เมื่อฝูงชนได้ยินคำพูดของเฉินเฉินแล้วพวกเขาก็หันกลับไปมองเขากันอีกครั้งหนึ่ง
มันเป็นเวลานานแล้วที่สาขาขัดเกลาร่างกายไม่มีลูกศิษย์คนไหน ในตอนนี้เมื่อมีปรากฏขึ้นมาหนึ่งคนและมั่นใจในตัวเองสูงมากเช่นนี้แล้ว มันก็เป็นที่ดึงดูดสายตาต่อทุกคน
สุดท้ายแล้ว เจ้าสำนักยี่สิบสามคนของสำนักอสูรนั้นมีถึงสิบเก้าคนที่มาจากสาขาขัดเกลาร่างกาย!
มันเป็นเพราะว่าผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งของร่างกายจะไม่สามารถเอาชนะได้และยังมีความสามารถที่ชนะทั้งสามสิบหกสำนักด้วยพลังของเขาเองด้วย!
นายน้อยของสาขาที่ห้าถอยกลับไปในฝูงชนหลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาตกลงที่จะให้เฉินเฉินไปก่อน
เฉินเฉินไม่ยืนลีลาด้วยเช่นกัน เขาเดินเข้าไปในใจกลางสังเวียนและเพียงเวลาไม่นานเขาก็มายืนอยู่ด้านหน้าหยวนฉิงเทียน
เมื่อมองไปยังผู้ฝึกตนชั้นยอดที่ยืนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในเมืองหลวงเมื่อสิบวันก่อนและต่อสู้กันอย่างกล้าหาญอีกครั้งหนึ่ง เฉินเฉินรู้สึกเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วมกับการต่อสู้อย่างมาก
ยังไงก็ตามเขาไม่มีความเห็นใจกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
เส้นทางของการเป็นเซียนนั้นโหดเหี้ยมและมีเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจะอยู่รอดได้ ถ้ามันไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาไม่มีโอกาสตอนนั้นแล้ว เขาคงจะฆ่าหยวนฉิงเทียนทิ้งไปแล้วละ
“ข้าได้ยินมาจากผู้คนในสำนักว่าการเอาชนะเจ้าได้นั้นคือสิ่งที่ข้าเคยใฝ่ฝันอยู่ตลอดมา ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สนใจมันแล้วก็ตาม แต่ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำมัน”
หยวนฉิงเทียนมองไปยังหน้ากากของเฉินเฉินด้วยสีหน้าที่จริงจังก่อนที่ร่างกายของเขาจะหายไป
เขาสัมผัสถึงพื้นที่โดยรอบ เฉินเฉินค่อนข้างประหลาดใจ
เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะหยวนฉิงเทียนเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานหรือเปล่า แต่มันไม่มีการไหลเวียนพลังงานในวิชาพลางตัวของเขาเลย มันเหมือนกับว่าเขานั้นหลอมรวมเข้ากับสวรรค์และผืนปฐพีไปหมดแล้ว
แน่นอนว่าเฉินเฉินจะหาเขาพบได้ ถ้าเขาใช้ระบบในการค้นหา แต่เฉินเฉินเลือกที่จะไม่ทำมัน
ถ้าเขาใช้ระบบในการต่อสู้กับหยวนฉิงเทียน แม้ว่าเขาจะอยู่ในดินแดนลึกลับมาสิบวันแล้วก็ตามที มันไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นผู้ฝึกตนชั้นยอดหรืออย่างไร?
เพียงแค่เขาคิดถึงเรื่องนี้ คลื่นกระแสพลังงานก็ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลัง
เพียงแค่สัมผัสได้ เฉินเฉินก็รู้สึกท้อนิดหน่อย แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ทำความเข้าใจความสามารถตัวเองเขาเพิ่มมากขึ้น
เขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เขาเพียงปล่อยให้หยวนฉิงเทียนโจมตีใส่หลังของเขา
พลังปราณระเบิดออกและคลื่นพลังกระแทกเข้าใส่เขา ในขณะที่หยวนฉิงเทียนได้แสดงพลังระดับครึ่งแก่นทองคำของเขาออกมา แต่ว่าเขาก็ไม่สามารถทำให้เฉินเฉินสั่นสะเทือนได้เลยสักนิด
กลุ่มของนายน้อยต่างมีสีหน้าที่ตึงเครียด
ยังไงก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะมองอะไรได้ชัดเจน ลำแสงสีทองส่องประกายออกมาจากร่างของเฉินเฉินและหยวนฉิงเทียนโดนผลักกระเด็นออกไปไกล
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น แม้แต่โจวเฟิงยังสีหน้าเปลี่ยน เมื่อขนาดผู้อาวุโสเป็นอย่างงี้แล้ว มันไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อกับเหล่านายน้อยเลย
‘นี่คือวิชาอมตะไขว่คว้าสวรรค์งั้นสินะ มันทรงพลังถึงเพียงนี้เลยเหรอเนี่ย?! มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ไม่ใช่ว่ามันเป็นวิชาขัดเกลาร่างกายที่มันเป็นที่รู้จักกันในความไร้เทียมทานหรือไงเนี่ย?’
‘ทำไมพลังโจมตีมันถึงได้ทรงพลังขนาดนี้กัน?’
เฉินเฉินเมินอาการตกตะลึงของผู้คนรอบตัวเขาไปและเดินลงจากบนสังเวียนอย่างเชื่องช้า แสงสีทองรอบตัวเขาก็เริ่มจางลง
เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าโจวเฟิง เขาหันกลับไปมองยังเหล่านายน้อยและพูดขึ้น “สุภาพบุรุษทั้งหลาย เมื่อข้าไปยังรัฐจินและไปทำสิ่งมีประโยชน์ให้กับสำนักแล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเตรียมพร้อมกับการกลับมาของข้าด้วยนะ ข้าจะเข้าร่วมบททดสอบนี้ เมื่อข้ากลับมา อย่าทำให้ข้าผิดหวังละ”
หลังจากพูดเสร็จ เฉินเฉินก็เดินจากไปพร้อมกับโจวเฟิง
ในเวลาเดียวกันนั้นเองผู้คนก็เริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“สาขาขัดเกลาร่างกายนี่ได้สร้างยอดฝีมือมาอีกแล้วสินะ ข้าชอบจริง”
“ข้าไม่เคยต้องการจะเป็นเจ้าสำนักอยู่แล้ว การได้ติดตามยอดฝีมือแบบนั้นมันทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัย”
…
เฉินเฉินกลับมายังภูเขาที่เป็นที่ตั้งของดินแดนลึกลับ เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย เนื่องจากว่าโจวเหรินหลงได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดไป
“เจ้าต้องการเป็นนายน้อยของสำนักอสูรของข้างั้นเหรอ?” โจวเหรินหลงถามอย่างเฉยเมย
“เจ้าสำนัก ข้าต้องการที่จะเดินบนเส้นทางในการทำลายล้างสำนักอู๋ซิ่น!” เฉินเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ยังไงก็ตามสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการหนีจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาทำได้และกลับไปยังสำนักเทียนหยุนเพื่อเป็นผู้สืบทอดต่อไป
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่การเพ้อฝันเท่านั้น เมื่อเขาได้รับมรดกจากเซียนเทพอสูรมาแล้ว เขาจะไปจากสำนักอสูรไปอย่างง่ายๆได้ยังไงกัน?
เขาทำแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อสำนักอสูรเป็นคนโง่เท่านั้นแหละ
“เจ้าต้องการใช้โอกาสนี้ในการกลับไปยังรัฐจินสินะ” โจวเหรินหลงพูดอย่างใจเย็น แต่บรรยากาศบนภูเขานั้นหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น
เฉินเฉินหัวใจเต้นระรัว มันไม่ได้เป็นเพราะเขากังวล แต่มันเป็นเพราะโจวเหรินหลงได้ปลดปล่อยพลังโลหิตที่ทรงพลังออกมาจนทำให้เขารู้สึกตื่นกลัว
“เจ้ากำลังคิดว่าเจ้าจะหนีไปพร้อมกับมรดกอย่างงั้นหรือไง?” โจวเหรินหลงถามต่อด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากเดิม มันทำให้เฉินเฉินรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบมันหนักอึ้ง
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เฉินเฉินก็พยายามไม่ใส่ใจความไม่สบายเนื้อสบายตัวของเขาและปฏิเสธ “เจ้าสำนัก ข้าไม่มีจุดตันเถียนและมันจะมีใครในโลกใบนี้ที่ยอมรับข้านอกจากสาขาขัดเกลาร่างกายอีกกัน? ในสายตาของข้าแล้ว สำนักอสูรคือทางออกทางเดียวของข้าและมันเป็นสถานที่ที่ข้าปรารถนาที่จะรับใช้ในอนาคต!”
ทันทีที่เขาพูดจบ แรงกดดันในภูเขาก็จางหายลงและโจวเหรินหลงก็หัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ! เจ้าไม่ต้องกังวลไปมากขนาดนั้นก็ได้ แม้ว่าเจ้าจะมีความอยากกลับไปยังรัฐจินอยู่ในหัวใจก็ตามที มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วละ สุดท้ายแล้วมันก็เป็นบ้านเกิดของเจ้า”
“ยังไงก็ตาม เจ้าก็พูดถูกอยู่ สำนักอสูรคือทางออกทางเดียวของเจ้าและข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำคำนี้ไว้ตลอด เอาละ การคิดถึงรัฐจินของเจ้ามันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะแก้ไขปัญหานี้ ในอนาคตเจ้าก็ยึดครองมันซะสิ”
หลังจากพูดจบ โจวเหรินหลงจ้องไปที่ตาของเฉินเฉินที่ไม่ได้เหลบตาของเขา แต่กลับดูใจเย็นแทน
“เจ้าสำนักครับ ลูกศิษย์คนอื่นอาจจะทำไม่ได้ แต่สำนักอู๋ซิ่นได้ทำลายจุดตันเถียนของข้า ดังนั้นข้าจะสังหารพวกเขาทิ้งอย่างแน่นอน!”
“โอเค ข้าเชื่อเจ้า”
โจวเหรินหลงหยุดมองไปที่เฉินเฉินและมันก็ฟื้นสภาพจากความหม่นหมองและกดดันของเขาไป
ชั่วขณะต่อมา เขาก็มองเข้าไปในความมืดอีกครั้งหนึ่ง
“โจวฉาน เจ้าออกมาด้วย”
หลังจากเขาพูดเสร็จ ชายแก่ในชุดดำอีกคนก็เดินออกมา ระดับการฝึกตนของเขาอยู่เหนือขั้นก่อกำเนิดวิญญาณด้วยเช่นกันเช่นเดียวกันกับโจวเฟิง
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าและโจวเฟิงจะต้องเป็นคนดูแลความปลอดภัยของจางเฉินตลอดเวลา”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เฉินเฉินคิดกับตัวของเขาเองว่าเจ้าสำนักเป็นดั่งกับจิ้งจอกเฒ่า!
เมื่อดูจากภายนอกแล้ว เขาเชื่อใจเขา แต่เขากลับส่งผู้ที่อยู่ขั้นก่อกำเนิดวิญญาณสองคนออกไปสองคนเพื่อจับตามองเขา!
‘ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนที่ยังไม่ได้อยู่ในขั้นแก่นทองคำเลยด้วยซ้ำไป เจ้าจะต้องจริงจังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?!’
โจวเหรินหลงไม่ได้สนใจเลยเกี่ยวกับความรู้สึกของเฉินเฉิน เขาพูดต่อ “จางเฉิน ข้าเข้าใจว่าเจ้าต้องการที่จะไปรัฐจินเพื่อสร้างชื่อเสียงและช่วยสนับสนุนให้กับสำนักอสูร เพื่อหาบททดสอบในการต่อสู้ แต่เจ้าพึ่งจะฝึกตนมาได้ไม่นานสักเท่าไหร่ เจ้ายังขาดประสบการณ์ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเกินไปหรอกที่ข้าจะส่งผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิดวิญญาณสองคนออกไปปกป้องเจ้า”
“แน่นอนว่าไม่เลย ผู้อาวุโสขั้นก่อกำเนิดวิญญาณสองคนอยู่ข้างข้าแบบนี้มันทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัยมาก! ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงครับ เจ้าสำนัก!” เฉินเฉินตะโกนออกมา แม้ว่ามันจะตรงข้ามกับความคิดในใจของเขาก็ตามที
พร้อมกับผู้อาวุโสขั้นก่อกำนิดวิญญาณสองคนแล้ว เขาจะปลอดภัยดี แต่มันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขาที่จะไปกลับยังสำนักเทียนหยุนและไปเป็นผู้สืบทอด
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไรแบบนั้น แต่ก่อนที่เจ้าจะไป เจ้าต้องพาผู้อาวุโสโจวเฟิงและโจวฉานไปทำภารกิจสำคัญก่อน ถ้าเจ้าทำได้ดีแล้วเจ้าก็ไปยังรัฐจินได้”
โจวเหรินหลงขมวดคิ้ว เขาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก
“เจ้าสำนักครับ บอกข้ามาได้เลยครับและข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำมันให้สำเร็จ”
เฉินเฉินยื่นแขนออกไปและตอบกลับ
เมื่อเห็นดังนี้ โจวเหรินหลงพยักหน้าเล็กน้อย
“เซี่ยวอู่โยว เจ้าสำนักเทียนหยุนกำลังอยู่ในรัฐโจว ไปช่วยสาขาสองหาเขาซะและให้โจวเฟิงและโจวฉานส่งเขาออกไปจากรัฐโจวนี่ จำไว้ว่าเจ้าห้ามฆ่าเขา สำนักอู๋ซิ่นมันจะหงุดหงิดมาก ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เข้าใจใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินชื่อของเจ้านายเขาแล้ว ตาของเฉินเฉินส่องประกายออกมา
เขาก้มหัวลงและซ่อนดวงตาที่ส่องประกายของเขาและพูดออกมา “ข้าเข้าใจแล้วครับ!”