หลังจากออกไปจากภูเขา เฉินเฉินถอนหายใจออกมา
การไล่เซี่ยวอู่โยวออกไปคือบททดสอบที่โจวเหรินหลงมีให้กับเขา
ถ้าเขาข้องเกี่ยวกับสำนักอู๋ซิ่นแล้ว เขาจะก่อความวุ่นวายขึ้นและป้องกันไม่ให้เซี่ยวอู่โยวกลับไปยังรัฐจิน ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่ดีกับสำนักอู๋ซิ่น
ยังไงก็ตาม โจวเหรินหลงคงไม่ได้คาดคิดว่าลูกศิษย์ที่เขารับมาจากรัฐจินจะไม่เกี่ยวข้องกับสำนักอู๋ซิ่น แต่กลับมาจากสำนักเทียนหยุนแทน
ยังไงก็ตามมันก็ยังเป็นบททดสอบของสำนักอสูรอยู่ดี
“จางเฉิน เจ้าสำนักอาจจะยังไม่เชื่อใจเจ้า แต่มันยังไม่ถึงระดับที่จะต้องพาผู้ฝึกตนระดับก่อกำเนิดวิญญาณสองคนคอยตามเจ้าแบบนี้ พูดตามจริงแล้ว โจวฉานและข้าต่างเป็นผู้ฝึกตนระดับก่อกำเนิดวิญญาณที่เจ้าสำนักส่งออกไปดูแลเจ้าเท่านั้น มันเป็นเพราะว่าเขากังวลในความปลอดภัยของเจ้า” โจวเฟิงพูดปลอบออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นการก้าวเดินของเฉินเฉินมันดูหนักอึ้งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
เฉินเฉินหยุดและถามออกมาอย่างเบาๆ “มันมีศัตรูคู่อาฆาตกับสาขาขัดเกลาร่างกายเหรอครับ? ไม่อย่างงั้นแล้วมันจะจำเป็นถึงขนาดนี้เลยเหรอครับ?”
“พวกเรามีศัตรูคู่อาฆาตอยู่จริง! เจ้าจะต้องระมัดระวังตัวกับตอนที่เจ้าออกไปนะ” โจวฉานพูดขัด
เฉินเฉินพูดไม่ออก เขาตกลงไปในกับดักเสียแล้ว
…
ด้านในอาณาเขตของสาขาสองของรัฐอสูร เฉินเฉินและทั้งสองคนต่างได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
คนที่รับหน้าที่จัดการดูแลสาขาสองคือผู้อาวุโสอันเฉินและอันฉิง ผู้ฝึกตนระดับแก่นทองคำขั้นสูงสุด
ด้วยความสามารถของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่มีทางที่จะจัดการกับเซี่ยวอู่โยวได้เลย มันทำให้พวกเขาทั้งสองคนหงุดหงิดมาก
ยังไงก็ตาม หยวนฉิงเทียนไม่ได้ก่อความวุ่นวายอะไรเลยสักนิด หลังจากที่เขากลับมาเขาก็เอาแต่หันหน้าเข้ากำแพงและพึมพำกับตัวเอง
เฉินเฉินได้ยินชื่อเขาอยู่บ้างและตาของเขาก็กระตุก เขาหันไปมองอันเฉินและอันฉิง ก่อนที่จะถามออกมา “เซี่ยวอู่โยวอยู่ที่ไหน?”
“มันมีเมืองสิบหกเมืองในอาณาเขตสาขามืดของข้า เขาได้ปรากฏตัวขึ้นทั้งสิบห้าเขต ในแต่ละเมืองเขาอออกมาสังหารลูกศิษย์สำนักอสูรหลายต่อหลายคนเพื่อระบายความโกรธของเขา”
“พูดตามตรงแล้ว นายน้อยของสาขาเป็นแบบนี้เพราะว่าเฉินเฉิน ถ้าเฉินเฉินตายลงไปแล้ว พวกเราจะดีใจกันมาก แต่การตายของเขาไม่ใช่พวกเราเป็นคนทำ การมายังสาขาของพวกเราเพื่อระบายความโกรธของเขานี่มันเห็นได้ชัดว่าเขากำลังดูถูกพวกเราอยู่ ถ้าเจ้าสาขายังอยู่….”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผู้อาวุโสอันเฉินรู้สึกเศร้าสร้อยและแทบจะระเบิดน้ำตาออกมา
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สาขาสองจะกลายเป็นที่รองรับความโกรธของคนอื่นแบบนี้กัน?
สำนักอู๋ซิ่นนั้นหงุดหงิดมากกับการต่อสู้ในเมือง แต่สาขาสองก็ได้รับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว ตาของเฉินเฉินดูเย็นยะเยียบและเขาก็ตบไปที่ไหล่ของอันเฉิน ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างจริงจัง “ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคนที่สละเลือดให้กับสำนักอสูรผิดหวัง! ถ้าเซี่ยวอู่โยวไม่ถอยกลับไป เขาก็ลืมที่จะได้กลับออกไปอีกเลย!”
อันเฉินคุกเข่าลงข้างหนึ่งและร้องไห้ออกมา
“ขอบคุณมากครับ นายน้อยสาขา!”
เมื่อได้ยินคำแทนตัวที่เขาเรียกแล้ว เฉินเฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
‘ข้าไม่ใช่นายน้อยของสาขา ข้าเป็นแค่ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของสาขาขัดเกลาร่างกายต่างหาก มันไม่เหมือนกัน’
“ข้าไม่ควรที่จะช้าไปกว่านี้แล้ว ข้าจะพาผู้อาวุโสโจวฉานและโจวเฟิงไปยังเมืองสุดท้าย”
เฉินเฉินลุกขึ้นยืน เขาดูจริงจังและดูกล้าหาญ
“ขอบคุณมากครับ นายน้อยสาขา!” อันเฉินและอันฉิงต่างก้มหัวให้พร้อมกัน
โดยปราศจากการพูดอะไรออกมาต่อ เฉินเฉินหันหลังและเดินจากไป
…
“ระบบ เซี่ยวอู่โยวอยู่ใกล้กับพวกเราไหม?” เฉินเฉินถามกับระบบอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาอยู่ด้านบนเหนือเมืองเมฆดำ
ถ้าผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิดวิญญาณระดับกลางต้องการที่จะซ่อนตัวแล้ว มันจะเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะหาตัวเขาพบ แม้ว่าจะเป็นโจวฉานและโจวเฟิงก็ตาม
ยังไงก็ตามเฉินเฉินนั้นแตกต่างออกไป เขามีระบบอยู่กับตัวเขาและตราบเท่าที่เขาบินวนไปวนมาด้านบนเมืองเมฆดำด้วยระดับความสูงที่ไม่สูงมากนัก พร้อมกับถามระบบอย่างต่อเนื่องแล้ว เขาก็จะหาเซี่ยวอู่โยวพบอย่างแน่นอน ตราบเท่าที่เขายังอยู่ในเมืองนี้
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ระบบก็ได้ตอบกลับด้วยคำตอบที่แตกต่างออกไป
“28 เมตรด้านล่างค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้แล้ว เฉินเฉินหยุดพูดต่อทันที
มันมีโรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งมันไม่ใหญ่เลยสักนิด ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนั้น มันเต็มไปด้วยลูกค้า ท่ามกลางพวกเขาแล้วมันมีชายวัยกลางคนที่สวมชุดขาวนั่งอยู่บนโต๊ะและดื่มเหล้าคนเดียวอย่างเงียบๆ โดยเขาไม่มีพลังปราณไหลออกมาเลยสักนิด
‘เขาดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไปเลย’
‘อาจารย์อยู่ในเมืองนี้จริงด้วย!’
เฉินเฉินตื้นตันใจมาก
อันเฉินและอันฉิงไม่เข้าใจเหตุผลที่ว่าทำไมเซี่ยวอู่โยวถึงได้ก่อความวุ่นวายไปทั่วแบบนี้ แต่เมื่อเป็นลูกศิษย์ของเขาแล้ว เฉินเฉินเข้าใจ
ดูจากภายนอกแล้ว มันอาจจะเป็นเพราะว่าเซี่ยวอู่โยวดูเหมือนจะระบายความโกรธ แต่ความจริงแล้วเซี่ยวอู่โยวนั้นคาดเดาว่าเฉินเฉินติดอยู่ในสำนักอสูร ดังนั้นเขาจึงออกไปยังเมืองใหญ่เพื่อตามหาเขา
เขาได้บอกกับสาธารณะว่าเฉินเฉินได้พลาดท่าตายไป เพื่อปกป้องเฉินเฉิน
ถ้าเขาบอกว่าเฉินเฉินหายตัวไปและสำนักอสูรได้รับยอดฝีมือคนใหม่ขึ้นมาแบบฉับพลันเช่นนี้แล้ว โจวเหรินหลงที่ชาญฉลาดก็จะต้องเดาว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดแปลกไปกับลูกศิษย์ของสำนักเทียนหยุน
ด้วยการสืบหาเบาะแสแล้ว เขาจะหาต้นตอเบาะแสได้อย่างแน่นอนและเมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว เฉินเฉินก็จะตกอยู่ในปัญหา
‘อาจารย์มีเจตนาที่ดีเช่นนี้…’
เมื่อมองไปยังแผ่นหลังที่กว้างขวางของเขาแล้ว เฉินเฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนจนพูดไม่ออก
ถึงแม้ว่าอาจารย์จะไม่ได้สอนเขาได้มากสักเท่าไหร่ เขาก็ดีกับเฉินเฉินมากและในช่วงยามคับขันเช่นนี้แล้ว เขายังออกมาตามหาเขาอีก
สัมผัสของเซี่ยวอู่โยวแม่นยำมากและในเวลานี้เองร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ เขาหันกลับไปและมองไปยังเฉินเฉินที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ พร้อมกับสวมหน้ากากน่ารังเกียจ
ทั้งสองคนต่างสบตากันเล็กน้อย
ใบหน้าและรูปร่างของคนอาจจะเปลี่ยนไปได้ แต่วิธีการมองในดวงตาของพวกเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป
มันมีความตกตะลึงและไม่สบายใจในดวงตาของเซี่ยวอู่โยว แต่เขาก็รีบซ่อนมันด้วยสายตาที่เย็นยะเยียบ
“เจ้าสมาชิกของสำนักอสูร! เตรียมตัวตายซะ!” เขาคำรามออกมาและแทงดาบสายฟ้าไปที่เฉินเฉิน
ความวุ่นวายบังเกิดขึ้นบนถนนที่คึกครื้น คนธรรมดาทั่วไปในเมืองต่างวิ่งหนีกระจัดกระจายไปทั่ว
บึ้ม!
โจวเฟิงและโจวฉานต่างปรากฏตัวขึ้นมาอย่างลึกลับและป้องกันดาบสายฟ้า
“เซี่ยวอู่โยว เจ้ากล้าที่จะโจมตีคนรุ่นเยาว์เนี่ยนะ? เจ้าไม่สมกับเป็นเจ้าสำนักเลยสักนิด!” โจวเฟิงพูดออกมาอย่างเย็นชา
ในอีกด้านหนึ่ง เฉินเฉินรีบถอยกลับก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าสำนักเซียว มันมีคนธรรมดาในเมืองนี้อยู่มาก เจ้ากล้าที่จะออกไปนอกเมืองเพื่อต่อสู้หรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เซี่ยวอู่โยวหัวเราะออกมาดังก้องและพูดตอบ “เจ้าทั้งสองคนต่างอยู่ในขั้นกลางของขั้นก่อกำเนิดวิญญาณและเจ้าต้องการให้ข้าไปสู้กับพวกเจ้านอกเมืองอีกเนี่ยนะ? เด็กน้อย เจ้าคิดว่าข้าจะทำ?!”
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เฉินเฉินพูดไม่ออก
ชีวิตเหมือนเป็นดั่งการแสดงและมันขึ้นอยู่กับวิธีการแสดงของพวกเขา เซี่ยวอู่โยวอาจจะดูทื่อ แต่ในช่วงยามคับขันเช่นนี้แล้ว เขากลับแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
ในขณะที่พูดเช่นนั้น ดาบสายฟ้าของเซี่ยวอู่โยวต่างถูกขว้างเข้าใส่โจวเฟิงและโจวฉาน
ตั้งแต่ที่พวกเขานั้นอยู่ในเมือง ทั้งสองคนจึงไม่กล้าที่จะใช้พละกำลังแบบเต็มกำลัง พวกเขาจัดการมันอย่างระมัดระวัง เพื่อทำให้คนอื่นหวาดกลัวน้อยลง
เซี่ยวอู่โยวไม่มีเจตนาที่จะบังคับให้ทั้งสองคนเอาจริงด้วยเช่นกัน พวกเขาจึงต่อสู้กันอย่างเรียบง่าย
เฉินเฉินมองการต่อสู้จากระยะไกลและถามออกมาดังก้อง “เจ้าสำนักเซียว ในตอนนี้รัฐจินนั้นตกอยู่ในความยุ่งเหยิงและสำนักเทียนหยุนตกอยู่ในอันตรายแบบนี้ ทำไมท่านถึงไม่กลับไปจัดการสำนักตัวเองก่อนละ?!”
“ความตายของลูกศิษย์ข้ามันทำให้ข้ากราดเกรี้ยวเนี่ยสิ ข้าไม่สามารถละทิ้งความโกรธนี้ไปได้!” เซี่ยวอู่โยวตะโกนกลับไป
“คนตายไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่สำนักเทียนหยุนมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เจ้าสำนักเซียว เจ้าทนได้หรืออย่างไรกับการที่มรดกตกทองของสำนักเทียนหยุนจะถูกกำจัดหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์? นอกจากนี้แล้วนายน้อยของสาขาจากสำนักอสูรของข้า หยวนฉิงเทียนก็ได้สูญเสียสติปัญญาไป เขาถูกทำลายไปโดยลูกศิษย์ของเจ้า เฉินเฉิน ถ้าพวกเราต้องการที่จะชำระแค้นกัน พวกเราก็จะไปจัดการกับเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก!”
เซี่ยวอู่โยวไม่ได้พูดอะไรต่อ
เมื่อเห็นดังนี้ เฉินเฉินพูดต่อ “เจ้าสำนักเซียว ถ้าเจ้าต้องการที่จะสร้างปัญหากับสำนักอสูรต่อไปละก็…”
ร่างกายของเซี่ยวอู่โยวแข็งทื่อขึ้น
เฉินเฉินรีบตีเหล็กที่กำลังร้อนต่อ “ถ้าเจ้าสำนักเซียวปรารถนาที่จะจากไป พวกเราก็จะยื้อสำนักอู๋ซิ่นเอาไว้ให้และยื้อเวลาให้กับสำนักเทียนหยุน สำนักพยัคฆ์ขาว สำนักวิหคสีชาดและสำนักอื่น!”
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เซี่ยวอู่โยวระเบิดอารมณ์ออกมาและตะโกนกลับไป “เจ้าต้องการให้สำนักเทียนหยุนทำงานให้กับสำนักอสูรเนี่ยนะ?!”
“ให้ข้าบอกเจ้าละกัน! แม้ว่าสำนักเทียนหยุนจะถูกสังหารจนเหี้ยนไปก็ตามที พวกเราจะไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับสำนักอสูร!”
เฉินเฉินหัวเราะและส่ายหัว “ทำไมสำนักอสูรต้องร่วมมือกับเจ้าด้วยกัน? พวกเราเพียงแค่ต้องการโจมตีสำนักอู๋ซิ่นเท่านั้น เจ้าสำนักเซียว สิ่งที่เจ้าทำไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักอสูรเลย อา ใช่สิ….ข้าดันเผยข้อมูลสำคัญออกไปแล้วสิ เจ้าสำนักเซียว แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไปซะ”
“ฮึ่ม!”
เซี่ยวอู่โยวพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชาและจากไปพร้อมกับดาบ ก่อนที่จะบินหายไป
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว โจวเฟิงและโจวฉานต่างถอยกลับและหันไปมองเฉินเฉินอย่างประหลาดใจ
“นายน้อย ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าท่านจะไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ในด้านขัดเกลาร่างกายแล้ว แต่ยังความสามารถในการพูดจาที่ดีแบบนี้อีก”
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เฉินเฉินต้องการที่จะโอ้อวดต่อ แต่เมื่อนึกถึงตัวตนของเขาแล้ว สายตาของเขาก็กลับมาเย็นชาอีกครั้งหนึ่ง
“คำพูดจามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่าเก็บมันไปคิดครับผู้อาวุโส ยังไงก็ตาม พวกเรายังต้องคอยตรวจดูสำนักอู๋ซิ่นเอาไว้ เผื่อที่จะเกิดเหตุการณ์เร่งด่วนกับสำนักอสูร ดังนั้น ท่านอาวุโส ได้โปรดตามข้าไปยังรัฐจินด้วยครับ”