน้อย ดูๆ ไปแล้วก็น่าสงสารอยู่ไม่เบา

 

 

           หัวใจมั่วไป๋อดจะบีบคั้นไม่ได้ มือที่จับลูกบิดประตูประชับแน่นขึ้น

 

 

           ผ่านไปไม่กี่นาที เยาปล่อยมือออกจากลูกประตู เดินมุ่งหน้าไปหาไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา หันหน้าไปมอง เขาเก็บกดอาการคันคอเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เป็นไรไป ทำเสียงรบกวนจนคุณตื่นเหรอ”

 

 

           เขาพูดไปพลางลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ “งั้นผมจะไปที่ข้างๆ ตรงนั้น แบบนี้จะได้ไม่รบกวนคุณ”

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาพูดแล้วจะเดินออกไป เสียงต่ำก็เอ่ยอย่างไม่ค่อยจะยินยอม “ไม่ต้องไปแล้ว เข้ามาเถอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงัน คิดว่าตัวเองฟังไม่ชัด

 

 

           “คุณว่าอะไรนะ”

 

 

           มั่วไป๋ค่อนข้างจะอึดอัดใจ พูดประโยคนี้ออกมากับไป๋จิ่งได้ก็เป็นความพยายามอย่างมากที่สุดของเขาแล้ว

 

 

           แต่ไป๋จิ่งดันงุนงงถามเขากลับอีก

 

 

           มั่วไป๋ถลึงตาใส่เขา “ถ้าไม่อยากเข้าไป ก็อยู่ข้างนอกเถอะ”

 

 

           เวลานี้เองในที่สุดไป๋จิ่งก็ได้ยินชัดเต็มหู รีบเดินตามมั่วไป๋เข้าไป ราวกับช้าอีกก้าวหนึ่ง มั่วไป๋จะเปลี่ยนใจได้จริงๆ

 

 

           มั่วไป๋ปิดประตู หลังจากนั้นก็มองโซฟาที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง “นายไปนอนตรงนั้นแล้วกัน ในตู้มีผ้าห่ม ไปหยิบเองนะ”

 

 

           พูดจบ ตัวเองก็กลับไปขึ้นเตียง แสดงท่าทีไม่อยากสนใจไป๋จิ่งอีก

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ในห้องที่มืดสลัว หัวใจเต้นตึกตัก ควบคุมไม่อยู่ รุนแรงราวกับจะเต้นออกมาให้ได้

 

 

           ชะงักค้างอยู่หลายนาที ไป๋จิ่งถึงค่อยนึกได้เดินไปหยิบผ้าห่ม

 

 

           เขาคลำหาจนเดินไปถึงหน้าตู้ ยื่นมือไปเปิดตู้หยิบผ้าห่มออกมา หลังจากนั้นก็เดินอย่างเบาฝีเท้ามากๆ มุ่งตรงไปยังโซฟาทันที

 

 

           ไป๋จิ่งนอนบนโซฟาอย่างระมัดระวัง ความยาวของโซฟานี้ถือว่าสั้นไปหน่อย แต่สบายกว่าข้างนอกมากกว่าเป็นธรรมดา

 

 

           ไป๋จิ่งห่มผ้าห่ม ทั้งเนื้อทั้งตัวอบอุ่นขึ้นมาก

 

 

           ในห้องเงียบสงัด ถึงขนาดที่สามารถได้ยินเสียงหายใจจางๆ ของมั่วไป๋ได้

 

 

           ไป๋จิ่งรู้ว่าเวลานี้เขาต้องยังไม่ได้หลับอย่างแน่นอน ทั้งสองคนลืมตากันทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างเงียบงันไม่พูดจา

 

 

           ไป๋จิ่งไม่รู้ว่าทำไมมั่วไป๋ถึงได้เปลี่ยนความคิดให้ตัวเองเข้ามาได้

 

 

           แต่ว่าในเมื่อมั่วไป๋เอ่ยปากแล้ว เขาต้องยินดีแน่นอนอยู่แล้ว

 

 

           มีเพียงแค่คนโง่เท่านั้นถึงจะปฏิเสธไม่เข้ามาได้

 

 

           เขาเฝ้าอยู่ประตูข้างนอกมาตั้งสิบวัน กว่าจะได้เข้ามาในห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งตัดสินใจแล้ว ถ้าพรุ่งนี้มั่วไป๋ตื่นมาแล้วให้เข้าออกไป เขาก็จะ…ตีให้ตายอย่างไรเขาก็จะไม่ออกไป

 

 

           อย่างมากเขาก็แค่แถไปก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรต่อหน้ามั่วไป๋ เขาก็หน้าไม่อายอยู่ดี

 

 

           ขอเพียงแต่อยู่ข้างกายมั่วไป๋ได้ จะอายไปเพื่ออะไร

 

 

           ไป๋จิ่งลืมตา สายตาอ้อยอิ่งจดจ้องมั่วไป๋ที่อยู่บนเตียงคนไข้ตลอดเวลา อาศัยแสงไฟสลัวๆ เขาก็เห็นได้เพียงเงาร่างของมั่วไป๋อย่างเลือนราง

 

 

           แต่แบบนี้ทำให้ไป๋จิ่งนอนไม่หลับด้วยความดีใจไปแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนเงียบงันไม่พูดจากันนานมาก จนกระทั่งถึงเที่ยงคืนถึงได้นอนหลับไป

 

 

           เช้าวันต่อมา เหยียนอวี้มาเร็ว เตรียมจะไปดูในห้องมั่วไป๋สักรอบหนึ่ง

 

 

           ใครจะคิดว่าพอเปิดประตูมา จะมีคนนอนอยู่บนโซฟา

 

 

           ‘ยังไงกัน เมื่อวานยังทำหน้ารังเกียจไม่สบอารมณ์อยู่เลย ทำไมกลางคืนถึงให้คนมานอนในห้องตัวเองได้’

 

 

           เหยียนอวี้มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเหมือนได้ดูละครฉากเด็ด อยากจะดูสิว่าจะพบรายละเอียดอื่นๆ ตรงไหนที่ตัวเองมองข้ามไปได้หรือเปล่า

 

 

           เขาชายตามองไปมา ก็เห็นมั่วไป๋มองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก

 

 

           หัวใจเหยียนอวี้สั่นสะท้าน กระสับกระส่ายนิดหน่อยแล้ว

 

 

           ความรู้สึกแบบนั้นคือความรู้สึกที่ตัวเองกำลังทำลับๆ ล่อๆ แล้วสุดท้ายโดนคนจับได้ในที่สุด