บทที่ 125 มหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหาร

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 125 มหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหาร โดย EnjoyBook

บทที่ 125 มหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหาร

ตอนนี้เธอมีฝ้าย 7 ชั่ง ซึ่งนับว่าเพียงพอแล้ว

ความจริงก็คือเด็ก ๆ เองก็มีผ้านวมหนัก 7 ชั่งอยู่ แต่นับจากปีนี้ไป เจ้าใหญ่กับเจ้ารองจะต้องนอนห้องข้าง ๆ ส่วนเจ้าสามยังคงมานอนกับเธอและโจวชิงไป๋ได้อยู่

ดังนั้นเด็ก ๆ จึงต้องมีผ้านวมของพวกเขา เลยเป็นที่มาของการทำผ้านวมผืนใหม่ให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว

หลังเก็บฝ้ายกับผ้าไว้ในมิติเรียบร้อย หลินชิงเหอก็ออกมาหาคนคุ้นเคยเก่า

คนคุ้นเคยเก่าคนนี้เป็นพนักงานหญิงที่ลาออกจากงานคนที่หลินชิงเหอเคยรู้จักมาก่อน พวกเธอเจอกันในตอนที่ซื้อขายเนื้อ ซึ่งผ้านวมที่เธอเคยให้เป็นของขวัญแต่งงานกับโจวเสี่ยวเม่ยก็มาจากฝีมือของนาง

“สาวน้อย หนูไปซื้อฝ้ายพวกนี้มาจากไหนกันเหรอ? คุณภาพนับว่าดีเลยนะ” หญิงชราเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ในตลาดมืดน่ะค่ะ ถ้าป้าอยากได้ หนูจะให้รหัสนะคะ ที่นั่นคงยังมีเหลืออยู่บ้าง” หลินชิงเหอตอบ

“ตกลงจ้ะ ฉันจะลองไปดูทีหลังนะ” หญิงชราร่างเล็กพยักหน้า

“ป้าใช้ฝ้าย 7 ชั่งพวกนี้ทำผ้านวมได้นะคะ แล้วอีกครึ่งเดือนหนูจะมารับ” หลินชิงเหอบอก

“ไม่ถึงครึ่งเดือนหรอกจ้ะหนู หนูมารับได้ในอีก 7 วันเลย” หญิงชราร่างเล็กเอ่ย

หลินชิงเหอกับนางต่างเป็นคนคุ้นเคยกัน เมื่อหญิงสาวได้ฟังแล้วจึงพยักหน้าและกระซิบถาม “ครั้งหน้าถ้าหนูมา หนูเอาเนื้อมาให้ป้าได้นะคะ ป้าอยากได้เท่าไหร่เหรอคะ?”

“ถ้าหนูมีเนื้อก็เอามาเยอะ ๆ เลยจ้ะ เนื้ออะไรก็ได้” หญิงชราตอบทันควัน

“ตกลงค่ะ” หลินชิงเหอให้สัญญา

ในยุคนี้ผู้คนยังคงซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน ยิ่งกว่านั้นหญิงชราผู้นี้ก็อยู่ในขบวนการซื้อขายนี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่านางจะยักยอกของของเธอ เว้นแต่ว่านางไม่อยากทำงานในขบวนการนี้แล้ว

ดูจากผ้านวมของโจวเสี่ยวเม่ยเมื่อคราวที่แล้วเป็นตัวอย่างก็ได้ เรื่องนี้ทำให้หลินชิงเหอยังมีความเชื่อใจนางอยู่บ้าง นางทำงานได้ยอดเยี่ยมทีเดียว

หลังลาหญิงชราแล้ว หลินชิงเหอก็มาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อมาซื้อไหมพรม

เธอตั้งใจจะถักเสื้อกั๊กให้โจวชิงไป๋กับลูกชายทั้งสาม เพื่อที่จะได้ไม่ต้องตัดเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ เสื้อผ้าฤดูหนาวเมื่อปีที่แล้วยังมีสภาพใหม่อยู่เลย

หลังคิดไตร่ตรองดูแล้ว เธอก็ซื้อไหมพรมเพิ่มเพื่อให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวนำไปถักเสื้อ

หลังซื้อไหมพรมแล้ว เธอก็มุ่งหน้าไปที่ร้านค้าสหกรณ์และซื้อวัสดุเพิ่มเติม จากนั้นก็ไม่ได้อยู่ต่อนานนักและปั่นจักรยานกลับบ้าน

“เธอไม่ได้ซื้อฝ้ายมาเหรอ?” ท่านแม่โจวถามเมื่อเห็นหญิงสาวกลับมาพร้อมกับถุงไหมพรมโดยที่ไม่มีฝ้ายติดมาเลย

“ฉันซื้อมาแล้วล่ะค่ะ แต่เอาไปให้คน ๆ หนึ่งทำผ้านวมให้ คาดว่าน่าจะได้อีกสักห้าถึงเจ็ดวันน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

“จะเชื่อใจได้ไหมเนี่ย?” ท่านแม่โจวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมา

“เชื่อได้ค่ะคุณแม่ ผ้านวมที่ฉันให้เสี่ยวเม่ยไปเมื่อครั้งที่แล้วก็เป็นฝีมือของคน ๆ นี้แหละค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยให้นางวางใจ

จากนั้นเธอก็แบ่งไหมพรมบางส่วนออกมาจากถุงนั้นในปริมาณที่เพียงพอต่อการถักเป็นเสื้อกันหนาวสองตัว ก่อนเอ่ยกับท่านแม่โจว “ไหมพรมนี้ให้คุณแม่กับคุณพ่อนะคะ ฉันต้องถักเสื้อให้ชิงไป๋กับเด็ก ๆ ก็เลยจะค่อนข้างยุ่ง คุณแม่รับไปถักเสื้อใส่ที่บ้านนะคะ”

“ทำผ้านวมทั้งทีแต่กลับซื้อไหมพรมกลับมาอีกเนี่ยนะ” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยความกระดาก

“รับกลับไปเถอะค่ะ” หลินชิงเหอไม่แสดงท่าทีหวงของแต่อย่างใด เธอวางถุงลงและเริ่มเตรียมตัวทำอาหารกลางวัน

อาหารกลางวันค่อนข้างเรียบง่าย ในตอนเช้าเธอหยิบเห็ดหูหนูมาแช่น้ำเตรียมไว้แล้วหนึ่งกำมือก่อนจะออกจากบ้าน และตอนนี้มันก็พองตัวพร้อมทาน

เห็ดหูหนูเย็นหนึ่งจาน มะเขือยาวกับหมูสับหนึ่งจาน ตบท้ายด้วยซุปไข่คนมะเขือเทศอีกจาน โดยอาหารจานหลักเป็นหมั่นโถวขาว

แม้อาหารจะดูเรียบง่าย แต่หลินชิงเหอใส่น้ำมันไม่น้อย ไม่ว่ามันจะเป็นเห็ดหูหนูเย็นหรือมะเขือยาวผัดหมูสับ มันก็ทำให้อาหารเหล่านั้นมีกลิ่นหอมอย่างมาก

ช่างน่ากินเหลือเกิน

หลังทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หลินชิงเหอก็เริ่มสั่งให้เด็ก ๆ ช่วยกันฟั่นไหมพรมบางก้อน

“แม่ครับ ครั้งนี้แม่ไม่เห็นซื้ออะไรกลับมาให้กินเลย” เด็กชายทั้งหลายส่งเสียงบ่น

“ครั้งนี้แม่เอาฝ้ากลับมาให้คุณปู่คุณย่าตั้งเยอะแยะเพื่อทำเป็นผ้านวมให้พวกท่าน แถมเรายังต้องถักเสื้อกั๊กให้ลูก ๆ แต่ละคนอีก แล้วมันก็ใช้เงินไปเยอะมาก” หลินชิงเหออธิบาย

มันใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดมืด ซึ่งราคาสินค้าช่างแพงหูฉี่ขูดเลือดขูดเนื้อเลยทีเดียว

“มันใช้เงินมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เจ้ารองถาม

“แน่อยู่แล้วล่ะ เงินในกระเป๋าแม่แทบจะหมดเกลี้ยงเลย แม่ต้องรอดูว่าทางฝ่ายผลิตจะแจกจ่ายของในปีนี้ไหม ไม่อย่างนั้นแม่จะซื้อลูกอมให้ห่อหนึ่งในวันสิ้นปีนะ” หลินชิงเหอบอก

“บ้านเราจนจังครับ” เจ้าสามผู้เป็นเด็กแสบตัวน้อยถอนหายใจยาว

หลินชิงเหออดไม่ได้ที่จะอึ้งไป “ครอบครัวเราไม่ได้จนนะ”

“ถ้าเราไม่ได้จนแล้ว ทำไมเราถึงซื้อน้ำตาลไม่ได้ล่ะครับ?” เจ้าสามถาม

“เราต้องแสดงความกตัญญูต่อคุณปู่กับคุณย่าของลูกถูกไหม? ครอบครัวเราจึงทำได้แค่ลดอาหารการกินของพวกเขาและรัดเข็มขัดเพื่อประทังชีพของเรา” หลินชิงเหอบอก

“ครอบครัวของเรายังมีเงินอยู่ไหมครับ?” เจ้าใหญ่ถาม

“ถึงจะมีไม่มากนัก แต่ก็พอมีบ้างจ้ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“แม่ไม่ต้องกังวลไปครับ ผมจะทำงานให้หนักเพื่อจะได้เข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารให้ได้!” เจ้าใหญ่ลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“มหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารคืออะไรเหรอ?” เจ้ารองถาม

เจ้าสามเองก็จ้องมองพี่ชายคนโตเหมือนกัน

“มันก็คือมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งน่ะ หลังเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว เราก็จะทำงานได้ แล้วเราก็จะหาเงินได้” เจ้าใหญ่อธิบาย

“ลูกไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนน่ะ?” หลินชิงเหอเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามเขา

เธอรู้ดีเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหาร ปีนี้เป็นปี 1971 ซึ่งมหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารนี้ก่อตั้งในปี 1970 และเริ่มรับสมัครนักเรียนไปเมื่อมิถุนายนปีที่แล้ว

เดิมทีหลินชิงเหอก็อยากสอบดูเหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรกับเด็ก ๆ ทั้งสามและพ่อของพวกเขาล่ะ?

นอกจากนี้มหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารในยุคนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากสอบเข้าเมื่อไหร่ก็สอบได้ มันต้องใช้จดหมายแนะนำและการพิจารณาของกรรมการ สรุปก็คือมันเป็นมหาวิทยาลัยที่เข้มงวดมาก

เป็นไปไม่ได้เลยที่คนขี้เกียจไม่เคยลงทำงานในทุ่งนาอย่างเธอจะผ่านการพิจารณาจากกรรมการ ดังนั้นต่อให้เธอรู้ว่ามันมีมหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารอยู่ เธอก็ไม่มีทางเข้าได้

แต่เธอไม่คิดเลยว่าเจ้าใหญ่เด็กชายตัวเหม็นคนนี้จะรู้เรื่องนี้ด้วย

“ผมได้ยินคุณครูบอกว่าการที่พ่อของผมเป็นทหารจะทำให้เขามีความน่าเชื่อถือมาก และครอบครัวของเราก็เป็นครอบครัวชาวนาระดับกลางค่อนไปทางต่ำ นับว่าเข้าเงื่อนไขพอดีเลยครับ ถ้าผมเรียนได้คะแนนดี ผมจะได้รับการแนะนำให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารได้!” เจ้าใหญ่มองแม่ของเขาด้วยสายตาจริงจังขณะอธิบายให้ฟัง

“ก็ต้องเป็นไปได้อยู่แล้วจ้ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

เธอคงจะไม่ผ่านการคัดเลือก แต่เจ้าใหญ่ต้องผ่านแน่นอน ต่อให้เธอจะเป็นแม่แบบนี้ แต่เขาก็ยังมีพ่อของเขาที่เข้าเงื่อนไขอยู่

ยิ่งกว่านั้นเธอยังเป็นคนธรรมดาทั่วไป เธอไม่ได้ขโมยหรือปล้นทรัพย์ แค่ไม่รู้จักใช้ชีวิตเท่านั้นเอง ลูกชายของเธอจะต้องไม่ได้รับผลกระทบเพราะเธอ

แต่หญิงสาวก็ยังให้กำลังใจเจ้าใหญ่ ตอนนี้เขาอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ? เมื่อเขาโตขึ้น มันก็จะถึงช่วงฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยพอดี

ในตอนนั้นเขาก็จะได้เข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกับเธอ เขาจะยังอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารอยู่อีกเหรอ?

แต่เขายังต้องการกำลังใจอยู่ดี

“เจ้าใหญ่ งั้นลูกต้องทำงานให้หนัก แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยากที่ครอบครัวของเราจะพึ่งพาพ่อของลูกเพียงคนเดียว ลูกต้องโตขึ้นและนี่ก็ถึงเวลาที่ลูกจะสนับสนุนครอบครัวของลูกแล้ว” หลินชิงเหอกระตุ้น

เจ้าใหญ่ยืดอก “แม่วางใจได้เลย ผมจะนำเกียรติยศศักดิ์ศรีมาให้แม่กับหมู่บ้านเอง!”

ใช่แล้วล่ะ ถ้ามีใครสอบผ่านได้ มันก็จะเป็นเกียรติเป็นศรีแก่หมู่บ้านและฝ่ายผลิตเช่นกัน

“แม่รู้สึกมีความสุขมากจ้ะที่เห็นลูกมีจิตสำนึกแบบนี้” หลินชิงเหอพยักหน้า “ลูกต้องทำงานให้เสร็จก่อนถึงจะไปเรียนได้นะ”

การเรียนนั้นใช้ความมานะพากเพียร แต่การทำงานก็ควรจะสำเร็จลุล่วงเหมือนกัน เธอจะปล่อยให้ลูกชายของเธออุทิศตัวให้กับการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าใหญ่โตขึ้นแล้วล่ะค่ะ ปรบมือให้ความมุมานะของน้องนะคะ เด็กเจ็ดขวบย่างแปดขวบแต่มีความคิดแบบนี้ถือว่าสุดยอดเลยค่ะ

ไหหม่า (海馬)