ตู๋กูซิงหลันถูกขวางเอาไว้ นางก็รีบถอบไปข้างหลัง พอคิดจะวิ่งหนี ข้อมือก็ถูกคว้าจับเอาไว้แน่น
ไม่ทันรอให้นางได้ส่งเสียง ฝ่ามือใหญ่โตนั้นก็ปิดปากนางเอาไว้แน่น คนผู้นั้นกระซิบข้างหูนาง ส่งเสียงเบาๆ คำหนึ่งว่า “ชู่ว์”
รอบด้านมืดมิด นอกเรือนไม่มีแสงสว่างใดๆ ตู๋กูซิงหลันพยายามอย่างไรก็ไม่อาจจะมองเห็นลักษณะของคนผู้นี้ได้ แต่พอได้ยินเสียงเพียงคำเดียวเท่านั้น นางก็จดจำได้ในทันที
น้ำเสียงที่เย็นประดุจแผ่นน้ำแข็ง ไม่ใช่จีเฉวียนแล้วจะยังเป็นใครไปได้กัน
แต่ว่าจีเฉวียนกลับเอาแต่ปิดปากนาง ไม่ให้โอกาสนางได้พูดแม้สักน้อย ลากตัวนางถอยไปด้านหลังไหข้าวสาร ที่ด้านหลังไหข้าวเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย เขาก็ลากตู๋กูซิงหลันเข้าไปข้างในนั้น
จากนั้นฝ่ามือใหญ่ก็กอดเอวของนางเอาไว้แน่นดึงตัวนางเข้าไปในอ้อมอก
” ฝ่าบาท ท่านเป็นขโมยหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันซุกอยู่ในอ้อมอกของเขา โดยไม่เข้าใจความหมายของจีเฉวียนเลยสักนิด
นางพูดพึ่งจะจบ ก็ได้ยินเสียงท้องของจีเฉวียนร้องดังโครกครากอยู่สองรอบ
ช่างน่าอายจริงๆ
ในมือของตู๋กูซิงหลันยังมีหมั่นโถอยู่อีกลูกหนึ่ง นางจ้องมองเขาอย่างตกตะลึงไปในทันที ” ฝ่าบาท ท่านหิวหรือไม่? “
นางพูดไป ก็พยายามจะแอบซุกหมั่นโถเข้าไปในอ้อมอก
ในความมืดมิด ดวงเนตรของจีเฉวียนทอประกายเย็นวาบออกมา ริมโอษฐ์บางก็โฉบเข้าไปกัดลงคำหนึ่ง
ค่อยๆ เคี้ยวช้าๆ พอกลืนลงท้องไปค่อยตรัสว่า ” เราไม่ได้หิว เราเพียงคิดจะลิ้มลองอาหารของชาวบ้านดูบ้างเท่านั้น ถือเป็นการร่วมทุกข์กับประชาชน “
ตู๋กูซิงหลัน “? ” คำพูดนี้ ยังเสแสร้งได้อีก?
จีเฉวียนตรัสพึ่งจะจบ ท้องที่ไม่รักหน้าของเขาก็ร่ำร้องโครกครากขึ้นมาอีก
ตู๋กูซิงหลันรีบเอาหมั่นโถที่ถูกกัดไปแล้วคำหนึ่งยัดลงไปในอกเสื้ออย่างรวดเร็ว
” ปีศาจขี้เหนียว ” จีเฉวียนเขกหน้าผากนางไปครั้งหนึ่ง
เขาเขกนางเสียแรง จนตู๋กูซิงหลันคิดจะขยับออกจากตัวเขา แต่เพราะทั้งสองคนอิงแอบกันอย่างแนบแน่น หากว่าฝืนขยับคงไม่อาจหลีกเลี่ยงจะไม่ให้เกิดเสียงได้ หากทำให้คนในตำหนักหรานอ๋องเอะใจเข้าคงจะไม่ดีเท่าไหร่
” ท่านเป็นถึงประมุขของแคว้นหนึ่ง ดึกๆ ดื่นๆ ต้องมาหาของกินแถวนี้หรือ? ตำหนักพระเจ้าอาของท่านรึก็ใหญ่โต เพียงมีที่ให้อยู่ไม่มีข้าวให้กินหรือยังไง? ” ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจอย่างยิ่ง
ต่อให้เมืองลี่โจวลำบากยากแค้นเพียงไร ก็คงไม่มีทางปล่อยให้ฮ่องเต้ทรงหิวตายได้
ความกล้าของจีหรานนับว่าเกินกว่าธรรมดาไปมาก
แต่เมื่อครู่กวาดดูทั่วทั้งครัวแล้ว กระทั่งน้ำแกงยังใสเป็นเป็นน้ำปล่า อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น ตำหนักหรานอ๋องนับว่ายากจนถึงขั้นว่างเปล่าจริงๆ
นางไม่ทันได้สังเกตเลยว่าจีเฉวียนทรงทราบว่านางอยู่ที่นี่ จึงไม่ทันได้มีทีท่าแปลกใจใดๆ
พอนางพึ่งกล่าวจบ จีเฉวียนทรงใช้พระดัชนีตั้งขวางริมฝีปากของนางไว้ เป็นนัยว่าให้เงียบ
จากนั้น ก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูครัว เงาร่างที่ผ่ายผอมอ่อนแอเดินเข้ามา
ในมือของเขามีกระบอกไต้ใส่เชื้อไฟ แสงริบหรี่ที่ส่องออกมานั้น ทำให้ใบหน้าที่มีเหลี่ยมมุมดูดุร้ายน่ากลัวกว่าเดิม
คนผู้นี้ย่อมเป็นจีหรานอย่างแน่นอน
พอเขาเข้ามาข้างในก็ปิดประตูเสียสนิท จากนั้นก็อาศัยแสงสว่างเดินต่อไป
เขาเปิดฝาหม้อใบใหญ่ออก คนก็กระโดดลงไปในหม้อใหญ่ใบนั้น กระทั่งแสงจากกระบอกไต้ก็ยังหายวับไปด้วย
ที่แท้ ก็เป็นเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันเข้าใจขึ้นมาทันที เตาไฟในห้องครัวมีกลไก เกรงว่าในนั้นคงจะมีทางลงไปยังห้องลับนั่นเอง
รอจนกระทั่งจีหรานจากไปนานจนได้พักใหญ่แล้ว จีเฉวียนถึงได้ปล่อยตัวตู๋กูซิงหลัน
เขาค่อยๆ กวาดมองทั้งซ้ายและขวา จึงหันมาจดจ้องดูนางอยู่ในความมืด ” ลี่โจวเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรจะมา “
ตู๋กูซิงหลัน ” แต่ข้าก็มาแล้ว “
” เราตามใจเจ้ามากไปแล้ว ถึงได้ทำให้เจ้ากล้าเย้ยฟ้าท้าดินถึงเพียงนี้ ” จีเฉวียนทรงเขกหน้าผากนางแรงๆ อีกครั้งหนึ่ง
หากไม่ใช่เพราะว่ามีนู๋นัวคอยลอบส่งข่าวให้เขาอยู่ตลอด เขาคงไม่มีทางทราบได้ว่าสตรีผู้นี้กล้าบ้าบิ่นเพียงไร ถึงได้เดินทางมาเพียงคนเดียวจนถึงที่นี่
เมื่อครู่ตอนที่ออกมานอกเรือนของจีหราน เขาก็ได้กลิ่นหอมคล้ายกับดอกกุหลาบนั้นแล้ว
คนที่ดักฟังอยู่ใต้กำแพงผู้นี้ช่างไม่มีฝีมือของผู้ชำนาญเลยสักนิด
ตู๋กูซิงหลันถูกเขกเสียจนเจ็บจริงๆ นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ไปฝึกวิชาเขกหน้าผากมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ยังมี เขาเคยตามใจนางมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
มีแต่กลั่นแกล้งนางอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน ชนิดเอาเป็นเอาตายเสียด้วยซ้ำ
หากไม่ใช่เพราะว่านางฉลาดมีไหวพริบทั้งยังใจกล้าอย่างหน้าไม่อาย เกรงว่าคงถูกเขากลบฝังไปตั้งแต่แรก
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช้เวลาจะมาพูดคุยเรื่องนี้กัน ตอนนี้นางต้องการจะติดตามจีหรานลงไปดูว่าเขากำลังทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่
จมูกของฮ่องเต้สุนัขว่องไวถึงเพียงไหน ไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกถึงกลิ่นบนตัวของเขา
กลิ่นพวกนั้นทำให้คนรู้สึกอึดอัดอย่างรุนแรง
อีกทั้งคนก็ประหลาดอยู่มาก เรื่องที่พี่ชายหายตัวไปเขาย่อมหนีความเกี่ยวข้องไม่พ้น
” ฝ่าบาท ไม่คิดจะเสด็จไปดูสักหน่อยหรือเพคะ? ” ตู๋กูซิงหลันรีบกล่าวออกมา
” เราย่อมมีวิธีตรวจสอบ ” จีเฉวียนตรัส ทันใดนั้นก็โอบอุ้มนางขึ้นมา พลิกตัวพุ่งออกจากหน้าต่าง หลบออกจากตำหนักของหรานอ๋องอย่างรวดเร็ว
สองหัตถ์ของเขาโอบกอดนางไว้ คนแทบจะโบยบินอยู่เหนือหลังคา
ตู๋กูซิงหลันได้ยินแต่เสียงลมที่สองข้างหูเช่นเลย รอบด้านมีแต่ความขมุกขมัว
วรยุทธ์ของจีเฉวียนสูงล้ำอย่างยิ่ง แม้แต่ยามเหาะผ่านหลังคาบ้านก็ยังรู้สึกได้ถึงความอาจหาญไร้ความกลัวใดๆ
เขาพานางมายังป่าไผ่นอกเมือง ในป่าไผ่มีเรือนหลังเล็กหลังหนึ่ง ที่ด้านนอกเรือนมีเหล่าองครักษ์คอยคุ้มครองอยู่
พอเห็นจีเฉวียนพาตู๋กูซิงหลันมาด้วย พวกขาก็แสดงความแปลกใจออกมาอยู่บ้าง แต่ว่ายังคงคุกเข่าลงไปบนพื้นอย่างพร้อมเพรียง ” ถวายพระพรฝ่าบาท “
จีเฉวียนโบกพระหัตถ์ พวกเขาก็ลุกขึ้น ถอยออกไปเฝ้าที่ด้านนอก
จากนั้นเขาถึงได้นำตู๋กูซิงหลันเข้าไปในเรือน ภายในเรือนนักพรตอู๋เจินที่กำลังวาดยันต์อยู่พอเห็นนางเข้า ก็แทบจะกระโดดขึ้นมา
” ทะ ทะ ไท…. ไท….ไทเฮา? ” ตายแน่ๆ เทพเซียนผู้นี้ทำไมถึงได้มาปรากฎตัวที่นี่ได้กัน?
ตู๋กูซิงหลันเห็นเขาเข้าก็ต้องประหลาดใจไปเช่นกัน นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยเก็บกริยาของตัวเอง ส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง ” ท่านอาจารย์ “
อ้ายโย่ว เรียกอาจารย์เข้าคำหนึ่งก็แทบจะทำเอาอู๋เจินลาตายขึ้นสวรรค์ไปเสียแล้ว
เขาไหนเลยจะกล้าเป็นท่านอาจารย์ของท่านเซียนกัน!
แต่จะให้ปฎิเสธไม่รับก็ไม่ได้ เมื่อถูกตู๋กูซิงหลันส่งสายตาเขม่นให้ ก็ไม่อาจไม่พลิกลิ้น ” ศิษย์ไทเฮา เจ้ามายังลี่โจวหรือ? “
ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันตอบว่าอย่างไร จีเฉวียนก็ตรัสด้วบน้ำเสียงเย็นชาว่า ” ไทเฮาห่วงใยเรา จึงติดตามพันลี้มาดูแลเรา “
อู๋เจินทำสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา ” อ๋า? “
เขายังนึกว่าท่านเซียนไทเฮาพบว่าเมืองลี่โจวปรากฎสิ่งอัปมงคลขึ้นมา จึงได้เสด็จมากวาดล้างด้วยตนเองเสียอีก
ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าห่วงใยฝ่าบาทเท่านั้นเองหรอกหรือ?
ฝ่าบาท ช่างมีหน้ามีตาใหญ่โตนัก
” ไทเฮาทรงอ่อนแอบอบบาง ไม่อาจตรากตรำ อย่าได้ปล่อยให้นางออกไปวิ่งวุ่นวาย ” ว่าแล้วจีเฉวียนก็ทรงตรัสอีกว่า ” อู๋เจิน แต่ไหนแต่ไรมาไทเฮาทรงเลือกเสวย หลายวันนี้เจ้าจงรับผิดชอบดูแลเครื่องเสวยของนาง “
อู๋เจิน ” หือ? ” ดะ เดี๋ยวก่อน อยู่ๆ เขาก็ถูกลากมาอยู่ท่ามกลางสถานที่อัปมงคลเช่นนี้ ก็นับว่าน่าสงสารจนอนาถมากแล้ว ทำไมอยู่ๆ ถึงต้องตกต่ำลงไปจนถึงขั้นกลายเป็นพ่อครัวให้กับไทเฮาด้วยเล่า?
ยังมีอีก……ไทเฮาทรงอ่อนแอบอบบาง ไม่อาจลำบากหรือ? ขอถามฝ่าบาทหน่อยเถอะว่าทรงเอาความกล้าจากที่ใดมาตรัสกัน?
ยากนักที่ฮ่องเต้จะทรงมีน้ำพระทัยดีอธิบายเพิ่มขึ้นอีกสักประโยค ” องครักษ์ของเราไม่มีผู้ใดทำอาหารเป็น “
อู๋เจิน “…….” ตรัสเสียงราวกับว่าข้านักพรตหน้าตาเหมือนคนทำอาหารได้เสียอย่างนั้น
คำพูดเหล่านี้เขาย่อมไม่กล้ากล่าวออกมา ได้แต่ฝืนผงกศีรษะไปอย่างหน้าด้านๆ จากนั้นก็หันกลับไปจ้องมองไทเฮาด้วนสีหน้าคับข้องใจอย่างเต็มที่