ตอนที่ 676 การตายของเจียงสือ / ตอนที่ 677 อวี้จื้ออยู่ที่นั่น ห้ามลงมือเด็ดขาด

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 676 การตายของเจียงสือ

 

 

“เจียงสือเผยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนออกมา ดูราวกับรอยยิ้มของผู้ที่อาวุโสกว่ากำลังจ้องมองมายังหลิงอวี้จื้อ

 

 

ดีๆ …..มีชีวิตอยู่ต่อไป…..แทนนาง หากว่าต่อไปเป็นไปได้ละก็ พาลูกของเจ้ามาเยี่ยมข้าบ้าง…..”

 

 

สิ้นประโยคนั้นเจียงสือก็ปิดเปลือกตาลง คนตายไป เรื่องราวที่ผ่านมาก็มลายหายไปด้วย คงไม่มีใครคาดคิดว่าสุดท้ายแล้วเจียงสือจะตายเพราะพวกนาง ทุกอย่างในโลกยากจะคาดเดา ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นเช่นนี้

 

 

มั่วชิงสะดุดล้มลงบนพื้น สมองของนางยังครุ่นคิดถึงคำพูดของเจียงสือซ้ำไปซ้ำมา

 

 

‘ท่านพ่อท่านแม่ของนางจะขายนางได้อย่างไร แม้ว่านางจะรูปร่างหน้าตางามที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมดก็ตามที่’

 

 

‘นางจดจำได้ดีว่าท่านพ่อบอกกับนางว่าจะพาไปยังที่ๆ หนึ่ง ท่านพ่อยังซื้อพุทราเชื่อมให้กับนางหนึ่งไม้ ต่อมานางได้พบกับหญิงแปลกหน้าที่แต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะ นางเห็นท่านพ่อพูดคุยกับหญิงผู้นั้น และคนของสำนักอู่จี๋ก็ปรากฏตัวอุ้มนางออกไปทันที’

 

 

‘หรือว่าคนพวกนั้นเป็นอย่างที่เจียงสือบอกเอาไว้จริงๆ แท้ที่จริงพวกเขาคือคนของหอนางโลม ‘

 

 

‘น่าขำสิ้นดี’

 

 

คิดไปคิดมา จู่ๆ โมชิงก็ฉีกยิ้มออกมา ทว่ารอยยิ้มนั้นช่างแสนเศร้าเหลือเกิน

 

 

หลิงอวี้จื้อชันกายลุกยืนขึ้น เดินเข้าไปหามั่วชิงแล้วเอื้อมมือไปตบบ่านางสองสามครั้ง

 

 

“มั่วชิง ทุกอย่างผ่านไปแล้ว อย่าไปคิดถึงมันอีกเลย เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะลืมสิ่งไม่ดีที่แล้วมา”

 

 

“พระชายา เพราะอะไรพวกเขาถึงต้องทำเช่นนี้กับข้าน้อย? พวกเขาคือครอบครัวของข้าน้อยนะเจ้าคะ เพราะอะไรถึงผลักข้าเข้าสู่กองไฟ ข้า…” มั่วชิงเอื้อนเอ่ยออกไปไม่ไหว

 

 

ใบหน้าของนางซีดเซียวไร้สีเลือด

 

 

“อย่าไปคิดอีกเลย ต่อไปจะมีข้าอยู่ ให้ข้าเป็นครอบครัวของเจ้า ดีหรือไม่?”

 

 

“มั่วชิง ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเสียใจ ให้เป็นใครหากได้ยินเรื่องเช่นนี้ ก็ไม่มีทางรับไหว แต่เจ้าต้องพยายามลุกขึ้นสู้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง พวกเราต้องมองไปข้างหน้า อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป คนก็ตายไปแล้ว รื้อฟื้นไปก็ไม่มีประโยชน์”

 

 

มั่วชิงก้มหน้าคอตก นางเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ดี เพียงแต่เวลาเพียงน้อยนิดทำให้นางยากเกินจะรับไหว

 

 

“พระชายา ทรงเดินทางล่วงหน้าไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าน้อยอยากจะฝังอาจารย์ให้เรียบร้อยเสียก่อน”

 

 

“ได้ เจ้าจงระวังตัวด้วย”

 

 

“พระชายาไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”

 

 

มั่วชิงพยักหน้ารับ

 

 

ในตอนนั้นเององค์รักษ์ลับของเซียวเหยี่ยนที่เอาชีวิตรอดมาได้ก็เดินทางมาถึง พวกของเซียวเหยี่ยนเหลือรอดมาได้มีเพียงสี่คน เซียวเหยี่ยนจึงสั่งการให้หนึ่งคนอยู่เป็นเพื่อนมั่วชิงช่วยกันฝังร่างเจียงสือให้เรียบร้อย ส่วนตัวเขาและหลิงอวี้จื้อพาองค์รักษ์ที่เหลือล่วงหน้าไปยังโรงหมอในตัวเมือง

 

 

หมอที่มีอยู่เพียงคนเดียวของเมืองนี้จัดการทำแผลให้กับเซียวเหยี่ยน ซึ่งหลิงอวี้จื้อก็คอยอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา

 

 

“อาเหยี่ยน เจ็บมากหรือเปล่า?”

 

 

“เล็กน้อย”

 

 

เซียวเหยี่ยนมีสีหน้าปกติเรียบเฉยมิได้หน้านิ่วคิ้วขมวดแต่อย่างใด การบาดเจ็บถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไปของเขา ดังนั้นเขาจึงเคยชินกับมันเสียแล้ว

 

 

กลับเป็นหมอที่ทำแผลให้เขาเสียอีกที่มีสีหน้าท่าทางตื่นตระหนกหวาดกลัวเป็นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นใครกันแน่ แต่อย่างหนึ่งที่เขารู้ดีนั่นก็คือพวกเขาเป็นบุคคลที่เขาไม่ควรจะมีเรื่องด้วยอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้หมอจึงเอาแต่แต่ก้มหน้าก้มตาทำแผลให้กับเซียวเหยี่ยนอย่างเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเซียวเหยี่ยนด้วยซ้ำ ขณะที่ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้พวกของเซียวเหยี่ยนรีบไปเสียที

 

 

“คุณชาย ทำแผลเสร็จแล้วครับ”

 

 

หมอเอ่ยกล่าวอย่างนอบน้อม

 

 

“รบกวนท่านแล้วท่านหมอ เงินที่ต้องจ่ายพวกเราจะจ่ายสองเท่าทีเดียว”

 

 

“คุณชายพักที่นี่สักคืนสิขอรับ”

 

 

หมอเอ่ยกล่าวไปตามมารยาท ทั้งที่ในใจกลับไม่ต้องการให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่สักนิด อยากเร่งให้เขาออกไปจากที่เสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำไป

 

 

“อีกประเดี๋ยวพวกเราก็จะไปแล้ว”

 

 

ประจวบเหมาะกับที่เซียวเหยี่ยนเองก็มีความคิดตรงกันพอดี เมืองนี้ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก หลังจากที่ทำแผลเสร็จ พวกเขาต้องรีบเดินทางไปจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด และต้องเดินทางถึงยังเมืองที่ใกล้ที่สุดก่อนที่ฟ้าจะมืด

 

 

“ขอโทษด้วย ข้าทำให้ท่านบาดเจ็บอีกแล้ว”

 

 

หลินอวี้จื้อก้มหน้าคอตก รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ท่าทางของนางดูราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งทำความผิดมาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เซียวเหยี่ยนเอื้อมมือออกมาลูบไล้เส้นผมของนาง

 

 

“ข้าบาดเจ็บยังดีเสียกว่าเจ้าบาดเจ็บ ข้าหนังหนา ไม่เป็นอะไรมากหรอก”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 677 อวี้จื้ออยู่ที่นั่น ห้ามลงมือเด็ดขาด

 

 

เซียวเหยี่ยนเย้าหยอกจนหลิงอวี้จื้อหัวเราะออกมาได้

 

 

“ในที่สุดท่านก็ยอมรับแล้วสินะว่าตนเองหน้าหนานัก”

 

 

“ข้าเคยปฏิเสธเมื่อไหร่กัน?”

 

 

เซียวเหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับเอ่ยถาม

 

 

“พวกเรารีบลับเมืองอวิ๋นกันเถอะ ไม่เช่นนั้นอยู่อย่างนี้ข้าคงข่มตาหลับไม่ลง ไทเฮาจะต้องไม่ยอมปล่อยพวกเราไปง่ายๆ เป็นแน่ มือสังหารพวกนี้จะต้องเป็นพระองค์ที่ส่งมา ตอนนี้พวกเราเหลือองค์รักษ์เพียงแค่สี่คน หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางอีก ถึงตอนนั้น…..ก็เท่ากับตายสถานเดียวนะสิ มือสังหารที่มานครั้งนี้ฝีมือร้ายกาจเทียบเท่าองค์รักษ์ของเราเลยด้วยซ้ำ…”

 

 

“มือสังหารที่มาในครั้งล้วนแต่เป็นมือสังหารระดับพระกาฬ ซึ่งในยุทธภพยังขาดแคลนมือสังหารระดับพระกาฬเหล่านี้อยู่อีกมาก สามารถสั่งการมือสังหารจำมากถึงเพียงนี้ได้ในครั้งเดียว คิดว่าพระนางคงจะลงทุนลงแรงไปไม่น้อยทีเดียว คิดว่าน่าจะยกโขยงกันมาทั้งรัง ตอนนี้พวกเราจึงจะยังปลอดภัยชั่วคราว”

 

 

หลิงอวี้จื้อจับมือของเซียวเหยี่ยนแนบยังใบหน้าของตน แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

“หากถึงยามคับขัน ไม่ต้องช่วยข้า ข้าบอกแล้ว ต่อไปนี้เราสองคนจะร่วมเป็นร่วมตาย ข้ามาในครั้งก็เพราะท่าน หากไม่มีท่านแล้ว ข้ายังจะมาทำไมกันอีก สิ่งอื่นใดหาได้มีความหายต่อข้าไม่ ข้าต้องการเพียงท่านเท่านั้น”

 

 

“เด็กโง่”

 

 

เซียวเหยี่ยนน้ำเสียงแหบพร่า

 

 

“พวกเราจะต้องไม่เป็นอะไร รีบไปเตรียมตัวเถอะ พวกเราควรออกเดินทางแล้ว”

 

 

“ได้ ข้าจะไปเก็บสัมภาระ”

 

 

หลิงอวี้จื้อกล่าวจบก็หอมแก้มเซียวเหยี่ยนหนึ่งที

 

 

นางรู้ดีว่าเมื่อกลับไปถึงเมืองอวิ๋น เซียวเหยี่ยนก็จะต้องเริ่มลงมือ ใกล้ถึงช่วงเวลาสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะเข้าไปทุกทีแล้ว เมื่อนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เฉินมั่วฉือทำเพื่อตนแล้ว หลิงอวี้จื้อก็รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก นางไม่อยากเป็นศัตรูกับเฉินมั่วฉือ แต่นางก็ทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ข้างเซียวเหยี่ยน

 

 

วังกานเฉวียน

 

 

“หลิวสี่ สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

เฉินมั่วฉือไต่ถามหลิวสี่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยท่าทีร้อนรน ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้เรื่องที่มู่หรงกวานเย่ว์ส่งมือสังหารไปที่นั่นมาก่อน จนกระทั่งได้รับข่าว เขาจึงรีบส่งคนไปสืบข่าวของหลิงอวี้จื้อทันที

 

 

เขาไม่สนใจความเป็นตายของเซียวเหยี่ยนเท่าไหร่นัก เขาต้องการรู้เพียงว่าหลิวอวี้จื้อเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้น

 

 

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันได้ตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว มือสังหารที่ไทเฮาทรงส่งไปตายหมดไม่มีเหลือ เซียวเหยี่ยนเองก็บาดเจ็บหนัก ทั้งยังสูญเสียองค์รักษ์ลับของเขาไปจำนวนไม่น้อย ในจำนวนนี้ไม่มีหญิงสาว มีเพียงหญิงมีอายุสักหน่อยตายอยู่ในเมืองเล็กๆ นั่น”

 

 

“ฝ่าบาท แม้ว่ามือสังหารที่ไทเฮาทรงส่งไปจะสังหารเซียวเหยี่ยนจะทำงานไม่สำเร็จ แต่ก็ทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัสในเวลาเช่นนี้หากฝ่าบาทส่งคนไปตามสังหารเขาซ้ำ จะต้องสามารถเอาชีวิตเซียวเหยี่ยนได้อย่างแน่นอน นี่ถือเป็นโอกาสอันหาได้ยากยิ่ง เพราะหากปล่อยให้เซียวเหยี่ยนกลับถึงเมืองอวิ๋นได้ ต่อไปจะไม่มีโอกาสอีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หลิวสี่โน้มน้าว

 

 

ขอเพียงเฉินมั่วฉืออาศัยโอกาสนี้ลงมือ จะต้องสังหารเซียวเหยี่ยนได้สำเร็จอย่างแน่นอน เมื่อเซียวเหยี่ยนตายไปเฉินมั่วฉือก็จะสามารถแย่งชิงเอาแผ่นดินส่วนที่ควรจะเป็นของตนกลับคืนมาได้

 

 

เขารู้ดีว่าเฉินมั่วฉือชอบพอหลินอวี้จื้อ จึงเกรงว่าในเวลาเช่นนี้เฉินโม่จะอารมณ์ในการตัดสินใจ จนพลาดโอกาสทองครั้งนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงโน้มน้าวให้เฉินมั่วฉือลงมือ

 

 

หลายปีที่ผ่านมานี้ในสายตาของเขา แม้ว่าเฉินมั่วฉือจะอายุยังน้อย จึงอาจยังไม่คุ้นชินกับการปกครองบ้านเมือง แต่ถ้าหากว่าได้ฝึกฝนขัดเกลาอีกสักสองสามปี เฉินมั่วฉือก็สามารถเป็นฮ่องเต้ที่ดีคนหนึ่งได้

 

 

เมื่อได้ยินว่าหลินอวี้จื้อปลอดภัยดี เฉินมั่วฉือถึงได้ทอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

 

“หลิงอวี้จื้ออยู่ที่นั่นด้วย ห้ามลงมือ”

 

 

“ฝ่าบาท…หากพลาดโอกาสในครั้งนี้ไป ภายหน้าจะสังหารเซียวเหยี่ยนก็จะยากขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ เซียวเหยี่ยนจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูง เกรงว่าอีกไม่นานต้องยกทัพมาเป็นแน่ บัดนี้สบโอกาสที่จะกำจัดเขาได้ ฝ่าบาทอย่าได้ทรงพลาดไปเป็นขันขาด ขอฝ่าบาทไตร่ตรองด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หลิวสี่เริ่มที่จะร้อนใจ หลังว่าเฉินมั่วฉือจะเรียกคืนคำสั่ง จึงได้โขกศีรษะลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง

 

 

ทว่าเฉินมั่วฉือกลับไม่สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย แววตาของเขาแน่วแน่ เอ่ยว่า

 

 

“ข้าต้องเอาชนะเซียวเหยี่ยนอย่างใสสะอาดด้วยความสามารถของข้าเอง หลิวสี่ เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของเซียวเหยี่ยน? เขายกทัพมาแล้วอย่างไรเล่า เขาจะกวาดล้างเข้าด้วยมือของข้าเอง”