ตู๋กูซิงหลันหัวเราะน้อยๆ ” รบกวนท่านอาจารย์แล้ว”
นักปรตอู๋เจินปวดหัวจนศีรษะบวม ท่านเทพ ขออย่าได้เรียกเขาเป็นอาจารย์เลย ทุกครั้งที่เรียกเช่นนี้ เขารู้สึกว่าตนเองอายุสั้นไปสิบปี
เขาน้อยใจเสียจนได้แต่นั่งวาดวงกลมไปมาอยู่บนกระดาษยันต์ ทั้งที่เป็นถึงท่านนักพรตอู๋เจินแห่งอารามเทียนเก๋อกวนแท้ๆ แต่พอมาถึงที่นี่กลับกลายเป็นใครไปแล้วก็ไม่รู้
ในเรือนไผ่จุดเทียนเอาไว้เล่มหนึ่ง ยามนี้จีเฉวียนถึงค่อยมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
นางสวมใส่ชุดดำตลอดร่าง เกล้าผมหางม้ารวบสูง ดูเป็นคุณชายน้อยที่งดงามผู้หนึ่ง ฟังนู๋นัวบอกว่า ตลอดทางมานี้นางล่อลวงจิตใจสาวน้อยทั้งหลายมาไม่น้อยเลยทีเดียว
ไล่ตามบุรุษหนุ่มเพื่อส่งมอบดอกไม้และผลไม้ เป็นวิธีการบอกรักของสตรีในต้าโจว นางหน้าตางดงามถึงขนาดนี้ในสมองกลับไม่รู้จักไตร่ตรองบ้างหรือ จีเฉวียน รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่า กำแพงวังของตำหนักเฟิ่งหมิงนั้นเตี้ยเกินไปแล้วจริงๆ
” เจ้าอยู่ที่นี่ให้ดีๆ ด้านนอกมีอันตรายมาก อย่าได้วิ่งวุ่นวาย” จีเฉวียน ตรัสสั่งอีกประโยคหนึ่งก็หมุนตัวออกไปจากเรือนไม้ไผ่
ตู๋กูซิงหลัน มองดูเขากลืนหายไปกับราตรีที่มืดมิด เงาหลังนั้นกลมกลืนไปกับความมืด ดูไปช่างโดดเดี่ยวโดยแท้
เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่?
อู๋เจินมองตามสายตาของนาง ก็ยื่นมือออกมาโบกส่ายอยู่ตรงหน้า ” ท่านเทพไทเฮา ที่แท้ท่านก็เป็นดังที่เขาเล่าลือกันจริงๆ? มีพระทัยให้กับฝ่าบาทอย่างลึกล้ำ! “
ตู๋กูซิงหลัน ” หืม? ” ข่าวลือผีสางอะไร ทำไมนางจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
” หลังปีใหม่ผ่านไป ในเมืองหลวงล้วนล่ำลือกันไปทั่ว ว่าท่านหลงใหลฝ่าบาทอย่างนั้นอย่างนี้ กระทั่งพวกเราอารามเทียนเก๋อกวนที่ไม่สนใจเรื่องโลกภายนอกยังได้ยินเหล่าลูกศิษย์พูดคุยกันเรื่องนี้ “
ดูจากสายตาของไทเฮาที่มองตาฝ่าบาทเมื่อครู่ ก็รู้ว่ามีความปวดใจแฝงอยู่ในนั้น
ตู๋กูซิงหลัน ” ลูกศิษย์ของพวกเจ้าเทียนเก๋อกวนล้วนมิใช่ตัวดี “
เรื่องที่อิสตรีนินทากัน เด็กหนุ่มพวกนั้นพูดพล่อยอะไรด้วย
ว่าแล้ว นางก็กล่าวอีกว่า ” อย่ามามัวพูดเรื่องนี้เลย ฮ่องเต้เสด็จลี่โจว ถึงกับพาเจ้ามาด้วย ที่แท้แล้วพวกเจ้าพบเห็นอะไรกันแน่? “
พอพูดถึงตรงนี้สีหน้าของอู๋เจินก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ” เรื่องนี้พูดไปแล้วยาว คิดว่าท่านเองก็คงได้พบแล้วว่า เมืองลี่โจวเต็มไปด้วยกลิ่นไออัปมงคล ข้าส่งสัยว่าจะมีปีศาจ ไม่แน่ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแม่น้ำลี่เหอด้วยก็ได้ “
” ดังนั้นฮ่องเต้จึงพาเจ้ามากำจัดปีศาจ? ” ตู๋กูซิงหลัน เหลือบตามองดูเขาแว่บนึง ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อถืออู่เจิน เพียงแต่ว่าความสามารถของอู่เจินนั้นมีอยู่อย่างจำกัด หากว่าเจอกับอะไรที่ร้ายกาจเข้าแล้ว ก็ไม่แน่ว่าเขาจะรับมือได้
จีเฉวียนเป็นคนที่วางแผนซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไร ปกติแล้วไม่มีทางที่จะทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจ
” ท่านเทพไทเฮา ท่านสบประมาทข้าเช่นนี้ ข้านักพรตเจ็บปวดยิ่งนัก ” อู๋เจินจับที่หัวใจของตนเอง ” พวกเราอารามเทียนเก๋อกวนปวรนาตัวช่วยเหลือสัตว์โลกมาโดยตลอด ข้านักพรตจะอย่างไรก็เป็นถึงหนึ่งในสามผู้อาวุโส ถึงแม้มิอาจเทียบได้กับท่าน แต่ก็นับว่าพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง “
พูดจบแล้วเขาก็กล่าวอีกว่า ” คุณชายรองตู๋กูใช้วิธีระบายน้ำรักษาสมดุล เดิมทีนี่เป็นวิธีที่ดีมาก หากว่ามิได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ระดับน้ำในแม่น้ำลี่เหอย่อมสมควรจะรักษาให้คงเอาไว้ได้ ทั้งๆ ที่กำลังไปได้ดีอยู่แท้ๆ แต่กลับเกิดเหตุขัดขวาง ท่านไม่คิดบ้างหรือว่านี่เป็นฝีมือคนหรือว่าปีศาจกันแน่? “
” แม่น้ำลี่เหอสายนี้เลี้ยงดูผู้คนมานับร้อยรุ่น ทุกวันนี้ไหลผ่านพื้นที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนต้าโจว ถือเป็นแม่น้ำสายหลักของต้าโจว” อู้จินยังคงว่าต่อไป ” ท่านอายุยังน้อยคงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแม่น้ำสายนี้ก็มีเทพธิดาพิทักษ์สายน้ำอยู่องค์หนึ่ง ภายใต้การคุ้มครองของเทพธิดา ชาวประชาล้วนอยู่ดีมีสุข พืชพันธุ์ธัญญาหารสมบูรณ์ ต่อมาแม่น้ำลี่เหอได้รับความสกปรก เทพธิดาประจำสายน้ำแห่งนี้ก็ต้องมัวหมองไปด้วย สุดท้ายกลายเป็นถูกชาวบ้านลืมเลือน”
ขณะที่อู๋เจินพูดไปอย่างนั้น ตู๋กูซิงหลันก็พลันคิดถึงรูปปั้นเทพธิดาที่มีร่างเป็นงูในอารามผุพังหลังนั้นขึ้นมาได้
ยามนี้คิดย้อนกลับไป ใบหน้าของเทพธิดาผู้นั้นดูแล้วโศกเศร้าทุกข์ใจ ทั้งยังมีความผิดหวังในผู้คน
” เทพที่ได้รับการกราบไหว้บูชาจากผู้คน จึงจะเป็นอมตะอยู่ได้ หากว่าศรัทธาของผู้คนเสื่อมสลาย เทพแม้จะยังคงอยู่ได้แต่ก็อ่อนแอ ท่านเทพธิดาประจำแม่น้ำลี่เหอผู้นั้นถูกชาวบ้านลืมเลือน หากว่าในแม่น้ำลี่เหอมีอะไรอยู่จริง เกรงว่าแม้แต่นางก็คงไม่อาจต้านทานได้”
ที่อู๋เจินพูดไป ตู๋กูซิงหลันย่อมเข้าใจดี
เหล่าทวยเทพทั้งหลาย เกิดได้ด้วยศรัทธา ดับไปก็ด้วยศรัทธา
แม้ที่ผ่านมาจะมีชีวิตอย่างยืนยาว แต่ก็อาจดับสูญไปได้ด้วยเมื่อไร้ซึ่งจิตศรัธาของมนุษย์
เทพธิดาประจำแม่น้ำลี่เหอเองก็เป็นเช่นนี้
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันถึงได้ชักสีหน้าพูดขึ้นมาว่า ” ความหมายของเจ้าก็คือ ในแม่น้ำลี่เหอมีปีศาจ”
อู๋เจินผงกศีรษะ ” เดิมทีข้าได้วางวงเวทย์ไว้ที่ก้นแม้น้ำลี่เหอ คิดจะจับกุมเจ้าตัวนั้นเอาไว้ ใครจะไปนึกว่ามันช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ถึงกับหลบหนีไปได้ เหลือเอาไว้แต่เพียงสิ่งนี้ “
อู๋เจินพูดพลาง ก็ล้วงเอาเกล็ดสีน้ำตาลอมเทาออกมาจากในแขนเสื้อ
เกล็ดนี้มีขนาดเท่ากับกำปั้นของเด็ก บนนั้นยังมีรอยเลือดและกลิ่นคาวที่เหม็นคลุ้งจมูก กลิ่นคาวเช่นนี้คุ้นเคยมาก
” นี่เป็นของที่ได้จากเจ้าตัวนั้น ” สีหน้าของอู๋เจินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ” มันได้รับบาดเจ็บ ช่วงนี้คงไม่อาจออกมาอาละวาด “
” จุดที่เขื่อนแตก ฝ่าบาทก็ได้นำข้านักพรตไปตรวจดูด้วยตนเอง แถวนั้นก็มีกลิ่นคาวหลงเหลืออยู่เช่นกัน นี่จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้อกับเจ้าปีศาจตัวนี้แน่ๆ “
ว่าแล้ว เขาก็ส่งมอบเกล็ดชิ้นนั้นให้กับตู๋กูซิงหลัน
ทันทีที่สัมผัสโดนก็เกิดความรู้สึกราวกับถือแผ่นเหลักแช่น้ำแข็ง พาให้คนอดที่จะขนลุกกราวไม่ได้
วิญญาณทมิฬตื่นตระหนกขึ้นมา ” ดูขนาดของเจ้าเกล็ดนี่สิ
อย่างน้อยๆ คงจะต้องบำเพ็ญตบะมาพันปีกระมัง ไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรืออสูร หรือว่าเป็นตัวอะไร ทำยังไงดี น่าตื่นเต้นจังเลย ไม่รู้ว่ารสชาติของมันจะเป็นอย่างไร! ”
หากว่าได้กินเจ้าตัวนี้ลงไป ไม่แน่ว่า มันอาจจะสามารถสร้างร่างเนื้อขึ้นมาได้ในทันทีเลยก็เป็นได้
ตู๋กูซิงหลันเพ่งมองดูเกล็ดชิ้นนั้นอยู่นาน
อู๋เจินเห็นนางจับจ้องมองดูอย่างจริงจัง ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ” จริงสิวันที่ เขื่อนแตกนั้น มีชาวบ้านไม่น้อยได้ยินเสียง กรีดร้องกึกก้องดังมาจากแม่น้ำ แต่เสียงน้ำหลากในแม่น้ำก็ดังมาก ดังนั้นชาวบ้านจึงไม่แน่ใจว่า เป็นเสียงอะไรกันแน่”
ตู๋กูซิงหลันฟังแล้ว ก็นิ่งไปครู่ใหญ่ ค่อยกล่าวออกมาสองคำ ” อสรพิษจำแลงกาย “
ชาติก่อนตอนที่ยังเป็นเด็ก ท่านอาจารย์เคยเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง นี่เป็นสัตว์อสูรในตำนานของแผ่นดินใหญ่ตัวหนึ่ง เกล็ดเย็นดั่งเหล็กในหิมะ ร่างมีกลิ่นคาวคละคุ้ง พละกำลังรุนแรงไร้ที่เปรียบ เสียงกรีดร้องของมันสามารถสร้างน้ำหลากได้
ในแม่น้ำลี่เหอ ถึงกับมีเจ้าปีศาจเช่นนี้อยู่จริง?
วิญญาณทมิฬตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา ” เป็นไปไม่ได้? หากว่านั่นเป็นอสรพิษจำแลงจริง เจ้าในตอนนี้ จะสู้มันไหวหรือ? “
หากว่าเป็นอสรพิษจำแลงกายขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าตู๋กูซิงหลันคงต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว
ตู๋กูซิงหลันคืนเกล็ดชิ้นนั้นให้กับอู๋เจิน ในแม่น้ำลี่เหอมีตัวประหลาดอยู่จริงๆ แต่ว่าจะใช่อสรพิษจำแลงหรือไม่ตอนนี้ยังไม่อาจสรุปได้
ที่นางกังวลมากกว่าก็คือพี่รอง
นับตั้งแต่ที่เขาหายตัวไปตอนนี้ก็กินเวลาไปสิบวันแล้ว แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย นางย่อมต้องร้อนใจ
อู๋เจินเห็นท่าทางของนาง ก็คาดเดาว่านางคงกำลังกังวลในเรื่องคุณชายรองตู๋กู เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งไม่รู้ว่าสมควรจะพูดกับนางดีหรือไม่
ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางที่รีๆ รอๆ ของเขา ” เจ้ายังมีเรื่องใดปิดบังข้าอยู่อีก? “
อู๋เจินอ้าปากหุบปาก พอคิดถึงพระพักตร์ที่เย็นชาเป็นน้ำแข็งของฮ่องเต้ขึ้นมา ก็คิดว่ายังคงไม่พูดจะดีกว่า
เขาส่ายศีรษะติดๆ กัน พูดกลบเกลื่อนไปว่า “ไม่มีเรื่องอะไร ฝ่าบาทรับสั่งให้คุ้มครองท่านให้ดี ไม่ว่าเรื่องใดพระองค์ย่อมสามารถจัดการได้ พระองค์มิใช่ฮ่องเต้ธรรมดา ” ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลงในทันที นางสะบัดฝ่ามือตบลงบนหัวไหล่ของอู๋เจิน ” อู๋เจินน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่กล้าโกหกข้า จะมีจุดจบเป็นเช่นไร? “