DND.775 – ฟาดฟันตระกูลเฉาอย่างร้ายกาจ
ซือหยูมองสาวน้อยและส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้อวดดีข้าก็แค่เตือนพวกเจ้า ถ้าไม่อยากจะให้เกิดอุบัติเหตุที่จะทำให้พวกเจ้าออกจากสนามสอบไม่ได้อีก พวกเจ้าก็อย่ามาก่อปัญหาให้ข้าหลังจากที่เข้าสนามสอบจะดีกว่า ข้าเห็นแก่ชีวิตพวกเจ้าไม่ใช่รึ!”
เมื่อได้ฟังคำพูดอันดุดันจากซือหยูเหล่าหนุ่มสาวตระกูลเฉาต่างไม่พอใจ
“งั้นข้าก็ขอดูหน่อยแล้วกัน!”
สาวน้อยตะโกนกลับขณะมองซือหยูอย่างเยือกเย็นนางกับตระกูลจำเป็นต้องลงมือกับซือหยุเพราะตระกูลเฉาถูกดูหมิ่นซึ่งหน้า
“คลื่นทะยานไร้ลม!”
สาวน้อยตะโกนพลางขยับมือใช้พลังวิเศษ
ในตอนนั้นสายลมเย็นไร้ลักษ์ได้ปรากฏรอบตัวของนาง นางแตะพื้นด้วยปลายเท้าและเริ่มถลาไปตามลมราวกับฝุ่นควัน วิชาเคลื่อนไหวของนางนั้นรวดเร็วมาก
ซือหยูเพียงยืนอยู่ที่เดิมเขาเหลือบมองรอบๆและชี้ดัชนีไปยังตำแหน่งที่อยู่ข้างๆเขา
ปั้ง!
ในตอนนั้นเสียงระเบิดเบาๆดังขึ้นตามด้วยเสียงคราง สาวน้อยที่เคลื่อนไหวเร็วมากนั้นหมุนควงด้วยความเร็วสูงจนเกือบจะล้มลงไป
โลหิตไหลออกมาจากมุมปากใบหน้างดงามของนางดุดันขึ้น
“มันยังไม่จบหรอกน่า!”
น่าตะโกน
“ดัชนีเวหา!”
สาวน้อยไม่ถอยแต่จู่โจมต่อไปสายลมหมุนวนรอบดัชนี ดัชนีของนางคมกริบราวเข็ม
ตลอดมาสายลมยังคงประโลมใต้เท้าของนาง มันทำให้นางเร็วอย่างกับผี นางถึงตัวซือหยูในพริบตาเดียว
ดัชนีคมกริบห่างจากซือหยูเพียงสามศอกอย่างไรก็ตาม เขาปล่อยหมัดออกไปปะทะ มันจุดไฟในกายปกคลุมทั้งหมัดทันที
เป๊าะ!
เสียงแตกดังลั่นนิ้วชี้ของสาวน้อยหักจะขยับไม่ได้ พลังมหาศาลแพร่กระจายไปยังทั้งแขนผ่านดัชนีจนกระดูกทั้งแขนของนางแตก!
สาวน้อยกรีดร้องอย่างน่าเวทนานางหน้าซีดและกระเด็นไปด้านหลังไม่หยุด แต่ไม่พบเพียงเท่านั้น เพลิงในหมัดซือหยูยังกระจายไปทั่วร่างของนางและเริ่มเผาชุดนาง!
แม้นางจะใช้พลังชีวิตพยายามดับไฟอย่างรวดเร็วแต่ไฟนี้ค่อนข้างแปลกเพราะมันมิอาจดับได้ง่ายๆ ครึ่งร่างของนางยังคงไหม้ต่อไป!
เฉาเอวี่ยหมิงแววตาเยือกเย็นเขาโบกมือไปที่สาวน้อย พลังจ้าวเทวะของเขาช่วยดับไฟให้นาง
หลายจุดบนร่างนางถูกเผาจนแดงชุดครึ่งส่วนโดนเผา อกที่อยู่ใต้ชุดเริ่มเผยอาบแสงจันทร์แล้วในตอนนี้
“อ๊ายย!”
นางกรีดร้องเสียงแหลมนางอับอายและโศกเศร้า นางย่อตัวลงไปกับพื้นพยายามจะปิดบังเรือนร่าง
ซือหยูดึงหมัดกลับเพลิงในหมัดได้หายไป เขาพูดอย่างใจเย็น
“เห็นไหม?ถ้าใครยังสงสัยก็ก้าวออกมา”
ทุกคนตกตะลึงเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้นพวกเขาตกใจอยู่แล้วที่ซือหยูเอาชนะภูติระดับสองได้ในหมัดเดียว ดังนั้นการเห็นเขาเอาชนะภูติระดับสามในหมัดเดียวอีกยิ่งทำให้พวกเขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว!
ทุกคนมองซือหยูด้วยความตกใจจนลิ้นผูกกันเป็นปม…
“นายหญิงซือถูไปหายอดฝีมือแบบเขามาจากที่ไหนกัน?พลังต่อสู้ของเขาอาจจะไปถึงจุดสุดยอดของภูติระดับสาม!”
“ตระกูลซือถูโชคดีนักยอดฝีมือเช่นนี้ย่อมมีวิธีให้ได้รับการแนะนำด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่เขากลับมารับภารกิจปกป้องเด็กตระกูลซือถูน่ะรึ?”
ตระกูลเฉาที่แพ้สองครั้งรวดเสียหน้าอย่างร้ายแรง
“อะไรกัน?ไม่มีคนประลองแล้วหรือ?”
ซือหยูมองภูติระดับสามที่มีสี่คนของตระกูลเฉาและยังไปมองภูติระดับสี่กับภูติระดับห้า การมองเช่นนี้เหมือนกับการยั่วยุแก่หนุ่มสาวตระกูลเฉา
“ข้าจะสู้เอง!”
ภูติระดับสามคนหนึ่งตะโกนโดยไม่ยอมรับการข่มเหงของซือหยูอีก
“อ๊ากกก!”
แต่เมื่อเขาเริ่มสู้เขาก็กระเด็นลอยไปจากหมัดเดียว!
“ข้าด้วยสิ!…อ๊ากกก!”
“ข้าด้ว…”
“อ๊ากกก!ข้ายังพูดไม่จบเลย!”
ทุกคนเห็นภูติระดับสามทุกคนของตระกูลเฉาที่ก้าวมาประลองกับซือหยูกระเด็นลอยไปจากหมัดเดียวของเขา!พลังมหาศาลของซือหยูอาจะทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด
นายหญิงซือถูดีใจยิ่งนักท่านผู้นั้นหาอสุรกายอัจฉริยะมาให้พวกนาง!
เขาเป็นแค่ภูติระดับหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดแต่เขาก็บดขยี้ภูติระดับสามทุกคนในตระกูลเฉาได้ง่ายๆ พลังการต่อสู้พวกเขาอาจจะไปถึงภูติระดับสี่
สายตาหนุ่มสาวตระกูลเฉาเปลี่ยนไปทีแรก พวกเขารู้สึกตกใจกับการเหยียดหยาม แต่ตอนนี้พวกเขาหวาดกลัว
ตอนนี้ไม่มีสักคนที่กล้าเข้าไปประลองเหลือภูติระดับสามอีกแค่คนเดียวที่เป็นหญิงสาว นางมองซือหยูด้วยความกลัวและก้าวไปข้างหลัง
ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไป!ทั้งหมดที่นางคิดคือไม่อยากให้ชุดตัวเองถูกพลังของเขาเผา นั่นจะทำให้นางต้องอับอายไปตลอดชีวิต
“นี่รึเด็กที่มากพรสวรรค์ที่สุดของตระกูลเฉา?เจ้าตระกูลเฉา เจ้าต้องเป็นห่วงเด็กตระกูลเจ้ามากกว่าเดิมแล้วล่ะ อย่างมายุ่งกับตระกูลซือถูเลย…”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็นเมื่อมองเฉาเอวี่ยหมิง
เฉาเอวี่ยหมิงสีหน้าหม่นหมองหลังจากที่ได้เห็นเด็กในตระกูลกระเด็นลอยไปทีละคน
อีกสองคนที่เหลือของตระกูลเฉาก็คือนายน้อยตระกูลเฉาและสาวน้อยจากตระกูลรองมีแค่สองคนนี้ที่ยังไม่ไปประลองกับเขา
“ข้าจะสู้กับเจ้า”
ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดเดินมือไพล่หลังไปข้างหน้าสีหน้าของเขาไม่สะทกสะท้านกับความพ่ายแพ้ของตระกูลแม้แต่น้อย แววตาของเขามั่นใจอย่างมาก
“นายน้อยเฉา!”
นายหญิงซือถูหรี่ตาด้วยความคาดหวังเพราะนี่คือโอกาสดีที่นางจะได้พิสูจน์ว่านายน้อยตระกูลเฉาในตอนนี้มีพลังมากเพียงใด เช่นเดียวกับพลังที่แท้จริงของซือหยู
ทุกตระกูลคาดหวังที่จะดูผลการประลองนี้
เฉาเอวี่ยหมิงเลิกคิ้ว
“หลิงเจี้ยนอย่าบุ่มบ่าม ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าต้องสู้”
เขาพูดเพราะไม่อยากจะให้คนอื่นๆเห็นพลังที่แท้จริงของเด็กตระกูลเขาก่อนการทดสอบเพราะมันค่อนข้างอันตรายเมื่อการสอบเริ่มขึ้น
เฉาหลิงเจี้ยนประสานมือ
“ข้ารู้ว่าทำอะไรอยู่ข้าจะลงมือกระบวนท่าเดียวเท่านั้น ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ข้าจะหยุด”
เขารู้อยู่แล้วว่ามีสิ่งใดเดิมพันอยู่บ้างแต่จึงไม่อยากจะต่อสู้ยืดเยื้อยาวนาน
เขามองซือหยูอย่างใจเย็น
“เจ้ากับข้าต้องการแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น”
หลายตระกูลมองพวกเขาด้วยความสนอกสนใจมีหลายข่าวลือเกี่ยวกับพลังของเฉาหลิงเจี้ยน และคนที่เคยเห็นแค่ต่อสู้จริงก็มีอยู่ไม่กี่คน
ว่ากันว่าเขาเคยเอาชนะคนที่เพิ่งเป็นภูติระดับห้าได้ทั้งยังเคยกล่าวอีกว่าเขาเคยต่อสู้กับภูติระดับหกอย่างดุเดือด! พลังที่แท้จริงของเขายังคงคลุมเครือมาโดยตลอด!
ซือหยูพูดอย่างเบาใจ
“เข้ามาสิ”
เฉาหลิงเจี้ยนก้าวไปข้างหน้าชุดของเขาสยายตามลม เขายื่นมือขวาช้าๆ ในตอนนั้น เสียงราวกับสายฟ้าผ่าได้ดังมาจากกระดูกแขน มันดังมากกว่าสี่สิบเก้าครั้ง
“วิชาปรับกระดูกร้อยอสูรรึ?”
นายหญิงซือถูจับจ้องมองเขาไม่วางตา
สีหน้าของนางเศร้าหมองความเกลียดชังปรากฏบนใบหน้า
“สามีข้าเดินทางไปกับเฉาเอวี่ยหมิงในอดีตสุดท้าย สามีข้าตายอย่างประหลาดในตอนที่นำวิชาระดับตำนานขั้นสูงกลับมา มันคือวิชาปรับกระดูกร้อยอสูร”
ว่ากันว่าวิชาบ่มเพาะนี้ส่งต่อมาจากครั้งโบราณแม้จะไม่สมบูรณ์ มันก็เป็นวิชาที่แข็งแกร่งอย่างมาก เมื่อบ่มเพาะสำเร็จ กระดูกจะแข็งแกร่งขึ้นมาก พลังกายก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
เฉาเอวี่ยหมิงนั้นเป็นแค่ผู้ชิงตำแหน่งนายน้อยเท่านั้นแต่หลังจากได้วิชานี้มา เขาก็ได้ชิงตำแหน่งนายน้อยสำเร็จ เขาเอาชนะเจ้าตระกูลหลายคนได้ ทั้งหมดเป็นเพราะวิชานี้
ความตายของเจ้าตระกูลซือถูเกี่ยวข้องกับวิชาปรับกระดูกร้อยอสูรอย่างเห็นได้ชัดและมันยังเกี่ยวจ้องกับเฉาเอวี่ยหมิงด้วย
“ถ้าเจ้ารับหมัดข้าตรงงๆกระดูกแขนเจ้าจะหักเป็นสี่สิบเก้าชิ้น เตรียมตัวให้ดีล่ะ…”
เฉาหลิงเจี้ยนกล่าว
“แตกไปซะ!”
เขาตะโกนขณะยื่นอีกมือไปทางหัวซือหยูในตอนนั้นก็มีเสียงแตกดังรอบแขนของเขา
ซือหยูรู้สึกถึงภัยคุกคามเล็กน้อยจึงไม่ประมาทหลังจากที่ร่างกายของเขาผ่านการถูกทำลายและเกิดใหม่ในการไหลของเวลาและการปรับร่างของวิบัติอัสนีและวิบัติอัคคี พลังของร่างเขาก็ไปถึงภูติระดับสี่ และระดับนี้คือระดับที่เขายังไม่ได้ใช้กายามังกร!
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่ภูติระดับต่ำกว่าสี่จะต้านทานหมัดเดียวของเขาได้แต่วิชาของเฉาหลิงเจี้ยนมิใช่เรื่องเล็ก ซือหยูจะต้องรับมืออย่างไม่ประมาท สายพลังที่แขนของเขาได้กลายเป็นสีทอง พลังแขนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ปั้ง!
เขาปล่อยหมัดปะทะกับหมัดฝ่ายตรงข้ามตรงๆเฉาหลิงเจี้ยนชักสีหน้าเล็กน้อย แววตาใจตเย็นของเขากลายเป็นหวาดกลัว
เขาถอยหลังสองก้าวมือซ้ายของเขาที่ยังไพล่หลังได้หลุดจากแผ่นหลังตั้งแต่เมื่อไหร่มิอาจทราบได้ เขาไม่หนักแน่นมั่นใจเหมือนก่อนที่จะโจมตีซือหยูอีกแล้ว
ซือหยูเองก็ถอยหลังไปสองก้าวเขาตกใจเล็กน้อย เพราะเขาใช้พลังกายทั้งหมดที่อยู่ในขั้นภูติระดับห้าไป แต่เขาก็แค่เสมอกับเฉาหลิงเจี้ยน!
แต่พลังกายคือวิชาพื้นฐานที่สุดของซือหยูถ้าเขาใช้อรหันต์แปดอักษร แม้แต่สาวน้อยที่เป็นภูติระดับห้าก็ยังต้องหลบ!
ทุกคนเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นผลของการปะทะเฉาหลิงเจี้ยนแข็งแกร่งโดยแท้จริง แต่อัจฉริยะสวมหมวกไผ่นั้นน่าตกตะลึงยิ่งกว่า!
เพราะเขาเป็นแค่ภูติระดับหนึ่งแต่เขาก็มีร่างกายที่เทียบเท่าภูติระดับห้า ทุกคนถึงกับสงสัย…นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? เขาแข็งแกร่งไปในถึงระดับที่น่ากลัว!
เฉาเอวี่ยหมิงใบหน้าเศร้าหมองเขาเริ่มมองดูซือหยูอย่างจริงจัง เฉาหลิงเจี้ยนเองก็มองซือหยูอย่างลึกซึ้งพร้อมกับถอยช้าๆ
“ขอข้าลองได้หรือไม่?”
สาวน้อยภูติระดับห้านามเฉาหลี่มองซือหยู
เฉาเอวี่ยหมิงโบกมือปฏิเสธ
“กลับมา!”
การจู่โจมของเฉาหลิงเจี้ยนนั้นไม่ต่างกับการรังแกอีกผ่านถ้าหากภูติระดับห้าไปสู้กับซือหยูอีก เขาก็จะกลายเป็นคนน่าหัวเราะเยาะ ถึงเฉาหลี่จะชนะ ตระกูลเฉาก็ได้ชื่อเสียงไม่ดีเพราะไม่รู้จักแพ้ ถ้านางแพ้ คนก็ยิ่งหัวเราะเยาะหนักกว่าเดิม! ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ดีทั้งนั้น!
“เจ้าหนู…เจ้าเป็นใคร?”
เฉาเอวี่ยหมิงไม่อยากจะเชื่อว่ามีคนที่มีพลังน่าทึ่งเช่นนี้มาเจอกับตระกูลซือถูโดยเป็นแค่คนคุ้มกัน
เขาสับสนในเรื่องนี้มิใช่แค่เขา แต่ทุกคนที่นี่ก็สับสนไม่ต่างกัน
ด้วยพลังอันโดดเด่นที่แสดงออกมาเขาไม่ควรจะเป็นแค่คนไร้หัวนอนปลายเท้า เขาควรจะเป็นคนที่ทุกตระกูลต้องพยายามรับเข้าไปปกป้องคนในตระกูลเหมือนกับที่ตระกูลซือถูทำ…ตระกูลซือถูได้ตัวเขามาเพียงเพราะดวงดีรึ?
ที่ด้านตระกูลชางก่วน
ชางก่วนหยุนซื่อตกตะลึง
“ท่านพ่อชายสวมหมวกไผ่ที่อยู่กับตระกูลซือถูแข็งแกร่งเกินไปนัก ข้าคิดว่าตระกูลเราเป็นแค่ตระกูลเดียวที่มีภูติระดับห้ามาช่วย ข้าไม่คิดเลยว่าตระกูลซือถูก็มีคนระดับนั้นอยู่ด้วย!”
เจ้าตระกูลชางก่วนพยักหน้าเขามองชายสวมหมวกไผ่
“เกินคาดจริงๆต่อให้ยอดฝีมือผู้นี้เข้าตำหนักโลหิตไม่ได้ ตระกูลซือถูก็จะรับเขาไปฝึกฝนและบ่มเพาะเขาอย่างดี เขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน”
“หยุนซื่อเจ้าควรหาโอกาสพูดคุยกับเขา ดูว่าเขายินดีจะเข้าร่วมตระกูลชางก่วนเราหรือไม่”
เจ้าตระกูลชางก่วนชื่นชมชายสวมหมวกไผ่อย่างมาก
ชางก่วนหยุนซื่อสีหน้าละอาย
“ท่านพ่อชิงสมบัติผู้อื่นไม่ใช่เรื่องดี! ตระกูลซือถูก็มิได้ไปได้ดีในวันนี้ ใยเราต้องรังแกพวกเขาอีกเล่า?”
DND.776 – หุบเขาร้อยสัตว์อสูร
เจ้าตระกูลชางก่วนตอบด้วยรอยยิ้ม
“พวกเรานิยมชมชอบอัจฉริยะคงลำบากที่เขาจะใช้พรสวรรค์อยู่กับตระกูลซือถู ตระกูลชางก่วนอยากจะเสนอเวทีที่เหมาะสมกว่าให้เขา”
คำพูดเดียวกันนี้ดังมาจากทุกสำนักในเสาศิลาอื่นไม่ต่างกันนายหญิงซือถูนั้นชาญฉลาด นางยิ้มเรียกซือหยูอย่างอบอุ่น
“คุณซือมานี่หน่อยสิ”
วิธีที่นางเรียกเขาเปลี่ยนเป็น‘คุณซือ’ โดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ที่ตระกูลเฉายอมแพ้ ซือหยูไม่ต้องไปยั่วยุใครอีก
เขาพูดอย่างใจเย็น
“การประลองจบลงตรงนี้ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย…อย่ามายุ่งกับข้า มิเช่นนั้นข้าขอรับรองว่าพวกเจ้าจะติดอยู่ในสนามสอบไปตลอดกาลเพราะอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด”
คำขู่ของเขาทำให้ตระกูลเฉาโกรธแค้นแต่พวกเขาก็โต้แย้งไม่ได้ เมื่อครู่ พวกเขาเพิ่งจะขู่ฆ่าลูกสาวตระกูลซือถูไป และตอนนี้ก็ขู่พวกเขากลับว่าจะฝังพวกเขาในสนามสอบ!
การประลองเมื่อครู่เป็นที่ชัดเจนว่าเขามีพลังที่จะขู่ได้และเมื่อพวกเขาไปถึงสนามสอบแล้วก็ไม่มีทางจะรับมือกับซือหยูได้ถึงสองกระบวนท่าแน่นอน
เมื่อนายหญิงซือถูเรียกเขาก็กระโดดกลับเสาศิลาอย่างรวดเร็ว นางมองซือหยูใหม่อีกครั้ง เพราะความสามารถของเขาทำให้นางดีใจมาก
นางคิดว่าเขามีพลังแค่ภูติระดับสี่แต่เขากลับต่อสู้กับนายน้อยตระกูลเฉาได้ ดังนั้นนางจึงเห็นพรสวรรค์อันไร้ขีดจำกัดของเขาแล้ว!
“คุณซือขอบคุณสำหรับความยากลำบาก แต่เหตุใดเจ้าต้องทำให้ตระกูลเฉาโกรธเล่า? จากนิสัยของเจ้าตระกูลเฉา เขาจะต้องสร้างปัญหาให้ในภายหลังแน่”
ขณะที่พูดนางหยิบโอสถเม็ดสีขาวที่เปล่งประกายท่ามกลางแสงจันทร์ออกมา
มันมีกลิ่นอันสดชื่นและมีสามลายอยู่บนเม็ดโอสถมันคือโอสถระดับสาม!
ซือหยูตกใจเมื่อเห็นโอสถขณะที่ซือถูหยางที่ยืนข้างๆหัวเราะ
“กินสินี่คือโอสถฟื้นพลังแบบพิเศษที่ครอบครองโดยตระกูลซือถูเท่านั้น ท่านแม่ปรุงเองกับมือ”
นายหญิงซือถูนั้นเป็นนักปรุงยาชั้นต้น
ซือหยูกลืนโอสถเข้าไปไม่นานพลังชีวิตของเขาก็เริ่มฟื้นคืน ไม่นานพลังของเขาก็ฟื้นฟูเต็มที่ โอสถนี้มีผลยอดเยี่ยมจริงๆ!
เขามองนายหญิงซือถูผู้งดงามและเดาได้ว่านางคิดอะไรอยู่นางพยายามทำเพื่อหวังว่าเขาจะเข้าร่วมตระกูลซือถูให้ได้รับการปกป้อง
ซือหยูทำได้แค่ปฏิเสธโดยไม่ให้นางเป็นห่วง
“ท่านนายหญิงมิต้องกังวลเรื่องข้าข้ามีวิธีจัดการพวกมัน ข้าไม่ได้กลัวพวกมันหรอก”
ตราบเท่าที่อสูรเนรมิตรไม่มาตามล่าเขาซือหยูก็มั่นใจว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะหนีแม้จะเอาชนะไม่ได้ก็ตาม นายหญิงซือถูผิดหวังเล็กๆ นางได้แต่โทษตัวเองที่ไม่เล็งเห็นพรสวรรค์ของซือหยูเร็วกว่านี้ ถ้าหากนางรู้ว่าเขามีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม ต่อให้นางไม่หว่านล้อมให้เขาเข้าตระกูลซือถู อย่างน้อยนางก็จะเข้าใกล้เขาบ้าง
“ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยถ้าหากเจอปัญหาให้ตามหาหยางเอ๋อที่ตำหนักศิษย์นอก ถึงตระกูลซือถูจะเสื่อมอำนาจลง พวกเราก็ยังมีอิทธิพลในตำหนักนอกอยู่บ้าง…”
นางกล่าว
ซือหยูพยักหน้าและกลับไปยืนข้างหยวนหยิงหยิงกับจื่อเสวียน
“เจ้าจะไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นทำไมกัน?”
จื่อเสวียนงุนงง
“อาจารย์ข้าบอกว่าขณะเดินทางท่องโลกทุกคนจำต้องเลี่ยงการไปยุ่งเรื่องราวของคนอื่น มิเช่นนั้นจะต้องลงเอยในความตาย!”
ซือหยูตอบคำถามนางด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้น…อาจารย์ได้สอนเจ้าหรือไม่ว่าเจ้าควรจะตอบโต้ล่วงหน้า?ตระกูลเฉาเพิ่งเล็กพวกเรา หากไม่แสดงพลังออกไป อนาคตก็รังแต่ละมีปัญหาไม่จบสิ้น”
เขามองคนตระกูลเฉาและพบว่าไม่มีใครกล้าสบตานั่นทำให้เขามั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าเขาจะไม่เจอปัญหาอะไรเข้า
จื่อเสวียนไม่ได้เข้าใจนัก
“เจ้ารู้เยอะดีนี่”
ซือหยูหัวเราะเบาๆ
“ถ้าเจ้ามีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจก็มาถามข้าได้”
จื่อเสวียนหันหน้าไปอีกด้านนางพยักหน้าหลังจากครุ่นคิดคำตอบ
“ได้”
ผู้เฒ่าหลี่ที่อารมณ์ดีขึ้นมาเดินมาชมซือหยู
“เจ้าหนูเจ้าทำได้ดีมาก! ข้าจะรอดูผลงานเข้าใจการทดสอบ”
นายหญิงซือถูเองก็ดีใจเพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าผู้เฒ่าหลี่นั้นเข้มงวดแค่ไหน หากเขาพูดกับซือหยูแบบนี้ก็แสดงว่าเขาหวังไว้สูง แสดงถึงโอกาสที่เขาจะปกป้องลูกสาวนางได้ดียิ่งขึ้น
ที่เสาตระกูลเฉาเจ้าตระกูลเฉามองตระกูลซือถูอย่างเยือกเย็น เขาถามเบาๆ
“ผู้เฒ่าตงท่านเตรียมการเสร็จหรือยัง?”
ผู้เฒ่าตงรู้สึกอัปยศเมื่อมองผู้เฒ่าหลี่ที่ดีใจสีหน้าของเขาไไม่พอใจนัก เพราะเขาพยายามอย่างดีที่สุดที่จะเริ่มการต่อสู้ของทั้งสองตระกูล แต่สุดท้ายคนตระกูลเฉาก็อ่อนแอเกินไปและพ่ายแพ้ให้กับคนสวมหมวกไผ่
เขามองซือหยูอย่างไม่พอใจก่อนจะพูดเบาๆตอบ
“เจ้าตระกูลเฉาสบายใจได้ตระกูลอื่นจะไม่ผ่านการทดสอบง่ายๆ ที่หนึ่งต้องตกเป็นของตระกูลเฉาแน่”
เจ้าตระกูลเฉาสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาบ้างเมื่อได้ฟังคำผู้เฒ่าหลี่พวกเขาได้ข่าวมาแล้วว่าคนที่ได้ที่หนึ่งในการทดสอบจะได้รางวัลเพิ่มเติมที่แม้แต่ศิษย์ในยังอยากได้ และเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าตระกูลเฉากับผู้เฒ่าศิษย์ในนั่นเอง เขาถึงได้รู้ข่าวล่วงหน้า
…
กริ๊ง!
เสียงระฆังดังก้องวิหคบินเหนือพวกเขา ทั้งร่างของวิหคปล่อยพลังกล้าแกร่งที่ทำให้โลหิตของเหล่าภูติหยุดไหลเวียน
“วิหคอสูรจ้าวเทวะ!”
บางคนตะโกนขึ้นมาทุกคนตกใจมาก
มีสตรีแก่สวมชุดขาวยืนอยู่เหนือหัววิหคอสูรนางค่อนข้างดูดี แต่เมื่อมองดูวิหคยักษ์เบื้องล่างก็บอกได้เลยว่านางน่ากลัวเพียงใด
“รองเจ้าตำหนักนอก…”
บางคนอุทานเบาๆความนับถือปรากฏบนใบหน้าเหล่าเจ้าตระกูล
ตำหนักโลหิตแบ่งเป็นตำหนักนอกและในตำนักนอกนั้นคือสถานที่ที่ศิษย์นอกบ่มเพาะพลัง ส่วนเจ้าตำหนักโลหิตม่อเทียนฉวนนั้นได้ส่งเจ้าตำหนักสามคนมาจัดการดูแล มีรองเจ้าตำหนักสองคนกับอีกหนึ่งคนที่มีตำแหน่งสูงสุด
ฐานพลังของทั้งสามนั้นไปถึงชั้นสูงของจ้าวเทวะพวกเขามีอิทธิพลอย่างมากในการสั่นคลอนสำนักใกล้เคียง แม้แต่เจ้าตระกูลเฉาก็เงียบไปและไม่กล้าจะแสดงความหยาบคาย
วิหคอสูรเกาะศิลาก้อนใหญ่เหล่าคณะเดินทางในเสาอีกต้นรีบบินตามหญิงชราไป พวกเขายืนด้านหลังนางด้วยความนับถือ
“หึหึ…การทดสอบนี้จัดขึ้นทุกสามปีข้าหวังว่าจะได้ศิษย์ที่ยอดเยี่ยมในครั้งนี้…”
นางกล่าว
สีหน้าของเหล่าเจ้าตระกูลแปลกไปเมื่อได้ยินนางพูดเพราะตลอดสิบปีที่ผ่านมา ไม่มีศิษย์ที่ยอดเยี่ยมสักคนปรากฏตัวในการเปิดรับทดสอบเช่นนี้ ศิษย์ที่ยอดเยี่ยมส่วนมากมาจากการคัดเลือกในสำนักย่อย ยังมีข่าวลืออีกว่าตำหนักโลหิตวางแผนจะลดปริมาณการรับศิษย์ผ่านการสอบด้วย
หลายตระกูลไม่สบายใจเมื่อได้ฟังข่าวเพราะถึงแม้จะเป็นแค่ข่าวลือ แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ได้แนะนำศิษย์ที่ดีเข้าสำนักเลย เรื่องนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นจริงๆ
“เจ้าตำหนักคงฉานเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
เฉาเอวี่ยหมิงพยักหน้า
เจ้าตำหนักคงฉานยิ้มเบาๆ
หนึ่งในเหล่าผู้เฒ่าเริ่มประกาศกฎการทดสอบ
“การทดสอบแรกคือการล่าสัตว์อสูรในป่าขังภูติใช้ทดสอบว่าพวกเจ้ามีพลังต่อสู้มากพอหรือไม่ เจ้าจะต้องสังหารสัตว์อสูรหนึ่งตัวที่ฐานพลังมากกว่าเจ้าหนึ่งระดับหรือสังหารสัตว์อสูรยี่สิบตัวที่ฐานพลังเท่ากัน เวลาจำกัดสามวัน ใครที่กลับเสาศิลาไม่ทันถือว่าสอบตก”
“การทดสอบแรกจะมีการเก็บคะแนนด้วยการล่าสัตว์อสูรภูติระดับหนึ่งจะนับเป็นหนึ่งคะแนน สัตว์อสูรภูติระดับสองยี่สิบคะแนน สัตว์อสูรภูติระดับสามสี่สิบคะแนน สัตว์อสูรภูติระดับสี่ร้อยคะแนน สัตว์อสูรภูติระดับห้า ห้าร้อยคะแนน”
ผู้เฒ่าเหลือบมองผู้คน
“คะแนนสะสมจะจัดลำดับรวมในการทดสอบของพวกเจ้าข้าหวังว่าพวกเจ้าจะทำให้ดีที่สุด การสังหารกันเองเป็นสิ่งต้องห้าม คนที่ฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษร้ายแรง เริ่มได้”
เหล่าหนุ่มสาวในตระกูลทั้งเก้าเสาพุ่งเข้าไปในป่าขังภูตินายหญิงซือถูเป็นกังวลเมื่อมองซือหยู
“คุณซือข้าฝากตระกูลซือถูกับเจ้าด้วย”
ซือหยูพยักหน้าและมองซือถูหยาง
“ข้าจะปกป้องนาง”
เขาพูดให้ชัดเจนว่าจะปกป้องซือถูหยางเท่านั้นมิใช่เด็กตระกูลซือถูทั้งหมด เขาไม่มีพลังมากพอจะดูแลทุกคน
จากนั้นซือหยูหยวนหยิงหยิง จื่อเสวียน และซือถูหยางก็ได้เข้าป่าไปด้วยกัน นายหญิงซือถูมองคนในตระกูลราวกับจะสื่อความหมายบางอย่าง พวกเขาเข้าใจความหมายนั้นและตามกลุ่มซือหยูไปติดๆ เพื่อที่พวกเขาจะปลอดภัยขึ้น
หลังจากเข้าป่าซือถูหยางมองสิ่งรอบข้าง
“พี่ซือข้ามีแผนที่ด้วยล่ะ”
นางหยิบแผนที่เก่าออกมาจากกระเป๋า
“ผู้เฒ่าตระกูลซือถูที่เคยเข้าร่วมทดสอบให้ข้ามามันถูกแก้ไขมาแล้วหลายครั้ง มันบอกรายละเอียดได้ชัดเจนว่าสัตว์อสูรอยู่ที่ใดบ้าง รวมถึงบอกความแข็งแกร่งของพวกมัน”
ซือหยูรับแผนที่จากนางและเริ่มศึกษาเส้นทางซือถูหยางโน้มตัวมาใกล้เขาและชี้หลายตำแหน่งด้วยนิ้วเรียว กลิ่นกายหอมปะทะเข้าจมูกซือหยูเมื่อนางโน้มศีรษะใกล้กับอกของเขา
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ซือถูหยางเริ่มเรียกเขาว่า‘พี่ซือ’ และนางยังยืนกับเขาอย่างใกล้ชิดในตอนนี้ หยวนหยิงหยิงเบ้ปากและเข้ามาใกล้ทั้งสอง
“ซือหยูเซี่ยนข้าต้องไปดูรอบๆ ค่อยเจอกันอีกสามวัน”
จื่อเสวียนหรี่ตาขณะที่พูด
ซือหยูรู้ว่านางจะทำอะไรนางอยากจะหาดูว่าซือหยูเข้าร่วมการทดสอบนี้หรือไม่
“ดูแลตัวเองด้วย…”
ซือหยูบอก
จื่อเสวียนกลอกตา
“เจ้านั่นแหละที่ต้องระวังตัวอย่าตายก็แล้วกัน”
หยวนหยิงหยิงกับซือถูหยางสับสนเมื่อเห็นนางแยกตัวออกไปเพราะพวกเขาถูกเชิญมาเพื่อปกป้องซือถูหยางโดยเฉพาะ…แล้วทำไมนางถึงแยกตัวไปเล่า?
ซือหยูถอนหายใจถ้านางไม่ไป เขาก็คงจะแย่เพราะมิอาจเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่แม้จะอย่างนั้นเขาก็ต้องระวังตัว เพราะสัมผัสของอสูรเนรมิตรนั้นน่ากลัวมาก
“พวกเราเพิ่งจะอยู่ในทางเข้าป่าหุบเขาร้อยสัตว์อสูรอยู่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ มันขึ้นชื่อเรื่องที่มีสัตว์อสูรจำนวนมากอาศัยอยู่ มีทั้งที่อ่อนแอและแข็งแกร่ง คนเข้าทดสอบหลายคนเลยไปล่าที่นั่น…”
ซือถูหยางกล่าว
ซือหยูพยักหน้า
“ซือถูหยางแผนที่ของเจ้ามีข้อมูลสำคัญจริงๆ ไปที่หุบเขาร้อยสัตว์อสูรกันเถอะ”
พวกเขาต้องเดินทางครึ่งวันกว่าจะถึงหุบเขาร้อยสัตว์อสูรยิ่งเข้าป่าลึกเท่าใดก็ยิ่งสัมผัสพลังอสูรที่มากขึ้นปะปนในอากาศ เช่นเดียวกันกับรังสีพลังของสัตว์อสูร
ในตอนนั้นเองกระต่ายมีเขาได้กระโดดออกจากพุ่มไม้ตรงหน้า มันเป็นสัตว์อสูรภูติระดับหนึ่ง ถ้าหากเป็นเฉินหลง มันก็นับว่าเป็นอสุรกายร้ายกาจที่ทำให้โลกสั่นคลอน แต่เมื่อเป็นป่าขังภูติ มันคือสัตว์อสูรที่อ่อนแอที่สุดที่นี่
ซือถูหยางตาลุกวาว
“กระต่ายอสูร!มันเหมาะกับข้า”
นางหยิบธนูคันเล็กออกมาและเมื่อนางกำลังจะเล็งกระต่าย ธนูลูกหนึ่งก็ได้แล่นผ่านระยะหลายลี้ทะลวงกระต่ายอสูรทำลายร่างมันในพริบตา!
พรึ่บ!
สตรีโดดเดี่ยวคนหนึ่งเหยียบใบไม้เดินมาสำรวจร่างกระต่ายนางคือคนยิงธนูดอกนั้น
นางตัวสูงและมีธนูอยู่ที่แผ่นหลังนางสีหน้าเยือกเย็น นางคืออัจฉริยะจากตระกูลเฉา เฉาหลี่!