ตอนที่ 678 ทรงทราบนามของหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ / ตอนที่ 679 ข้าไม่สนใจ

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 678 ทรงทราบนามของหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ

 

 

หลิวสี่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเฉินมั่วฉือมาหลายปี จึงรู้จักนิสัยของเฉินมั่วฉือดีว่าเป็นอย่างไร เรื่องอะไรก็ตามที่เฉินมั่วฉือตัดสินใจไปแล้วต่อให้โน้มน้าวเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ และที่เฉินมั่วฉือกระทำเช่นนี้ก็เพื่อหลิงอวี้จื้อ เพราะเขาทนเห็นหลิงอวี้จื้อตายไปต่อหน้าต่อต่อตาไม่ได้

 

 

หลิวสี่ทอดถอนใจ หากว่าซีเว่ยต้องล่มสลาย ก็ด้วยน้ำมือของหญิงผู้นี้นั่นเอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรฝ่าบาทถึงโปรดหญิงผู้นั้นนักหนา ถึงกับทรงยอมพลาดโอกาสทองในครั้งนี้ไปได้

 

 

“หลิวสี่ ลุกขึ้นเถอะ! อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกต่อไป ที่ข้าปล่อยเซียวเหยี่ยนไป ก็เพราะข้าต้องการสู้กับเซียวเหยี่ยนด้วยความใสสะอาดอย่างเต็มภาคภูมิสักครั้ง”

 

 

หลิวสี่ได้ยินดังนั้นไหนเลยจะกล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก จึงได้แต่ชันกายลุกขึ้น

 

 

“น้อมรับพระบัญชา”

 

 

เฉินมั่วฉือโบกมือเล็กน้อยเป็นเชิงให้หลิวสี่ถอยออกไป นั้นตอนนั้นเองขันทีน้อยก็เข้ามารายงานว่าหลินฮองเฮาขอเข้าเฝ้า

 

 

แม้เฉิมมั่วฉือจะรำคาญใจแต่สุดท้ายก็ยังยอมพบหลินฮองเฮาอยู่ดี

 

 

หลินฮองเฮามาพร้อมกับปิ่นโต่ใส่อาหาร ซึ่งด้านในล้วนแต่เป็นอาหารที่เฉินมั่วฉือชื่นชอบทั้งสิ้น รวมทั้งขนมที่เฉินมั่วฉือชอบและจะต้องกินทุกวันยามบ่าย ซึ่งทุกคนในวังต่างก็รู้เป็นอย่างดีมาด้วย เรียกว่าหลินฮองเฮารู้จักเฉินมั่วฉือชนิดทะลุปรุโปร่งก็ว่าได้

 

 

หลังจากทำความเคารพแล้ว หลิงฮองเฮาก็รับปิ่นโตใส่สำรับจากไหล่ถังแล้วเดินเข้ามาหาเฉินมั่วฉือพร้อมกับรอยยิ้ม

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันสั่งการให้ครัวหลวงทำขนมอัมบอนมาถวาย ยังร้อนๆ อยู่เลย ลองเสวยสักนิดนะเพคะ”

 

 

เฉินมั่วฉืออารมณ์มิสู้ดีเท่าไหร่นัก เขาชี้ไปที่โต๊ะเอ่ยว่า

 

 

“วางเอาไว้เถอะ ข้ายังไม่อยากกิน”

 

 

หลินฮองเฮายกขนมอัมบอนวางลงบนโต๊ะแล้วค่อยเดินตรงเข้ามาหาเฉินมั่วฉือ เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเฉินมั่วฉือแลดูอึดอัดเบื่อหน่ายจึงเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

 

 

“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไปเพคะ? ให้หม่อมฉันนวดถวายดีหรือไม่เพคะ”

 

 

“ไม่ต้อง หากฮองเฮาไม่มีเรื่องอะไรก็ถอยออกไปก่อนเถอะ แล้วต่อไปหากเจ้าไม่มีธุระก็ไม่ต้องมาที่วังกานเฉวียนนี่ อีก ข้าจะไปหาเจ้าที่ตำหนักจาวหยางเอง”

 

 

เฉินมั่วฉือกล่าวขึ้นเรียบๆ แม้ว่าในเวลานี้เขาจะอยู่ในสภาวอารมณ์ที่มิสู้ดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ต้องการพูดให้ใครได้ฟัง

 

 

พูดให้ถูกต้องก็คือ เขามิได้เพิ่งจะอารมณ์ไม่ดีในตอนนี้ แต่นับตั้งแต่หลิงอวี้จื้อจากไป เขาก็อารมณ์ขุ่นมัวมาโดยตลอด รู้สึกไม่สบอารมณ์ว้าวุ่นใจตลอดเวลา ทำให้เขาต้องการที่จะอยู่คนเดียวเพียงลำพังหากว่าไม่มีเรื่องอะไร

 

 

แต่หลินฮองเฮากลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย นางจะต้องมาส่งสำรับให้กับเขาทุกวัน รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องเผชิญกับเขาที่อารมณ์มิสู้ดีหน้าตาไม่รับแขก แต่นางก็ยังคงมาทุกวันไม่เลิกรา นางคือฮองเฮา เฉินมั่วฉือจึงจะต้องไว้หน้านางอยู่วันยังค่ำ ทว่าวันนี้เฉินมั่วฉือหมดความอดทนเสียแล้ว

 

 

ซึ่งหลินฮองเฮาก็รู้สึกน้อยอกน้อยใจอยู่ไม่น้อย นางไม่รู้ว่าตนเองยังสามารถทำอะไรได้อีกเพื่อให้เขาพอใจ

 

 

‘ทั้งๆ ที่นางทำทุกวิถีทางคอยเอาอกเอาใจเฉินมั่วฉือทุกอย่าง แต่เพราะอะไรเขากลับมีท่าทางทีรำคาญใจมากยิ่งขึ้น ในฐานะที่เป็นฮองเฮา ไม่เคยกระทำความผิดใดๆ ทั้งยังทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีเพื่อเขา นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต้องการความรักใคร่จากสามี แต่เพราะอะไรถึงได้ยากเย็นถึงเพียงนี้?’

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์ด้วยใจจริงนะเพคะ”

 

 

หลินฮองเฮาสีหน้าหม่นหม่อง นางถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

 

 

“นางดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”

 

 

“ไม่ใช่ว่านางดีสักเพียงใด แต่ข้าชอบนางมากเพียงใดต่างหาก ฮองเฮา เจ้าอย่าฝืนตัวเองอีกเลย”

 

 

“หม่อมฉันคือภรรยาที่เข้าพิธีไหว้ฟ้าดินกับพระองค์นะเพคะ นับตั้งแต่แต่งงานกันมา ฝ่าบาทมิทรงเคยเรียกขานชื่อของหม่อมฉันเลยสักครั้ง ทรงเอาแต่เรียก ‘ฮองเฮา’ ฝ่าบาททรงรู้ชื่อจริงของหม่อมฉันหรือไม่เพคะ?”

 

 

หลินฮองเฮาเจ็บปวดร้าวราน สีหน้าเศร้าหมองลงเรื่อยๆ

 

 

“หลินชืออวี่ อย่าทดสอบความอดทนของข้า ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าเป็นฮองเฮาที่เหมาะสม อย่ากระทำอย่างผู้หญิงเหล่านั้นที่ไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี เพราะเจ้าคงต้องสูญสิ้นฐานะฮองเฮาที่มีอยู่ในตอนนี้ไป”

 

 

“คืนที่หม่อมฉันเข้าพิธีแต่งงานกับฝ่าบาทเคยทูลนามจริงของหม่อมฉันให้กับพระองค์ได้ทรงทราบ เกรงว่าฝ่าบาทคงจะลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว ครอบครัวคนใกล้ชิดรอบกายที่สนิทสนมคุ้นเคยกับหม่อมฉันล้วนแต่เรียกขานหม่อมฉันด้วยชื่อเล่นทั้งสิ้น หม่อมฉันคือฮองเอาก็จริง แต่ก็เป็นผู้หญิงของฝ่าบาทด้วยนะเพคะ”

 

 

หลินฮองเฮาในวันนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ซึ่งเฉินมั่วฉือเองก็ไม่รู้ว่านางเป็นอะไรไป

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 679 ข้าไม่สนใจ

 

 

แต่เขาก็ไม่มีเวลาที่จะไปสนใจในสิ่งที่หลินฮองเฮาคิดอยู่ในตอนนี้ เพราะฮองเฮาคนนี้เขามิได้เป็นผู้เลือกเอง มู่หรงกวานเย่ว์ต่างหากที่ยัดเยียดนางให้กับเขา

 

 

เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหลินฮองเฮาเคยเอ่ยถึงนามของตนในคืนวันแต่งงาน คืนนั้นเขาคิดแต่ว่าจะทำทุกอย่างให้มันจบๆ ไป มิได้ให้ความสำคัญเลยแม้แต่น้อย

 

 

“เจ้าขึ้นเป็นฮองเฮาของข้าได้อย่างไร เจ้าเองก็รู้ดี เจ้าไม่มีทางเลือก ข้าก็เช่นกัน อย่าโทษที่ข้าเย็นชากับเจ้า แต่ข้าก็ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีมิเคยขาดตกบกพร่อง แต่หากเจ้าต้องการมากกว่านั้นรังแต่จะสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็นเท่านั้น”

 

 

หลินฮองเฮาสีหน้าย่ำแย่ลงกว่าเดิมหลายเท่า นึกไม่ถึงเลยว่าเฉินมั่วฉือไม่เพียงไม่ซาบซึ้ง ตรงกันข้ามกับเอ่ยกับนางอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นางรู้ดีว่าการที่นางขึ้นเป็นฮองเฮามิใช่ความต้องการของเฉินมั่วฉือ แต่นางและเขาก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว นางจึงหวังว่าเฉินมั่วฉือจะลองเปิดใจให้กับนางบ้าง เฉกเช่นเดียวกันกับนาง ที่หลงรักเฉินมั่วฉือในที่สุด

 

 

“ฝ่าบาทจะทรงลองเปิดพระทัยศึกษาหม่อมฉันบ้างมิได้เลยหรือเพคะ?”

 

 

วันนี้หลินฮองเฮาปลดระวางขนบธรรมเนียนต่างๆ ลงจนสิ้น นางอยากที่จะไขว่คว้าโอกาสให้กับตนเองสักครั้ง โอกาสที่จะทำให้ผู้เป็นสามีได้เริ่มต้นทำความรู้จักนางใหม่อีกครั้ง

 

 

“ข้าไม่สนใจ”

 

 

เพียงประโยคเดียวของเฉินมั่วฉือทำให้หลินฮองเฮารู้สึกราวกับจมดิ่งไปในอุโมงค์น้ำแข็ง นางรู้สึกอึดอัดคับแค้นใจเหลือเกิน สิ่งที่กระทำลงไปทั้งหมดในวันนี้นางหาเรื่องดูหมิ่นตนเองทั้งสิ้นสินะ

 

 

นั่นทำให้นางรู้สึกทั้งอิจฉาและเกลียดชังหลินอวี้จื้อขึ้นมาพร้อมๆ กัน หลินอวี้จื้อไม่เพียงแต่ชิงหัวใจสามีของนางไปเท่านั้น ยังทำให้สามีของนางจดจำเจ้าหล่อนจนขึ้นใจ

 

 

“เจ้ากลับไปเถอะ!”

 

 

“หม่อมฉันทูลลา”

 

 

หลินฮองเฮาทำความเคารพอย่างยากลำบาก นางสะกดกลั้นความเจ็บปวดร้าวรานใจเอาไว้ หลังจากทำความเคารพแล้วเสร็จ นางก็รีบสาวเท้าออกจากวังกานเฉวียนทันที เมื่อก้าวเท้าออกมาได้ ดวงตาของพระนางก็ร้อนผ่าว

 

 

‘ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้นางชอกช้ำใจเพียงใด? ’

 

 

“ฮองเฮา สนมหยวนไปจากที่นี่แล้ว พระองค์ไม่จำเป็นต้องใส่พระทัยให้มากหรอกเพคะ”

 

 

ไห่ถังประคองหลินฮองเฮา พร้อมกับเอ่ยปากเตือนสติ

 

 

“นางจากไปหรืออยู่ที่นี่มันจะแตกต่างอะไรกัน ในเมื่อในพระทัยของฝ่าบาทมีแต่นาง”

 

 

สีหน้าของหลินฮองเฮาขมขื่นเป็นอย่างมาก

 

 

“หากนางเป็นคนอื่นก็ยังดี แต่นี่จำเพาะต้องเป็นผู้หญิงของเซียวเหยี่ยน ตราบใดที่มีนางอยู่ เกรงว่าซีเว่ยคงยากจะสงบสุข”

 

 

หลินฮองเฮาเอ่ยไปก็หน้านิ่วคิ้วขมวด นางเป็นห่วงเหลือเกินว่าเฉินมั่วฉือจะเกิดเรื่อง หากซีเว่ยต้องจบสิ้น เฉินมั่วฉือย่อมมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ นางเองที่เป็นฮองเฮาคงยากที่จะหลีกหนีจากความตายได้พ้น

 

 

แม้ว่านางจะไม่เกรงกลัวหากจะต้องตายพร้อมกันกับเฉินมั่วฉือ แต่นางก็ไม่อยากทำให้สกุลหลินเดือดร้อนไปด้วย ทั้งยังไม่ต้องการอยากเห็นเฉินมั่วฉือต้องตายอย่างอนาถ นางจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเฉินมั่วฉือ มิเช่นนั้นหัวใจของนางคงจะไม่มีทางสงบได้

 

 

“เหนียงเนียง ทรงเป็นอะไรไปเพคะ?”

 

 

เมื่อเห็นหลินฮองเฮาแสดงอาการเหม่อลอย ไห่ถังจึงแตะมือของพระนางเบาๆ นางเป็นห่วงฮองเฮาจริงๆ นับตั้งแต่สนมหยวนไปจากวังหลวง ฮองเฮามิทรงเคยบรรทมหลับเลยสักคืน ทรงมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอยู่ในพระทัยตลอดเวลา

 

 

“ไปตำหนักฉางเล่อ!”

 

 

หลินฮองเฮาได้สติกลับมา พระนางมิได้กลับตำหนักจาวหยางแต่กลับมุ่งหน้าตำหนักฉางเล่อแทน

 

 

ไห่ถังรู้ดีว่าฮองเฮาทรงมีเรื่องที่จะต้องปรึกษาหารือกับไทเฮา ดังนั้นจึงมิได้ถามให้มากความ ประคองฮองเฮามุ่งหน้าตำหนักฉางเล่อทันที

 

 

ส่วนเซียวเหยี่ยนและหลิงอวี้จื้อที่เดินทางออกจากเมืองเล็กๆ นั้นก็มุ่งหน้ากลับเมืองอวิ๋นทันทีเช่นกัน ซึ่งคณะของพวกเขาได้มีการปลอมตัว บวกกับตั้งใจใช้เส้นทางเล็กแทนเส้นทางหลัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความวุ่นวายใดๆ ระหว่างทาง เพียงแต่การที่รีบเร่งเดินทางทำให้บาดแผลของเซียวเหยี่ยนย่ำแย่ลงมากทีเดียว

 

 

ซึ่งเซียวเหยี่ยนเองก็อดทนอดกลั้นมาตลอดทาง ดังนั้นมองจากภายนอกจึงมองไม่เห็นความผิดปกติแต่อย่างใด จนกระทั่งเดินทางถึงเมืองอวิ๋น เซียวเหยี่ยนก็ฝืนทนต่อไปไม่ไหวจนล้มลงหมดสติไป และเพราะตลอดเวลาที่เดินทางกลับมาเซียวเหยี่ยนไม่ยินยอมให้หลินอวี้จื้อแตะต้องบาดแผลของเขาเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ขององค์รักษ์ลับของเขาทั้งสิ้น

 

 

เดิมทีหลินอวี้จื้อยังคิดว่าเซียวเหยี่ยนรังเกียจว่านางทำแผลไม่เป็น ซึ่งองค์รักษ์ของเขาก็ทำแผลให้เขาด้วยความชำนาญ ทว่าหลังจากที่เห็นบาดแผลของเขาแล้ว หลิงอวี้จื้อก็เข้าใจเจตนาของเขาทันที เขาไม่ต้องการให้นางเป็นกังวลนั่นเอง