ตอนที่ 777-778

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.777 – เหตุ ณ หุบเขา
  แม้เฉาหลี่จะมาจากตระกูลรองนางก็มีฐานพลังที่เหนือกว่านายน้อยคนปัจจุบันของตระกูลอย่างเฉาหลิงเจี้ยน นางเหลือบมองซือหยู
  นางเก็บซากกระต่ายอสูรในแหวนมิติและหันไปหาซือถูหยาง
  “ระวังไว้ก็ดีลูกดอกไร้ดวงตา ข้าจะไม่รับผิดชอบหากมันไม่โดนเจ้า”
  ซือถูหยางด้านหลังซือหยูโผล่หน้าออกมาแลบลิ้นใส่เฉาหลี่
  ซือหยูถามอย่างใจเย็น
  “เจ้าลืมคำเตือนของข้าแล้วรึ?”
  เฉาหลี่สีหน้าเย็นชาลงเมื่อได้ยินคำขู่อีกครั้ง
  “เจ้าอยู่อย่างนี้ได้อีกไม่นานหรอก…ข้าอยากจะเห็นเจ้ามีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่จริงๆ!”
  นางพูดจบและหันจากไปอย่างสง่างาม
  ซือถูหยางโมโหเล็กน้อย
  “พี่ซือต้องสั่งสอนนางถ้านางเสนอหน้ามาอีก!”
  ซือหยูส่ายหน้า
  “ไปเถอะถ้านางกล้าทำอะไรพวกเรา ข้าจะทำให้นางต้องเสียใจ”
  หลังซือหยูพูดจบเขาก็รุดหน้าเดินทางต่อไป สัตว์อสูรระดับต่ำที่พบตลอดทางถูกสังหารโดยหญิงสาวทั้งสอง เพราะซือหยูไม่ได้สนใจพวกมันนัก
  เป้าหมายของเขาคือสัตว์อสูรที่ระดับสูงกว่าเขารู้ว่าเขาจะต้องล่าสัตว์อสูรระดับสูงให้ได้มากที่สุด
  โฮก!
  เสียงคำรามดังจนผืนหญ้าสั่นสะเทือนซือถูหยางกับหยวนหยิงหยิงเอามือปิดหู
  “สัตว์อสูรภูติระดับสอง…สิงห์คำราม!”
  ซือถูหยางดีใจ
  นางดีใจเพราะว่านางจะผ่านการทดสอบไปถึงรอบถัดไปถ้านางสังหารสิงค์คำรามได้!แต่มันจะนับก็ต่อเมื่อนางเป็นคนสังหารเท่านั้น ถ้านางให้ซือหยูช่วยแม้แต่นิดเดียว มันจะนับว่าเป็นการโกง นางจะถูกคัดทิ้ง
  ส่วนวิธีที่จะแน่ใจว่าผู้สอบสังหารเองหรือไม่นั้นตำหนักโลหิตมีวิธีการนับไม่ถ้วนในการค้นหาความจริง ดังนั้นจึงไม่มีตระกูลใดเคยผ่านการสอบด้วยการโกงได้
  ซือหยูเพียงแค่ต้องทำหน้าที่ปกป้องนางไม่ให้ตายขณะที่นางต่อสู้กับสัตว์อสูรเขารู้อยู่แล้วว่ามิอาจช่วยนางสังหารสัตว์อสูรได้ตรงๆ
  ในตอนนั้นเองมีสามคนพุ่งเข้ามา พวกเขาอยู่ตรงทางเข้าหุบเขาร้อยสัตว์อสูร ตรงนั้นมีสัตว์อสูรราวแปดตัวกำลังต่อสู้กับกลุ่มคนอยู่
  “นั่นพวกตระกูลถังเป็นตระกูลลำดับเก้า…”
  ซือถูหยางกล่าวขณะทำหน้ามุ่ยนางไม่พอใจเล็กน้อยที่มีคนมาถึงก่อนนาง
  สิงห์คำรามเป็นสัตว์อสูรตัวเดียวที่เป็นภูติระดับสองท่ามกลางสัตว์อสูรทั้งแปดมีเด็กสาวตระกูลถังคนหนึ่งพยายามสังหารสิงห์คำราม มันแข็งแกร่งกว่านางไปหนึ่งระดับ ด้วยความแตกต่างในพลังนี้เองที่ทำให้นางทะลวงแม้แต่ขนของมันไม่ได้ และแก้วหูของนางยังฉีกเพราะเสียงคำรามไปอีก!
  “อ๊าาา!”
  นางกรีดร้องอย่างน่าเวทนาและทำกระบี่หลุดมือนางไม่คิดจะต่อสู้อีกแล้ว
  สิงห์คำรามไม่รอให้นางมีโอกาสฟื้นตัวมันกระโจนตะปบใส่ท้องหญิงสาว กรงเล็บของมันคมราวกับมีดและสามารถฉีกนางเป็นชิ้นๆได้อย่างง่ายดาย
  “น้องแปด!”
  หนึ่งในยอดฝีมือจากตระกูลที่เพิ่งจะมาช่วยนางนั้นเป็นภูติระดับสามนางฟันกรงเล็บของสิงห์คำรามดว้ยกระบี่ทันทีหลังจากที่เห็นว่าสาวน้อยมิอาจรับมือได้
  แกร๊ง!
  สะเก็ดไฟปะทุเมื่อกระบี่ปะทะกับกรงเล็บเขาทำได้แค่ฟันผ่านขนของมันเพียงเล็กน้อย สิงห์คำรามคำรามเสียงดังด้วยความเจ็บปวดและดุร้ายยิ่งกว่าเดิม มันตะปบไปที่ท้องของหญิงสาวเป็นสองส่วน!
  “อ๊า!น้องแปด!”
  ชายหนุ่มโกรธเกรี้ยวเขาตะโกนและฟันกระบี่เริ่มสู้
  หลังจากต่อสู้กับสิงห์คำรามไปหลายสิบกระบี่เขาก็พบจุดอ่อนของมัน เขาแทงกระบี่ไปที่ดวงตาและสังหารมันได้
  ฐานพลังของเขาสูงว่าสิงห์คำรามแต่ก็ต้องใช้เวลามากในการสังหารหลังจากสู้จบ เขาก็ได้แต่มองน้องแปดที่หมดลมหายใจไปอย่างสิ้นหวัง
  น้องแปดอยากจะสังหารมันให้ผ่านการทดสอบในคราเดียวนางจึงขอให้เขาปกป้องและนางลองต่อสู้ นางไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ปกป้องนางจะช่วยชีวิตนางจากกรงเล็บสัตว์อสูรไม่ได้
  น่าเศร้าที่นางถูกฉีกเป็นชิ้นๆจากสัตว์อสูรที่โหดเหี้ยมที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือชายหนุ่มนั้นเป็นภูติระดับสาม ดังนั้นการสังหารสัตว์อสูรระดับสองจึงไร้ความหมายสำหรับเขา
  หลังจากเหตุการณ์โหดร้ายจิตวิญญาณนักสู้ของทั้งตระกูลนั้นอ่อนลงไปอย่างมาก พวกเขาจมอยู่ในความเศร้า พวกเขามิอาจสลัดภาพน้องแปดที่ตายอย่างน่าสงสารออกจากสมองไปได้
  สภาพที่คล้ายกันได้เกิดขึ้นในทุกมุมของป่าขังภูติแค่พลาดครั้งเดียวก็มากพอแล้วสำหรับความตาย ไม่ว่าจะตายด้วยกรงเล็บหรือวิธีการที่โหดร้ายแบบอื่น
  ซือหยูกับหญิงสาวอีกสองคนเพียงแค่เดินผ่านเข้าไปยังหุบเขาเหล่าหนุ่มสาวตระกูลซือถูก็อยู่ไม่ไกลนัก พวกเขาสังหารสัตว์อสูรหลายตัวและตามมาติดๆ
  หุบเขาร้อยสัตว์อสูรนั้นกว้างใหญ่อย่างมากมันตั้งอยู่ในหลุมใหญ่ที่เกิดจากอุกกาบาต อุกกาบาตที่เคยตกลงมานั้นมีแร่ธาตุล้ำค่าจากนอกโลกอยู่มากมาย สมุนไพรวิญญาณจึงได้เติบโตงดงามที่นี่
  เมื่อวันเวลาผ่านพ้นสัตว์อสูรมากมายได้ถูกพื้นที่แห่งนี้ดึงดูด พวกมันเข้ามายึดครองที่นี่เอาไว้ มันจึงเป็นที่รู้จักในนามหุบเขาร้อยสัตว์อสูร
  หุบเขาแบ่งเป็นส่วนนอกกลาง และใน มักจะมีสัตว์อสูรระดับสองหรือสามในส่วนนอก ส่วนกลางจะถูกสัตว์อสูรภูติระดับสี่เข้ายึด
  และส่วนในมันคือพื้นที่อันตรายสุดขั้วที่ถูกสัตว์อสูรภูติระดับห้ายึดครองไว้ ว่ากันว่ามีสัตว์อสูรภูติระดับหกปรากฏตัวออกมาแล้วด้วย! ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป และใครก็ตามที่เข้าไปก็ล้วนตายอยู่ในนั้น
  ซือหยูจมอยู่ในควมคิดหลังจากได้ยินเรื่องของส่วนพื้นที่ต่างๆถ้าเป็นเขาเอง เขาก็สบายใจได้แม้จะเป็นส่วนในก็ตาม แต่ตอนนี้เขามีหยวนหยิงหยิงกับซือถูหยางมาด้วย เขาจะต้องระวังในทุกย่างก้าว
  เพราะเขาได้เห็นความตายอย่างน่าเวทนาของหญิงสาวตระกูงถังมาแล้วร่างกายของสัตว์อสูรนั้นแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ นั่นหมายความว่าพลังต่อสู้ก็สูงกว่า ประมาทครั้งเดียวอาจหมายถึงหนึ่งชีวิต
  ขณะที่เขากำลังคิดกลุ่มของพวกเขาก็ก้าวเข้าไปยังพื้นที่ส่วนนอก พวกเขาเห็นร่องรอยของตระกูลก่อนหน้า เสียงสัตว์อสูรคำรามดังก้องไม่หยุดพร้อมกับเสียงตะโกนของมนุษย์
  “พี่ซือล่าที่นี่แหละ!”
  ซือถูหยางตะโกนนางอยากจะลองเต็มแก่
  ซือหยูพยักหน้าสัตว์อสูรที่นี่เหมาะกับพวกนาง ถ้าหากเจอกับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเกินไปสำหรับพวกนาง เขาก็สังหารได้ง่ายๆ
  “โอ้!นั่นหมาป่าอสูร!”
  ซือถูหยางร้อง
  พวกเห็นหมาป่ามีเขากำลังบินออกมาจากพื้นที่หุบเขาส่วนนอกหมาป่าเหล่านั้นดูเหมือนจะตื่นตระหนกกับอะไรสักอย่าง
  เมื่อพวกมันเห็นซือหยูกับสาวน้อยอีกสองคนที่อยู่กลางทางพวกมันก็กระโจรเข้าใส่อย่างดุร้าย หมาป่าอสูรนั้นเป็นสัตว์อสูรภูติระดับสอง ถ้าหวกพวกเขาสังหารมันสำเร็จ พวกเขาก็จะผ่านการทดสอบ!
  “ข้าสู้กับตัวกลางเอง!”
  ซือถูหยางตาเป็นประกายนางพูดด้วยความตื่นเต้น นางหยิบค่ายกลออกมาจากกระเป๋าวางไว้บนพื้น
  ซือหยูเลิกคิ้ว…ค่ายกลรึ?ค่ายกลสีขาวของนางรายล้อมด้วยวงแสงสีขาว มีเสียงดังปะทุออกมาพร้อมกับสายฟ้า มันซัดเข้าใส่หมาป่าอสูร
  หมาป่าอสูรชาไปทั้งร่างแต่นั่นก็ยิ่งทำให้มันดุร้ายขึ้นไปอีก มันร้องคำรามกระโจนเข้าใส่นาง ความกลัวได้ปรากฏบนใบหน้าซือหยูหยางในทันที แต่นางก็กัดฟันฝืนใจเย็นและหยิบเอาค่ายกลออกมาอีก นางดันไปข้างหน้า
  ค่ายกลโลหิตเปล่งงแสงจ้ามันปล่อยเพลิงใส่หมาป่าอสูร หมาป่าอสูรร้องด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของมันสะท้อนกับแสงไฟเมื่อมันใช้พลังทั้งหมดอัดลงในขาและพุ่งไปข้างหน้า
  ทั้งคู่ห่างกันเพียงร้อยศอกแต่ซือถูหยางก็หยิบเอาค่ายกลออกมาอีกสองชิ้น เป็นสีเงินและน้ำเงิน นางซัดมันลงไปที่พื้นตรงหน้า พวกมันจัดเรียงกันเป็นเส้นตรง
  ในตอนนั้นเองค่ายกลทุกชนิดทั้งสี่สีก็ได้จู่โจมพร้อมกัน สีขาวแทนไฟฟ้า สีเงินเป็นสายฟ้าฟาด ส่วนสีแดงคือเพลิง สีน้ำเงินคือวายุ
  ทั้งสี่มีพลังจากธรรมชาติกล่าวคือดินน้ำ ลม ไฟ และสายฟ้า แต่พวกมันค่อนข้างอ่อนแอ มันมีผลกับภูติระดับหนึ่งเท่านั้น มันอ่อนแอเกินไปที่จะจัดการกับหมาป่าอสูร!
  แต่เมื่อทั้งสี่ค่ายกลจู่โจมไม่หยุดความร้อน ความชาจากสายฟ้า ทำให้หมาป่าอสูรหอนด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหันหนีไป ซือถูหยางดีใจมาก นางหยิบเอาค่ายกลออกมาอีกชิ้นและซัดลงไปบนพื้น
  ครืน!
  เสาโคลนสามสิบศอกพวยพุ่งมาจากพื้นดินที่ใต้เท้าของหมาป่ามันก่อตัวเป็นกรงขังหมาป่าไว้ข้างใน
  แม้หมาป่าอสูรจะพยายามหนีสิ่งที่พยายามก็สูญเปล่า มันร้องโหยหวนไม่หยุดเมื่อถูกกักขังในกรงโคลน ในตอนนั้น ค่ายกลจู่โจมอื่นๆก็ยังโจมตีใส่มันอยู่ สุดท้ายมันก็ถูกทรมานจนตาย
  “ฮ่าๆๆๆค่ายกลสี่ทิศของข้าทำสำเร็จแล้ว!”
  ซือถูหยางใช้มือเท้าเอวและหัวเราะเสียงดัง
  ความริษยาความดื้อดึง ปรากฏบนใบหน้าหยวนหยิงหยิง
  “เจ้าเป็นผู้ใช้ค่ายกลงั้นรึ?ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าลงทุนมากขนาดนี้เพื่อที่จะเข้าตำหนักโลหิต!”
  ผู้ใช้ค่ายกล?ซือหยูสงสัยเมื่อได้ฟัง…ซือถูหยางมีพรสวรรค์แบบนี้ซ่อนเอาไว้อยู่รึ?
  ซือถูหยางแอ่นอกเล็กๆของนางและเชิดคอขึ้น
  “ใช่แล้ว!ถ้าหากค่ายกลสี่ทิศของข้าสำเร็จ นั่นก็หมายความว่าข้าได้เป็นผู้ใช้ค่ายกลชั้นต้นแล้ว ข้าจะได้
  ฝึกฝนอย่างดีในตำหนักโลหิตแน่!”
  หยวนหยิงหยิงหน้ามุ่ยและจ้องมองหมาป่าอสูรที่พุ่งเข้าใส่นางอย่างดุดันหมาป่าอสูรนั้นดวงตาหมดแสงไปก่อนที่จะได้หอนแม้สักครั้ง มันล้มลงไปกองกับพื้น
  ซือถูหยางตกใจจนเข่าอ่อนเมื่อได้เห็น
  “เจ้าใช้วิชาอะไร?กึ่งภูติอย่างเจ้าเอาชนะสัตว์อสูรภูติระดับสองได้ง่ายๆแบบนี้เลยรึ?”
  นางไม่อยากจะเชื่อเลย!
  หยวนหยิงหยิงแอ่นอกอวบอิ่มอย่างภาคภูมิและกล่าวอย่างพอใจ
  “พี่ซือสอนวิชานี้กับข้าข้าฆ่าได้แม้กระทั่งภูติระดับสาม นี่ก็แค่ภูติระดับสอง!”
  ซือถูหยางเบิกตากว้างนางตาเป็นประกายเมื่อมองซือหยูอย่างหลงใหล นางเข้าไปกอดแขนซือหยูและรีบพูด
  “พี่ซือข้าก็อยากเรียนวิชานี้!”
  หยวนหยิงหยิงเสียใจที่คำพูดของนางทำให้ซือถูหยางได้กอดแขนซือหยูอย่างแนบชิดนางหงุดหงิดจนห่อไหล่ลง
  “นี่เจ้า!นังคนไร้ยางอาย! ปล่อยพี่ซือนะ! เขาไม่ได้สนิทกับเจ้าด้วยซ้ำ เขาจะสอนให้เจ้าทำไม?”
  ซือถูหยางจ้องมองนางด้วยตาโตและโต้เถียง
  “ข้าถามพี่ซือไม่ใช่เจ้า”
  หยวนหยิงหยิงไม่พอใจกับคำตอบของนางนางจึงกอดแขนอีกข้างของซือหยูและจ้องกลับ ในตอนนั้น ซือหยูเริ่มมีริ้วรอยบนหน้าผาก
  สองสาวนี่พร้อมจะฟาดฟันกันทุกเมื่อ!แต่ถึงอยากจะสู้ พวกนางก็ต้องกังวลถึงสถานที่ ณ ตอนนี้ มันคงจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่งหากต้องสู้กัน
  ซือหยูตกใจขึ้นมาทันทีเมื่อมองลงไปในส่วนลึกของหุบเขาสาวน้อยทั้งสองเห็นสีหน้าซือหยูที่เปลี่ยนไปจึงหยุดต่อล้อต่อเถียงกัน
  เมื่อทั้งสามใจเย็นลงก็พบว่าพื้นที่ยืนสั่นเบาๆทรายบนพื้นเริ่มก่อตัวกลายเป็นคลื่น แรงกดดันมหาศาลไหลออกมาจากส่วนลึกของหุบเขา
  ความหวาดกลัวปรากฏในแววตาหมาป่าอสูรที่เหลือพวกมันรีบวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง เหล่าแมลงจากใต้ดินก็ผุดขึ้นมาและบินหนีออกไป พวกมันแตกตื่นและหวาดกลัวมาก
  “เกิดอะไรขึ้น?”
  ซือถูหยางกับหยวนหยิงหยิงถามพร้อมกันพวกนางจับมือซือหยูอย่างเป็นกังวล
  ซือหยูแววตาหม่นหมองเขาส่ายหน้า
  “ข้าไม่รู้แต่เราต้องรีบหนีออกไปเดี๋ยวนี้”
  ฟึ่บ!ฟึ่บ!
  เมื่อทั้งสามรีบถอยก็ได้เห็นคนจำนวนมากพุ่งออกมาจากส่วนลึกของหุบเดขาพวกเขาสาวนใหญ่คือคนในตระกูลที่ลำดับสูงสุด
  ใบหน้าพวกเขาซีดเหมือนคนตายพวกเขารีบหนีออกมายังส่วนนอกของหุบเขา พวกเขาถึงกับใช้สมบัติวิเศษในการเพิ่มความเร็วเพื่อหนีให้พ้น
DND.778 – ฝูงสัตว์คลั่ง
  หลังจากประเมินจำนวนคนคร่าวๆซือหยูบอกได้ว่ามีคนหลายร้อยคนอยู่แถวนี้ มันเป็นจำนวนที่ค่อนข้างเยอะทีเดียว
  สุดท้ายซือหยูก็มองเห็นกลุ่มสัตว์อสูรในหุบเขาบ้างเป็นวิหคที่บินบดบังฟ้า มันดูเหมือนกระแสวารีเชี่ยวกราก
  “ฝูงสัตว์อสูร…”
  ซือถูหยางสั่นไปทั้งตัว
  หยวนหยิงหยิงเบิกตากว้างมือเล็กๆของนางสั่นด้วยความหวาดกลัว ฝูงสัตว์อสูรเคยถูกบันทึกว่าเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ มีบันทึกมากมายในจิวโจวที่เคยมีรายละเอียดว่าเมืองหรือสำนักใหญ่ได้ถูกทำลายเพราะฝูงสัตว์อสูรมหาศาลเช่นนี้
  ป่าขังภูตินั้นเป็นต้นเหตุส่วนใหญ่ของฝูงสัตว์อสูรเก้าในสิบของฝูงสัตว์อสูรนั้นมาจากป่าขังภูติ
  ฝูงสัตว์อสูรนั้นน่ากลัวเป็นอย่างมากไม่ว่ายอดฝีมือจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาผู้นั้นก็มิอาจเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรจำนวนมหาศาลได้เมื่อถูกล้อม พวกเขาไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูก! มนุษย์ที่รอดมาจากฝูงสัตว์อสูรได้นั้นยอมแลกทุกอย่างเพื่อหนี
  ซือหยูสีหน้าหม่นหมองเพราะต่อให้เป็นจ้าวเทวะก็มิอาจหนีพ้น เขาส่ายหน้าและถอนหายใจ
  “รีบหนีกันเถอะ”
  ซือหยูไม่ไตร่ตรองอีกก่อนจะจับเอวของหญิงสาวทั้งสองและหันหนี
  เขาข้ามระยะพันลี้ในพริบตาแต่เมื่อมองไปด้านหลังก็พบว่าพวกเขาไม่ได้ทิ้งระยะห่างจากฝูงสัตว์อสูรเลย แต่พวกมันยังใกล้เข้ามาอีก!
  “อ๊ากกก!”
  เสียงคนกรีดร้องดังก้องไปทั่วป่าคนที่บินบนท้องฟ้าถูกวิหคจิกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ
  แม้แต่คนที่วิ่งหนีบนพื้นก็มิอาจหนีจากสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งได้สัตว์อสูรแต่ละตัวนั้นมีการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วยากจะหนี
  “ย๊ากก!เป็นไงเป็นกัน”
  ภูติระดับสามคนหนึ่งที่หนีไม่พ้นอีกแล้วหันไปสู้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูร
  มือแต่ละข้างถือกระบี่เขาอัดพลังลงในกระบี่ทั้งสองและเริ่มต่อสู้ฟาดฟัน สายโลหิตพุ่งหลายสายเมื่อเขาสังหารสัตว์อสูรที่พุ่งเข้าใส่
  แต่ก็มีพวกสัตว์อสูรที่อยู่ด้านหลังอีกพวกมันบ้าคลั่งและรีบล้อมเขาอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้น เสียงกรีดร้องของมนุษย์ก็ดังขึ้นพร้อมกับเงียบลงไปในไม่นาน
  เสียงกรีดร้องของมนุษย์โดยรอบยังคงดังต่อไปตามๆกันเมื่อมีคนถูกสัตว์อสูรเหยียบฝังก็จะมีอีกคนตามมาอีก เมื่อครู่ก่อนมีคนมากกว่าร้อยคนที่นี่ แต่ตอนนี้เหลือคนที่มีชีวิตเพียงสี่สิบคน พวกเขากำลังจะถูกสัตว์อสูรเข้าปกคลุม
  สัตว์อสูรจำนวนมากเข้าใกล้ซือหยูยากที่เขาจะหนีได้แม้จะมีคนเดียว แต่ตอนนี้มีอีกสองคนที่เขาต้องปกป้อง!
  “พี่ซือทิ้งข้าไปเถอะข้าจะหนีเอง”
  หยวนหยิงหยิงขบริมฝีปากน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงซือหยู
  “เอาซือถูหยางไปด้วยก็พอพี่จะได้มีหวังรอดมากกว่า”
  ซือถูหยางหน้าซีดเมื่อได้ฟังนางกัดฟัน
  “พี่ซือทิ้งข้าไว้ด้วยนะเรื่องฝูงสัตว์อสูรเป็นสิ่งที่พวกเราไม่คาดคิด ท่านแม่ไม่โทษพี่หรอกถ้าข้าตาย”
  ทั้งสองรู้ว่าตนเองเป็นตัวถ่วงซือหยูในตอนนี้
  ซือหยูสีหน้าหม่นหมองในทีแรก เขาตั้งใจจะรอโดยไม่ทำอะไร แต่ก็มีเสียงแหลมร้องดังไปทั่วท้องฟ้า มันทำให้ร่างกายของเหล่าเด็กมากพรสวรรค์ที่กำลังหนีกระตุก พลังชีวิตที่ไหลเวียนของพวกเขาหยุดลง
  ทุกคนที่หนีทางพื้นล้มลงจากนั้นก็ถูกห่าสัตว์อสูรกระทืบจนตาย ชะตาของคนที่บินนั้นแย่ยิ่งกว่า เมื่อไร้ซึ่งพลัง พวกเขาตกลงมาจากฟ้าตายเป็นก้อนเนื้อที่ถูกเหล่าวิหครุมกัดกัน
  ในพริบตาเดียวเหล่าผู้มีพรสวรรค์ส่วนมากก็ตายอย่างสยดสยอง คนที่โชคดียังรอดก็มิอาจหนีพ้นเมื่อพลังชีวิตมิอาจไหลเวียน พวกเขาตายไปแล้วเช่นกัน
  พลังชีวิตของซือหยูเองก็ไม่ต่างกันแต่โชคดีที่เขาบินต่ำ เขาจึงปลอดภัยหลังจากร่อนลงพื้นกับหญิงสาวทั้งสองที่อยู่ในวงแขน แต่ทั้งสามมิอาจใช้พลังได้อีกแล้ว พวกเขาราวกับมดที่อ่อนแอ นี่คือสถานการณ์ที่อันตรายมาก!
  ซือหยูใจหายเมื่อมองสายพลังของตัวเองเพราะมันไม่ใช่พลังชีวิตที่แข็งตัวจนไหลเวียนไม่ได้ แต่เป็นจุดกำเนิดพลัง!
  สายธารพลังในจุดกำเนิดพลังส่วนนอกของเขาแน่นิ่งราวกับถูกน้ำแข็งแช่แต่ก็ยังดีที่จุดกำเนิดพลังภายในยังปลอดภัยดี
  เขาใช้พลังนั้นทันทีเขาพลิกฝ่ามือเรียกปีกคู่สีขาวออกมาและหยดโลหิตลงไป
  ปีกเริ่มสยายมันกลายเป็นภาพเงาหลอมรวมกับแผ่นหลังของซือยหู จากนั้นกล้ามเนื้อบนหลังของเขาก็เริ่มขยับ ปีกขาวราวหิมะงอกออกมา
  เขาสะบัดปีกสายลมรุนแรงพัดเป็นวายุ มันยังพัดไล่ฝูงสัตว์อสูรออกไปขณะที่ซือหยูกับหญิงสาวทั้งสองหนีรอดปลอดภัย!
  เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดดังมาจากส่วนลึกของฝูงสัตว์อสูรมันคือสัตว์อสูรที่ทำให้พลังชีวิตของทุกคนหยุดนิ่ง มันโกรธที่ซือหยูกับหญิงสาวสองคนหนีรอดไปได้
  ลำแสงโลหิตพุ่งออกมาจากฝูงสัตว์อสูรไล่ตามซือหยูไปเหล่าสัตว์อสูรบ้าคลั่งขึ้นและพุ่งออกจากหุบเขา
  นับล้านลี้ห่างจากหุบเขาคนสามคนได้ปรากฏตัว พวกเขาคือหยวนหยิงหยิง ซือถูหยาง และซือหยู
  ซือถูหยางตาลุกวาวเมื่อมองปีกของซือหยู
  “ปีกวารีเก้าสวรรค์?ข้าไม่คิดเลยว่าพี่ซือมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้อยู่ด้วย ราคามันเท่ากับทรัพย์สินของทั้งเมือง!”
  ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความสงสัยนางยื่นมือไปลูบปีก
  “ท่านแม่ก็คิดตามหาปีกนี้ให้ข้าแต่มันหายากมากและซื้อไม่ได้ในท้องตลาด ตระกูลที่มีก็มีแต่ชางก่วน ข้าเลยไม่คิดว่าพี่จะมี!”
  หยวนหยิงหยิงแสยะยิ้ม
  “งงอะไรของเจ้า?พี่ซือของข้ามีของวิเศษตั้งมากมาย เจ้าจินตนาการไม่ได้หรอก”
  ซือถูหยางจ้องนางกลับ
  “นังอกโตทำไมพูดเหมือนกับเจ้าเป็นคนพิเศษกับพี่ซือล่ะ?”
  “อ๊ะ?เจ้าเรียกข้าว่านังอกโรเรอะ? ก็ได้ ข้าจะเรียกเจ้าว่านังอกแบน!”
  หยวนหยิงหยิงเบิกตากว้างและทำท่าขู่
  ซือถูหยางเถียงกลับ
  “กล้าแช่งข้างั้นเรอะ?ข้าจะกัดเจ้าให้ตายเลย!”
  “ก็เอาสิ!ข้าจะดีดหน้าผากเจ้าให้แตกเสีย!”
  หยวนหยิงหยิงไม่ยอมรามือ
  หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ด้านซ้ายขวาของซือหยูเริ่มทะเลาะกับอย่างกับเด็ก
  ซือหยูดุทั้งสอง
  “นี่พวกเจ้าออกจากตัวข้าก่อนจะเล่นกันเป็นเด็กได้หรือไม่?”
  ทั้งสองยังอยู่ในวงแขนของซือหยูจนถึงตอนนี้ใบหน้าของพวกนางแดงระเรื่อและมิอาจโต้เถียง พวกนางรีบก้มหน้าด้วยความเขินอายและดึงมือที่จับแขนซือหยูกลับ
  ซือหยูมองเข้าไปในหุบเขา
  “ฝูงสัตว์อสูรมากมายเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเองแน่จะต้องมีเบื้องหลัง ตอนนี้เราถอยก่อนแล้วค่อยกลับไปล่าจะดีกว่า”
  …
  และก็เป็นอย่างที่ซือหยูคิดเมื่อผ่านไปครึ่งวัน รองเจ้าตำหนักคงฉานได้นำเหล่าคนจากตำหนักนอกเข้าไปในหุบเขาร้อยสัตว์อสูร มีจ้าวเทวะมากกว่าสิบคนร่วมมือกันสลายสัตว์อสูรทำให้พวกมันกลับไปยังหุบเขา
  เจ้าตำหนักคงฉานไปถึงถ้ำไปหุบเขาที่มีพลังอสูรแข็งแกร่งอยู่ภายในมันมีหนังสัตว์อ่อนนุ่มอยู่เป็นจำนวนมาก กลิ่นคาวของไข่ที่แตกได้โชยมาจากหนังสัตว์
  “ท่านเจ้าตำหนักนั่นมันราชาสัตว์อสูรระดับหก หมาไม้โลหิตเนตรปีศาจ…มันวางไข่ที่นี่!”
  ผู้เหล่าหลี่พูดและโบกมือสร้างแสงส่องไข่ส่วนของไข่นั้นแตกออก ไข่แดงได้ซึมออกมา
  “ไข่แตกแล้ว”
  ผู้เฒ่าหลี่สีหน้าหม่นหมอง
  “หมาไม้โลหิตเนตรปีศาจวางไข่สองฟองทุกครั้งแตกเสียหนึ่งฟอง อีกฟองหายไป คงมีคนบุกเข้ามาขโมยอีกฟองไปแล้วแน่”
  เขาพูดต่อ
  “คนบุกรุกมันจงใจทำไข่แตกหนึ่งฟองให้หมาไม้โลหิตเนตรปีศาจโกรธฝูงสัตว์อสูรเลยแห่ออกมาฆ่าคนข้างนอก!”
  ครั้งนี้หาใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ…แต่เป็นฝีมือมนุษย์!และเหล่าหนุ่มสาวของตระกูลที่เข้ามาในหุบเขาร้อยสัตว์อสูรก็เกือบตายหมดเพราะมัน!
  “ดูเหมือนจะมีตระกูลที่ไม่หยุดแค่การได้ที่หนึ่งในการทดสอบพวกมันถึงได้วางแผนนี้!”
  ผู้เฒ่าหลี่พูดอย่างล้ำลึก
  บอกได้เลยว่าอุบายนี้ถูกคิดโดยตระกูลที่ชั่วร้ายเพราะมันสังหารเกือบครึ่งของผู้สอบ ความเสียหายนี้อาจจะทำให้บันทึกความสูญเสียในการทดสอบถูกทำลายด้วยซ้ำ
  เจ้าตำหนักคงฉานพูด
  “ไปกันเถอะไม่มีหลักฐานทิ้งเอาไว้ที่นี่แน่ เราต้องหาไข่อีกใบของหมาไม้โลหิตเนตรปีศาจให้เจอ จะได้หาคนที่อยู่เบื้องหลัง”
  พวกเขาไม่ปล่อยคนที่กล้าก่อเรื่องในการทดสอบของตำหนักโลหิตให้ลอยนวลแน่นอน
  ผู้เฒ่าหลี่ถาม
  “ถ้าเราเจอตัวมันเราจะทำยังไง?”
  เจ้าตำหนักคงฉานตอบทันที
  “ประหารมันทั้งโคตรเสียสนับสนุนตระกูลอื่นแทนที่ตระกูลชั่วร้ายมิใช่เรื่องยากสำหรับเรา”
  ยากที่จะเชื่อว่าคำตัดสินอย่างดุร้ายป่าเถื่อนนี้จะมาจากคนที่ดูใจดีอย่างเจ้าตำหนักคงฉานแต่นี่เป็นเรื่องจริงจัง ความปรานีหาใช่ทางเลือกไม่
  …