บทที่ 124 เย็บผ้านวม โดย EnjoyBook

บทที่ 124 เย็บผ้านวม

ครั้งนี้มีอาหารอยู่ที่บ้านมากกว่าปกติ เนื่องจากมีส่วนของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวรวมอยู่ด้วย

มันมากเสียจนรถเข็นคันหนึ่งบรรทุกไม่พอ หลินชิงเหอเลยบอกให้โจวต้งขนกลับไปรอบแรกก่อน จากนั้นก็ค่อยมาขนอีกรอบ

โดยไม่ต้องบอกเลยว่าโจวต้งไม่คัดค้านเรื่องนี้ เขาขนของกลับไปรอบแรกก่อน หลังจากนั้นก็นำรถเข็นกลับมาให้คุณอาชายและอาสะใภ้ไว้ขนธัญพืช

ยิ่งกว่านั้นมันยังไม่เป็นความลับอีกต่อไปในครอบครัวตระกูลโจวเรื่องที่ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเริ่มมาร่วมทานอาหารที่บ้านสะใภ้สี่

นับตั้งแต่การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงปีนี้มาถึง ทั้งคู่ก็ไม่ได้ปรุงอาหารมากนัก พวกเขามักจะกินข้าวที่บ้านสะใภ้สี่จากนั้นก็ค่อยกลับไปนอนที่บ้านเดิม

พวกเขาก็เลยไม่พูดอะไรเมื่อเห็นคู่สามีภรรยาชราขนอาหารไปที่บ้านของลูกชายสี่

พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง กับพี่ชายสามต่างเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด

สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามไม่ได้พูดอะไร มีแต่สะใภ้รองเท่านั้นที่บ่นขึ้นมาเล็กน้อย “อาหารเยอะเหลือเกิน!”

“ไม่มากหรอก พอกินจนกระทั่งการแจกจ่ายอาหารครั้งหน้าเท่านั้นแหละ” พี่ชายรองเอ่ยอย่างจริงใจ

อาหารดูเหมือนจะมาก แต่สามีภรรยาชราคู่นี้ก็ทานจุเหมือนกัน ดูจากที่พวกเขาทานข้าวด้วยกันในอดีตแล้วพวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรล่ะ?

ดังนั้นอย่ามองที่ปริมาณว่ามันมากเลย เมื่อใดที่ถูกบริโภคแล้วมันก็จะหมดลงอย่างรวดเร็ว

“คุณพ่อคุณแม่ชอบบ้านสะใภ้สี่ ดังนั้นพวกเขาก็คงต้องกินอย่างประหยัดแน่” สะใภ้รองแค่น

“คุณคิดว่าอาสี่จะปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่กินอย่างประหยัดเหรอ?” พี่ชายรองมองหล่อนอย่างประหลาดใด

พูดถึงเรื่องมอบความกตัญญูต่อพ่อแม่ น้องชายสี่ให้ความใส่ใจมากกว่าพวกเขาเสียอีก แล้วน้องชายสี่มีนิสัยเป็นอย่างไรน่ะเหรอ? เขาคงจะยอมกินให้น้อยลงดีกว่าปล่อยให้พ่อแม่ของเขาหิวน่ะสิ

สะใภ้รองเมื่อโดนขัดอีกดอกหนึ่งก็เอ่ยเสียงแหว “คุณจงใจยั่วโมโหฉันแล้วนะ!”

“คุณหยุดสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ดีกว่าน่า ในความเห็นของผม ให้พ่อแม่ผมอยู่แบบนี้ดีกว่า ถ้าตัวคุณเองไม่ทำอาหารให้คุณพ่อกับคุณแม่ ก็อย่าใส่ใจเรื่องที่คุณพ่อกับคุณแม่มอบอาหารของพวกเขาให้ครอบครัวอาสี่เพื่อจะได้ทานอาหารกับอาสี่เลย” พี่ชายรองเอ่ย

เขารู้สึกว่ามันดีมากแล้ว หากไม่ใช่เพราะภรรยาของเขาเอ่ยปฏิเสธอย่างแน่นอน เขาก็อยากจะเชิญพ่อแม่ของเขาให้มาทานอาหารกับพวกเขาโดยที่พ่อแม่ของเขาแค่ทำอาหารส่วนของทั้งคู่มาร่วมทานด้วยเท่านั้น

แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีความกล้าอย่างอาสี่ในการไปยุ่งกับอาหารของคุณพ่อคุณแม่

“คุณเป็นสามีฉันจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย? คุณอยู่ข้างใครกันแน่?” สะใภ้รองสาดคำพูดใส่

“นั่นพ่อแม่ผมนะ คุณคิดว่าผมอยู่ข้างใครล่ะ?” พี่ชายรองเอ่ยเสียงเรียบ

แล้วทั้งคู่ก็จบลงด้วยการทะเลาะกัน

หลินชิงเหอไม่นำพาเรื่องใด ๆ ในฝั่งของหล่อน เธอให้โจวชิงไป๋ส่งอาหารกลับมาที่บ้านแล้วมอบพุทราจีนถุงหนึ่งให้โจวต้ง

“อาสะใภ้ครับ โปรดเก็บไว้เถอะครับ” โจวต้งส่ายหน้า

“ทำไมอาต้องเก็บไว้ด้วยล่ะ? ของนี่ไม่ใช่ของนายสักหน่อย และพุทราจีนถุงนี้ก็ซื้อมาด้วยเงินไม่เท่าไหร่เอง เอากลับไปบ้านให้เสี่ยวซีซะ บอกให้เธอกินทีละเล็กละน้อยทุกวัน มันดีต่อร่างกายของเธอ ซึ่งผู้ชายอย่างนายไม่เข้าใจหรอก ให้เธอดูแลสุขภาพมากขึ้นอีกนิด” หลินชิงเหอยัดมันลงในมือเขาและเอ่ยกำชับ

โจวต้งพยักหน้า จากนั้นก็ลากรถเข็นกลับไป

หลินชิงเหอเริ่มสั่งให้โจวชิงไป๋เก็บสะสมอาหาร เธอคัดแยกธัญพืชที่ต้องการเอาไปขายไว้กับตัวและเก็บส่วนที่เหลือไว้ในโรงเก็บฟืนในสวนหลังบ้าน

ครั้งนี้เธอขนอาหารกลับมาเป็นภูเขาเลากา เนื่องจากการเก็บเกี่ยวปีนี้อุดมสมบูรณ์ดีและได้รับส่วนแบ่งอาหารเป็นจำนวนมาก เธอจึงซื้ออาหารกลับมาโดยไม่ลังเล

ตราบใดที่เธอไม่ทำเกินกว่าเหตุ ทางฝ่ายผลิตก็ไม่กล่าวอะไร ชื่อเสียงในฐานะหญิงมือเติบของเธอได้ฝังรากลึกในใจของทุกคนไปแล้ว

นอกจากนี้ทุกคนก็ไม่ได้ตาบอดมองไม่เห็นว่าเธอเลี้ยงดูสามีและลูกชายทั้งสามอย่างไร เธอจึงขนธัญพืชกลับไปเป็นจำนวนมากกว่าคนอื่นโดยที่ทุกคนไม่มองว่าเป็นเรื่องแปลก

ต่อให้พวกเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดไป พวกเขาก็รู้สึกว่าโจวชิงไป๋ก็ไม่สามารถเก็บเงินได้แม้แต่เหมาเดียวในปีหนึ่ง

แม้ท่านแม่โจวจะรู้สึกว่าเธอซื้ออาหารมามากเกินไป แต่ก็ไม่ได้ตั้งคำถามเพราะตอนนี้นางไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องนี้และสะใภ้สี่ก็จะรำคาญหากนางเข้าไปจู้จี้ แค่มากินอาหารทุกมื้อที่บ้านของเธอในทุกวันก็นับว่าพอแล้ว

“พรุ่งนี้ฉันจะเข้าเมือง รบกวนคุณแม่ดูแลบ้านให้สักหน่อยนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยกับนาง

“เข้าเมือง?” ท่านแม่โจวชะงักไปครู่หนึ่ง

“ฝ้ายจำนวนนั้นที่เราได้มาในปีนี้มันมีไม่พอน่ะค่ะ ชิงไป๋กับฉันเลยวางแผนว่าจะทำผ้านวมผืนใหม่ให้คุณพ่อคุณแม่ ฉันก็เลยอยากจะไปสำรวจดูในครั้งนี้” หลินชิงเหอพยักหน้า

ท่านแม่โจวรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมาในใจ นางจึงเอ่ยขึ้น “ได้บอกให้ชิงไป๋ไปกับเธอไหม?”

“เขาจะไปกับฉันทำไมล่ะคะ ฉันรู้เรื่องนี้มากกว่าเขา เขาไม่จำเป็นต้องไปหรอกค่ะ อีกอย่างเขาเองก็ต้องทำงานด้วย” หลินชิงเหอตอบ

ต้องกล่าวว่าหลังการแจกจ่ายอาหารแล้วมันจะเป็นช่วงว่างงาน หลังจากที่ธัญพืชถูกแจกจ่าย ก็จะต้องปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวต่อ เมื่อไหร่ที่ปลูกเสร็จถึงจะนับว่าเป็นช่วงว่างงานอย่างแท้จริง

“จริง ๆ แล้วผ้านวมมันก็ยังใช้ได้อยู่นะ” ท่านแม่โจวมองเธอและเอ่ยออกมา

“ใช้ได้อะไรกันล่ะคะ? ครั้งที่แล้วฉันเห็นมันตอนไปขอใช้จักรเย็บผ้า มันไม่พอกันหนาวสำหรับหน้าหนาวปีนี้แน่นอน” หลินชิงเหอพูด

ความจริงแล้วการไปดูฝ้ายนั้นถือเป็นเรื่องรอง เรื่องหลักที่สำคัญเลยก็คือเธอจะไปขายวัตถุดิบที่มีอยู่ในมือต่างหาก

ปีนี้มีธัญพืชมากมากหลายชนิดมากที่ต้องขาย

หลินชิงเหอออกเดินทางในวันต่อมาและแบกธัญพืชถุงหนึ่งไปด้วย ซึ่งความจริงแล้วเธอมีเก็บไว้ในมิติมากมายเลย

แต่ธัญพืชถุงนี้เธอกะเอาไว้อธิบายกับคนอื่นเฉย ๆ

เธอไม่ได้พาเจ้าใหญ่ เจ้ารอง กับเจ้าสามไปด้วย แต่ให้พวกเขาอยู่กับบ้าน

ทันทีที่ออกจากทางเข้าหมู่บ้านแล้ว หลินชิงเหอก็เก็บธัญพืชที่ซ้อนอยู่บนจักรยานเข้าไปไว้ในมิติเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ ก่อนจะเดินทางเข้าไปในตัวอำเภอ

หลังมาถึงตัวอำเภอแล้ว เธอก็ใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงเดินไปรอบ ๆ ก่อนจะขายเศษเนื้อหมูทุกชนิดที่สะสมไว้ตั้งแต่คราวที่แล้วจนหมด

เมื่อหักลบค่าใช้จ่ายแล้ว เธอทำกำไรไปราว 50 หยวน ซึ่งถือว่าไม่มากนักเพราะเธอไม่ได้เข้ามาในตัวอำเภอมากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว

เธอไม่เคยพลาดรับเนื้อหมูจากเม่ยเจี่ยสักครั้งเลย เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ แล้วมันก็มีสะสมมากขนาดนี้เลยเหรอ?

นอกจากขายเนื้อหมูแล้ว หลินชิงเหอก็ยังขายอาหารที่เธอเอามาด้วย

หลังจากนั้นเธอก็กลับเข้ามาในตลาดมืดเพื่อซื้อฝ้ายอีกครั้ง เธอผู้คุ้นเคยกับตลาดมืด รู้รหัสลับของตลาดมืดเป็นอย่างดี แต่รหัสลับของตลาดมืดเปลี่ยนไปเร็วมาก พอเธอบอกรหัสคราวนี้มันจึงไม่ตรงกับรหัสใหม่

“นี่ครั้งสุดท้ายของสุดท้ายแล้วนะ” ชายคนนั้นมองเธอและเอ่ยขึ้น

“พี่ชาย ช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ยุ่งมากเหลือเกิน ฉันเลยไม่มีเวลามาที่นี่จริง ๆ แล้วบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ที่บ้านก็ต้องการฝ้ายมาทำผ้านวมใหม่ด้วยน่ะค่ะ” หลินชิงเหอกระซิบพลางยัดเงินใส่มือเขา 1 เหมา

ชายคนนั้นไม่คิดว่าหญิงสาวจะใจกว้าง ยิ่งกว่านั้นเธอยังเป็นผู้หญิงผอมแห้งแรงน้อย เมื่อเชื่อว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็พาเธอเข้าไป

หลินชิงเหอขอซื้อฝ้ายจำนวน 4 ชั่ง

ฝ้าย 1 ชั่งถูกอัดจนแบนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ฝ้าย 4 ชั่งจึงคิดเป็นจตุรัส 4 ผืน มันจึงกินพื้นที่ไม่มากนัก

ไม่เพียงแต่เธอจะขอซื้อฝ้าย 4 ชั่ง เธอยังขอซื้อผ้าทอมืออีก 1 พับด้วย

หลังจ่ายเงินและรับสินค้าแล้ว หลินชิงเหอก็แบกถุงฝ้ายและผ้าขนาดใหญ่เดินจากไป เธอลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยอย่างชำนิชำนาญ หลังหักหลบเข้ามุมตึกหลายโค้งแล้ว ฝ้ายและผ้าทั้งหมดก็ถูกย้ายไปเก็บไว้ในมิติ

จากนั้นเธอก็กลับเข้ามาในตลาดมืดและซื้อวนไปอีกครั้ง คราวนี้เธอได้ฝ้ายมาเพิ่มอีก 3 ชั่ง

ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเช่นนี้ ผ้านวมบุฝ้าย 4 ชั่งจะไปพอที่จะคลุมตัวคนชรา 2 คนได้อย่างไรล่ะ?

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เห็นทักษะการเข้าตลาดมืดของแม่ตอนนี้แล้วเหมือนกับแม่เป็นสายลับเลยค่ะ แม่คูลมาก

ไหหม่า (海馬)