ตอนที่ 725 ถึงเผ่าปิงชวน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 725 ถึงเผ่าปิงชวน

“ข้าอยากกลับไปอยู่เคียงข้างเขา” เป็นอย่างที่คิดและอันหลิงเกอก็พูดประโยคนี้ออกมาจริง

“สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายเกินไป ข้าให้เจ้ากลับไปมิได้” ฟางหลิงซู่ปฏิเสธเพราะไม่อยากให้นางกลับไปอยู่ข้างกายมู่จวินฮานและเป็นห่วงความปลอดภัยของนางด้วย

เขาเองก็รู้ดีว่าหากอันหลิงเกอยึดมั่นในตัวใครสักคน นางก็มักจริงจังเช่นนี้เสมอ

สิ่งที่น่าเศร้าคือคนที่อันหลิงเกอยึดมั่นมิใช่ฟางหลิงซู่แต่เป็นมู่จวินฮาน สำหรับมู่จวินฮานแล้ว อันหลิงเกอไม่คิดที่จะทอดทิ้งไปจริง แม้เขาทำให้นางเจ็บปวดหรือทำให้นางเสียใจจนร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง แต่นางก็ยังทิ้งเขามิลง

บางครั้งอันหลิงเกอก็คิดว่าหากได้เจอฟางหลิงซู่ก่อน บุรุษผู้นี้คงไม่มีทางปล่อยให้นางเจอเรื่องอัปยศมากมายอย่างแน่นอนและไม่มีทางทำให้นางต้องเจ็บปวด บางทีชีวิตของนางคงจะดีมากกว่านี้

เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว นางก็พยายามชอบในตัวฟางหลิงซู่เหมือนกัน แต่มิว่าอย่างไร นางก็คิดกับฟางหลิงซู่ได้แค่สหายและไม่เคยมีความรู้สึกเยี่ยงชายหญิงกับเขาแม้แต่น้อย

เป็นธรรมดาที่ฟางหลิงซู่จะเข้าใจความคิดของอันหลิงเกอ เขาเองก็มิเคยบังคับจิตใจของนางอยู่แล้ว เพียงแต่ความรู้สึกเช่นนี้ ยิ่งเขาซึมซับมากเท่าไรก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น

“ก็ได้” อันหลิงเกอรู้ว่าฟางหลิงซู่ทำเพื่อตน ท้ายที่สุดนางจึงยอมตกลง

ในเวลาเดียวกัน ทางฝั่งมู่จวินฮานได้รับข่าวการเดินทางออกจากต้าโจวของอันหลิงเกอแล้ว เพราะมีคนเห็นรถม้าของหอพิษกู่วิ่งไปทางเผ่าปิงชวน มู่จวินฮานจึงรู้สึกกังวลใจขึ้นมา

หากฟางหลิงซู่พาตัวอันหลิงเกอไปได้ก็แปลว่านางเห็นด้วยหรือไม่ก็เงียบเพื่อยอมรับ ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นแม้เขาจะตามไปถึงเขตของเผ่าปิงชวนก็มิสามารถทำอันใดได้อยู่ดี

เมื่อคิดได้เช่นนั้น มู่จวินฮานก็รู้สึกหงุดหงิด เขามิอาจทนเห็นอันหลิงเกอตามไปอยู่กับบุรุษอื่นได้และมิอาจทนรับความรู้สึกที่ทำอันใดมิได้ในตอนนี้

ช่วงหลายวันมานี้ทัวป๋าหลิวลี่ก็เริ่มคิดได้ว่าไร้ตัวตนในใจมู่จวินฮาน นางจึงเริ่มนึกถึงข้อเสนอของฮ่องเต้

เพราะเมื่อหลายวันก่อนฮ่องเต้เคยมาพบนาง แต่นางมิอยากช่วยพระองค์จัดการมู่จวินฮาน

ตอนนี้ดูเหมือนมู่จวินฮานยังลืมอันหลิงเกอมิได้เสียที หากเป็นเช่นนี้ต่อไปวันหน้าเขาก็อาจมิให้ความสำคัญต่อบุตรของนาง มิสู้ช่วยฮ่องเต้ยังดีเสียกว่า

ถ้าฮ่องเต้จัดการมู่จวินฮานได้ ตำแหน่งอ๋องมู่ในเวลานั้นก็จะตกเป็นของบุตรนาง เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้ ทัวป๋าหลิวลี่ก็เริ่มหวั่นไหวเล็กน้อย

พอคิดว่าช่วงหลายวันมานี้ มู่จวินฮานไม่มาหานางเลย แม้ไม่มีอันหลิงเกออยู่แล้ว ในใจของเขาก็ยังไร้นางอยู่ดี ส่วนนางที่พยายามวางแผนกำจัดอันหลิงเกออย่างสุดกำลังหรือแม้แต่หาทางมีบุตรเป็นของตนเอง สุดท้ายก็มิอาจสร้างช่องโหว่ให้ทั้งสองคนได้แม้แต่น้อย

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ทัวป๋าหลิวลี่ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา นางแอบกัดฟันกรอดและตัดสินใจตอนนั้นทันที หากโดนลิขิตให้ไม่ได้รับความรักจากมู่จวินฮานก็ต้องทำให้บุตรได้ในสิ่งที่ควรได้รับแล้วกัน

เวลานี้มู่จวินฮานยังมิรู้ว่าทัวป๋าหลิวลี่หวนไปติดต่อกับฮ่องเต้อีกครั้งและมิรู้ว่าทั้งสองกำลังวางแผนอันใดอยู่ เพราะตอนนี้เขาครุ่นคิดแต่เรื่องของอันหลิงเกอเพื่อหาทางพาตัวนางกลับ ดังนั้นเขาจึงไม่มีใจมาคิดเรื่องอื่น

อีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับฮ่องเต้ก็จบสิ้นไปแล้ว มู่จวินฮานจึงมิสนใจเรื่องในราชสำนักอีกและมิได้เข้าประชุมติดกันเป็นเวลาหลายวัน ส่วนฮ่องเต้พอเห็นว่าเป็นเพราะเหตุใดและรู้ว่ามู่จวินฮานเป็นคนแน่วแน่จึงมิได้ตรัสอันใด

ฮ่องเต้ตระหนักดีว่าเพราะเรื่องของอันหลิงเกอทำให้ทรงสูญเสียมือขวาเยี่ยงมู่จวินฮานไป แต่พอเห็นมู่จวินฮานมิได้เคลื่อนไหวอันใดก็ทราบว่าคงไม่คิดเป็นศัตรูต่อ พระองค์จึงค่อยรู้สึกวางพระทัยบ้าง

อีกประการหนึ่ง ฮ่องเต้ยังปรารถนาในกำลังทหารของจวนอ๋องมู่ เพราะสำหรับพระองค์แล้วเรื่องนี้เป็นภัยร้ายอย่างหนึ่ง ดังนั้นพระองค์จึงไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปโดยง่าย

หากเป็นไปได้พระองค์ก็อยากครอบครองกองกำลังนี้ แต่ถ้ามิได้ก็ต้องทำลายให้สิ้นซาก มิเช่นนั้นมันจะเป็นภัยร้ายอันใหญ่หลวงของพระองค์และต้าโจว

แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้คิดมากไปเอง เนื่องจากตระกูลมู่จงรักภักดีมาโดยตลอด พวกเขามิเคยคิดกบฏ และตอนนี้ก็เพราะฮ่องเต้ชราภาพมากแล้วถึงได้หวาดระแวงและเข้าพระทัยมู่จวินฮานผิดไปจนไม่เห็นความภักดีของตระกูลมู่

ตอนนี้มู่จวินฮานไร้อารมณ์มาสนใจเรื่องพวกนี้ เพราะสำหรับเขาแล้วแค่อยากตามหาอันหลิงเกอ ส่วนเรื่องอื่นมิสำคัญและไม่คู่ควรให้เขามาปวดศีรษะ

ก็เป็นธรรมดาที่เผ่าปิงชวนไม่ยอมให้ผู้อื่นเข้าไปสอดแนมโดยง่าย ดังนั้นสายลับของมู่จวินฮานออกไปสืบนานกว่าครึ่งเดือนก็ยังมิได้ข่าวคราวอันใด ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งนัก ถ้าอันหลิงเกอมิได้อยู่ที่เผ่าปิงชวนเล่า ?

มู่จวินฮานมิรู้ว่าการให้ฟางหลิงซู่พาตัวนางไปเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะสำหรับนางแล้ว ฟางหลิงซู่มักเป็นตัวเลือกเสมอ ส่วนเขาเป็นคนที่นางอยากหนีมาโดยตลอด

เขาจึงยิ้มเยาะตนเองออกมาโดยหารู้ไม่ว่าหัวใจของอันหลิงเกอมีเพียงเขาคนเดียว

หากฟางหลิงซู่ทราบความคิดของมู่จวินฮานในตอนนี้ก็คงหมดคำพูดทันที เพราะคนที่ตนทุ่มเทให้ทุกอย่างเยี่ยงอันหลิงเกอต้องการอยู่ข้างกายมู่จวินฮานเท่านั้น ทว่ามู่จวินฮานมิรู้ตัวเอาเสียเลย

บัดนี้อันหลิงเกอและฟางหลิงซู่ใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าปิงชวน แต่ฟางหลิงซู่มิได้พาอันหลิงเกอเข้าไปอยู่ร่วมกับราชวงศ์ เพราะรู้ว่ามิได้ทำให้เขาปกป้องอันหลิงเกอได้ แต่เป็นการทำร้ายนางแทน

ในเมืองหลวงของเผ่าปิงชวน ฟางหลิงซู่มีกิจการร้านค้าอยู่มากมาย การค้าก็เป็นไปได้ด้วยดี เขาจึงยกร้านน้ำชาร้านหนึ่งให้อันหลิงเกอและให้นางพักอยู่ที่นั่น

จากนั้นฟางหลิงซู่ก็เดินทางไปกลับระหว่างร้านน้ำชาและวังหลวงทุกวัน เพราะมิอยากให้ผู้อื่นรู้ถึงตัวตนของอันหลิงเกอและเขาเองก็อยากเจอนางในทุกวัน

เป็นธรรมดาที่อันหลิงเกอจะเข้าใจความลำบากของฟางหลิงซู่ บุรุษผู้นี้ดีต่อนางมาโดยตลอด ทุกครั้งที่นึกถึงประเด็นนี้ อันหลิงเกอก็จะรู้สึกว่าติดหนี้ฟางหลิงซู่มากเหลือเกิน

ท้ายที่สุดกระดาษก็มิอาจต้านไฟ เพราะในเผ่าปิงชวนยังมีสตรีที่ชื่นชอบฟางหลิงซู่อยู่มาก พอเห็นเขาเดินทางไปกลับระหว่างโรงชาหลายครั้งก็ต้องมีคนสังเกตเห็นการมีตัวตนอยู่ของอันหลิงเกอ และหนึ่งในสตรีเหล่านั้นยังมีความกล้าจึงบุกมาหาอันหลิงเกอถึงที่

วันนี้อันหลิงเกอยังทำหน้าที่ชงชาให้ลูกค้าตามปกติ แต่ละวันนางจะทำงานยุ่งจนหัวหมุนไปหมด แม้โรงชาของฟางหลิงซู่ทำการค้าได้ดีแต่ก็มิถึงกับมีเงินไหลมาเทมาทุกวัน แค่ไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายเท่านั้น

“เจ้าคืออันหลิงเกอใช่หรือไม่ ? ” ลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าของสตรีและอันหลิงเกอจึงตกใจมิน้อย

แต่อันหลิงเกอมิได้รีบตอบเพราะมิว่าต้าโจวหรือเผ่าปิงชวนก็มีคนรู้ชื่อจริงของนางน้อยมาก เมื่อได้ยินชื่อจากปากของสตรีแปลกหน้าคนหนึ่งจึงทำให้อันหลิงเกอรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที

นางมิรู้ว่าเป็นคนที่มู่จวินฮานส่งมาหรือทางฝั่งฟางหลิงซู่เจอเรื่องอันใดเข้า เพียงแต่ตอนนี้นางรู้สึกไม่สบายใจจึงยืนมองสตรีคนนี้และรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป