ตอนที่ 190 แค่งูตัวหนึ่ง ไหนเลยจะมีฐานะเทียมองค์ชายได้?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

อู๋เจินเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที เขาพบแล้วว่า ยามที่ฮ่องเต้และไทเฮาข่มขู่ผู้คนนั้น ล้วนมีท่าทางดุจเดียวกันเลย 

 

 

คนทั้งสองนี้สมควรไปเป็นสามีภรรยากดขี่ข่มเหงกันเอง ปล่อยปละละเว้นผู้อื่น ถือเป็นการสร้างกุศลแก่โลก 

 

 

” โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์~ ” เขาเช็ดคราบเหงื่อเย็นๆ บนศีรษะ ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ค่อยอ้ำๆ อึ้งๆ ออกมาว่า “ที่จริงแล้ว บริเวณนั้น พบหยกประจําตัวชิ้นหนึ่ง “ 

 

 

” บนหยกแผ่นนั้นสลักชื่อของคุณชายรองเอาไว้ ตอนที่พบหยกบนนั้นมีรอยเลือดอยู่ด้วย….” อู๋เจินมองเห็นสายตาเย็นยะเยือกของตู๋กูซิงหลัน เม็ดเหงื่อบนศีรษะก็ผุดขึ้นมาอีก ” แผ่นหยกชิ้นนั้นถูกฝ่าบาทเก็บรักษาไว้ สมควรจะเป็นสิ่งของประจำตัวของคุณชายรอง “ 

 

 

จบกัน ๆ ดูท่าแล้วเรื่องนี่ฝ่าบาทจะปิดบังไทเฮาเอาไว้ เขาก็เกิดปากมากเข้า 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน 

 

 

พอนางไม่พูด อู๋เจินก็ยิ่งหวาดกลัวขึ้นไปอีก 

 

 

ดูท่าทางของนางสิ ราวกับว่าอีกประเดี๋ยวก็จะกระโดดลงไปในแม่น้ำลี่เหอควานหาเจ้าตัวประหลาดนั่นขึ้นมาสับให้จงได้ 

 

 

” ท่านเทพไทเฮา ท่านอย่าได้ผลีผลาม ” อู๋เจินปลอบประโลมนาง ” องครักษ์ของฝ่าบาทได้ออกตามหาร่องรอยของคุณชายรองแล้ว คิดว่าอีกไม่นานจะต้องมีผลลัพธ์ออกมาแน่นอน “ 

 

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่ ตู๋กูซิงหลันก็ตอบออกมาประโยคหนึ่ง ” ข้ารู้แล้ว “ 

 

 

ว่าแล้ว นางก็ไม่พูดอะไรเรื่องนี้อีก 

 

 

เพียงเรียกองครักษ์เงามาผู้หนึ่ง ขอให้เขาไปรับตัวฮว๋ายอันน้อยและเจ้าไก่ขนดำฟูมา 

 

 

ฮว๋ายอันถูกฟาดให้สลบแบกตัวมา แต่ว่าเจ้าไก่ขนดำฟู พอเห็นหน้าตู๋กูซิงหลันก็ตื่นเต้นตกใจยกใหญ่ มันกระพือปีก ส่งเสียง’กุ๊กๆ กรู้’ เรียกนางอย่างไม่หยุดหย่อน 

 

 

พี่สาวตัวน้อย รูปปั้นเทพธิดาในอารามนั้นขยับได้ด้วยล่ะ! 

 

 

พี่สาวตัวน้อย เทพธิดาผู้นั้นกินวิญญาณด้วยล่ะ! 

 

 

พี่สาวตัวน้อย เทพธิดาผู้นั้นกระทั่งไก่เช่นข้าก็ยังจะจับไปกิน! 

 

 

พี่สาวตัวน้อย พี่ตกลงฟังเข้าใจบ้างหรือไม่? 

 

 

มันทำเสียงกุ๊กๆ กระต๊ากๆ อยู่พักใหญ่ กลับได้มาเพียงแค่การลูบหัวจากตู๋กูซิงหลัน 

 

 

เจ้าไก่ขนดำฟูรู้สึกว่ามันจำเป็นจะต้องหัดเรียนภาษามนุษย์บ้างแล้ว มิเช่นนั้นจะช้าเร็วคงต้องอึดอัดตาย 

 

 

ค่ำคืนผ่านไปอย่างช้าๆ สายลมพัดปลิวตลอดทั้งคืน 

 

 

……………………………………………… 

 

 

 

 

 

ในตำหนักหรานอ๋อง จีหรานกำลังฟังคนรายงานอยู่ บอกว่าฝ่าบาททรงเสวยอาหารเช้าแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายพระองค์จนต้องพักผ่อนอีกครั้ง 

 

 

จีหรานอดที่จะยิ้มเย็นไม่ได้ คนที่ถูกประคบประหงมอยู่แต่ในวังมาตั้งแต่เล็ก ย่อมมีร่างกายอ่อนปวกเปียกเช่นนี้ พึ่งจะมาถึงลี่โจวแท้ๆ ก็ทำท่าว่าจะไม่ไหวเสียแล้วหรือ? 

 

 

แคว้นต้าโจวตกอยู่ในมือของคนเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำนัก 

 

 

เขาเดินไปที่ปีกตะวันตกด้วยตนเอง เคาะประตูทูลถามอยู่ที่ด้านนอกว่า ” ฝ่าบาท จะโปรดให้เรียกหมอมาตรวจหรือไม่พะยะค่ะ? “ 

 

 

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ในห้องค่อยมีพระสุรเสียงของฮ่องเต้ตรัสออกมา ” เราพักผ่อนสักสองวันก็ไม่เป็นอันใดแล้ว หรานอ๋องไม่จำเป็นต้องกังวล “ 

 

 

” ลี่โจวมีแค่ความกันดาร ทำให้ฝ่าบาทต้องทรงลำบากแล้ว ” จีหรานทูลพลาง ในใจก็กระหยิ่มยิ้มเย็นอยู่ตลอด 

 

 

นับตั้งแต่วันแรกที่จีเฉวียนเสด็จมาถึง เขาก็ดูออกมาแล้ว คนผู้นี้ก็เป็นแค่ฮ่องเต้หมอนปักลายดอกไม้ ดูดีแต่ว่าใช้การไม่ได้ 

 

 

เขากราบทูลอย่างไรก็ทรงเชื่ออย่างนั้น พระองค์เสด็จมาถึงลี่โจวกลับนำคนข้างตัวมาแค่ไม่เท่าไหร่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเชื่อถือเขาเกินไป หรือว่าดูถูกเขากันแน่ 

 

 

ฮ่องเต้เช่นนี้ ไหนเลยจะจำป็นต้องวางแผนมากมายมาจัดการกัน? 

 

 

คอยดูเถอะ อีกเพียงแค่ไม่กี่วัน เขาจะทำให้พระองค์ต้องเสียพระทัยไปชั่วชีวิต 

 

 

………………………………….. 

 

 

หลังอาหารเช้า จีหรานก็ไปที่ห้องครัวอีกครั้ง 

 

 

บนทางเดินอันมืดมิดใต้เตาไฟ เขาค่อยๆ ไต่บันไดลงไปข้างล่าง เขาจุกกระบอกไต้ขึ้นมา ค่อยๆ เดินไปด้านหน้าอย่างช้าๆ 

 

 

ในอากาศมีแต่กลิ่นน้ำสกปรก กลิ่นคาวที่เข้มข้นอบอวลไปหมด แต่เขากลับสูดดมอย่างคุ้นเคยอย่างที่สุด 

 

 

พอเปลี่ยนจากกระบอกไต้ในมือเป็นคบไฟ เขาก็ถือคบไฟนั้นเดินหน้าต่อไป 

 

 

พอเดินไปจนถึงสุดทางก็เป็นแม่น้ำใต้ดินสายหนึ่ง น้ำในแม้น้ำเป็นสีดำคล้ำ มีกลิ่นคาวพวยพุ่งรุนแรงอย่างยิ่ง 

 

 

เขาพึ่งจะเดินมาถึงทางข้างแม่น้ำใต้ดิน ก็พบว่าในแม่น้ำมีความเคลื่อนไหว กลิ่นคาวก็รุนแรงขึ้นไปอีก 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีหัวของอสรพิษขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากในแม่น้ำ ดวงตาสีเขียวที่โหดเ**้ยมทั้งสองข้างของมันจดจ้องมายังจีหราน 

 

 

พอจีหรานเห็นมัน ดวงเนตรทั้งสองของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา ใบหน้าที่ซูบผอมแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย เขายื่นหัตถ์ออกไปกรีดลงไปบนข้อมือของตนเอง เลือดสดๆ รินไหลออกมาในทันที 

 

 

อสรพิษตัวนั้นแลบลิ้นออกมา ค่อยๆ ขยับเข้ามา ลิ้มชิมรสเลือดบนมือของเขา 

 

 

” ดื่มเถอะดื่มเลย ดื่มแล้วเจ้าจะได้หายเร็วๆ ตัวล้ำค่าของข้า “ 

 

 

น้ำเสียงแหบแห้งของจีหรานยามพูดออกมาฟังดูน่ากลัวอย่างประหลาด 

 

 

ขณะที่อสรพิษตัวนั้นเลียดื่มเลือดของเขา เกล็ดบนลำตัวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมา จนกระทั่งมันดื่มกินอิ่มแล้ว ร่างของมันก็ขยับขึ้นมาเหนือน้ำ 

 

 

ร่างกายที่ใหญ่โตอวบหนาราวกับต้นไม้ที่อายุร้อยกว่าปี ทำให้แม่น้ำใต้ดินสายนี้คับแคบไปตลอดฝั่ง 

 

 

มันเหยียดร่างขยาย ส่ายไปมาอยู่ข้างกายจีหรานด้วยท่าทางที่เชื่องเชื่อ 

 

 

จีหรานรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก เขาปิดตาลง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือไปลูบหัวอันใหญ่โตของมัน ด้วยความอ่อนโยนกว่าเดิม ” อีกเพียงไม่นาน เจ้าก็จะสามารถปรากฎตัวอย่างสง่างามอยู่เคียงข้างเราได้แล้ว นับจากนี้ไปพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป “ 

 

 

พอคิดถึงอนาคตอันสดใส เขาก็ตื่นเต้นยินดีอย่างยากจะระงับได้ 

 

 

ในขณะนั้นเอง หมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าของเขา เพียงครู่เดียวหมอกดำนั้นก็กลายเป็นคนในชุดคลุมสีดำ 

 

 

คนชุดดำมีหมอกดำรายล้อมอยู่รอบตัว ในมือของเขามีแส้ที่มีกลิ่นอายของศพกำจายออกมาอย่างจัดเจน 

 

 

” ใช้โลหิตของตนเองเลี้ยงดูลูกหลานของอสรพิษจำแลงกาย ตลอดยี่สิบปีจนถึงวันนี้ หรานอ๋องช่างมีน้ำพระทัยอดทนอย่างยิ่ง ” คนชุดดำจดจ้องเขา กล่าวเบาๆ 

 

 

น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือก ทำให้ใครได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายตัว 

 

 

” เป็นเจ้าน่ะเอง ” จีหรานเห็นเขาก็มิได้รู้สึกประหลาดใจ เขายืนอยู่ข้างกายอสรพิษด้วยความมั่นใจ 

 

 

” หรานอ๋อง ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน ” คนชุดดำหัวเราะให้เขาอย่างเย็นชา “เรื่องน้ำหลากในลี่โจว ท่านและอสรพิษจำแลงกายกระทำได้ดีมาก นายท่านปิติอย่างยิ่ง “ 

 

 

เรามิได้ต้องการให้ใครมาชื่นชม ที่เราทำล้วนเป็นความพึงพอใจของเราเอง ” จีหรานกดเสียงลง เขาตรัสตอบคนชุดดำ โดยมิได้คิดจะขยับเข้าไปใกล้ 

 

 

” เฮอะๆ ๆ ช่างเป็นการกระทำตามใจที่ยอดเยี่ยมนัก ” คนชุดดำยิ้มออกมา ” ท่านเองก็เป็นสายเลือดของราชวงค์ต้าโจว กลับถูกทอดทิ้งอยู่ที่นี่ ถูกราชวงศ์ทอดทิ้งมานานหลายปี ยังถือว่านี่เป็นการทำตามอำเภอใจอยู่อีกหรือ? “ 

 

 

ว่าแล้วเขาก็กล่าวอีกว่า ” มีแต่เพียงท่านได้นั่งอยู่บนบังลังก์ของเจ้าชีวิต นั้นจึงจะถือว่าตามอำเภอใจต่างหาก “ 

 

 

จีหรานไม่ตอบ เพียงนิ่งฟังคนชุดดำพูดต่อไป ” นายท่านมีใจคิดจะสนับสนุนท่านให้ได้นั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ต้าโจวองค์ใหม่ ขอเพียงจีเฉวียนสูญเสียศรัทธาจากประชาชน ในขณะที่ท่านได้รับการสนับสนุนจากประชาชนนับพันนับหมื่น เช่นนี้แล้วตำแหน่งฮ่องเต้ต้าโจว ก็ย่อมจะตกเป็นของท่าน “ 

 

 

บัลลังก์ฮ่องเต้ต้าโจว อยู่ไม่ห่างจากมือของเขาแล้ว 

 

 

ทั้งที่เขาก็เป็นเพียงแค่บุตรที่เกิดจากนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่เล็กมีแต่จะถูกรังแก พออายุได้ห้าขวบก็ถูกปฐมกษัตริย์ ขับไล่มาอยู่ที่ลี่โจว ตลอดหลายปีมานี้ มีโอกาสได้กลับไปเยือนเมืองหลวงเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น 

 

 

ที่จริงแล้ว ในบรรดาเหล่าพี่ชายน้องสาว ไม่มีผู้ใดยอมรับคนที่มีสายเลือดเช่นเขาเลยด้วยซ้ำ 

 

 

หราน……ก็คืองูยักษ์ ตอนที่ปฐมกษัตริย์ประทานชื่อนี้ให้กับเขา ก็ไม่ได้มองว่าเขาเป็นเชื้อสายมังกรเลยด้วยซ้ำ 

 

 

แค่งูตัวหนึ่ง ไหนเลยจะมีฐานะเทียบเท่าองค์ชายได้กัน? 

 

 

 

 

 

——

 

 

หราน (蚺 , Rán) คำนี้ในภาษาจีนหมายถึง งูยักษ์ , อนาคอนดรา อยู่ในวงค์วานของงูเหลือม ออกลูกเป็นตัว ตามตำนานไม่ถือเป็นเผ่าพันธุ์มังกร แต่ถือเป็นญาติห่างๆ ห่างชนิดปลายแถว ชอบอาศัยในพื้นที่ลุ่มน้ำ มีอำนาจในการชักจูงสายน้ำให้เกิดน้ำหลากได้