ตอนที่ 773-774

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.773 – ลักตัวอสูรเนรมิตร
  ซือหยูปลอดภัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพราะมีอสูรเนรมิตรปกป้องเขา
  ฟึ่บ!
  สาวน้อยชี้นิ้วใส่เขาวิบัติอัคคีหนึ่งเปลวได้เข้าสู่ร่างของซือหยู มันกลายเป็นเพลิงทำลายล้างกลืนกินทั้งร่างกายของเขา จากนั้นเขาก็ไฟลุกท่วมตัว เขากลายเป็นมนุษย์ไฟ
  ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดที่เพลิงเผาร่างมันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก!
  แต่จิตใจของเขานั้นเป็นปกติจิตใจของเขาไม่ได้รับผลจากมัน เพราะตัวเขาก็เคยได้รับความเจ็บปวดระดับนี้มาก่อนแล้วจากการเกิดใหม่เมื่อสร้างจุดกำเนิดพลังอีกครั้ง
  ความเจ็บปวดครั้งนั้นเหนือกว่าครั้งนี้หลายเท่าตัวแม้วิบัติอัคคีจะเผาเขาทั้งตัว แต่เมื่อเขาเพ่งสมาธิอยู่กับจิตอย่างเข้มข้น ความเจ็บปวดก็ไม่ยากที่จะอดทนรับ
  สาวน้อยกระพริบตา
  “ว้าว!จิตใจเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ!”
  นางแทบจะไม่เชื่อสายตาเพราะอสูรเนริมตรมากมายนั้นเจ็บปวดมากเมื่อผ่านวิบัติอัคคีจนแทบจะร้องขอความตาย หลายคนสลบไปในขั้นตอน แต่ภูติผู้นี้กลับกัดฟันทนได้ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง!
  “ถ้าอย่างงั้นก็ดี…”
  สาวน้อยพูดขณะควบคุมวิบัติเพลิงให้กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกายซือหยู
  เสียงแตกดังมาจากเสื้อผ้าเขาก้มลงมองและพบเถ้าถ่านไหม้ เส้นผมขาวกับผิวหนังได้รับผลจากความร้อนสูง ผิวของเขาถูกทำลายแต่ก็ฟื้นคืนกลับอย่างรวดเร็ว มันเกิดขึ้นวนเวียนกันไปไม่จบสิ้น
  ซือหยูกัดฟันและรู้สึกดีมากขึ้นเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นไปอีก มันเกิดนานเท่าเวลาดื่มถ้วยชาเดียว และเมื่อไฟดับมอด ร่างของซือหยูก็เหมือนกับถ่ายไหม้เกรียม!
  เขาสะบัดตัวเบาๆสลัดผิวที่เป็นเขม่าทิ้งไปเผยให้เห็นผิวอ่อนนุ่มภายในนั้น แม้ว่าผิวจะแก่เฒ่า มันก็มีสีแดงฝาดอยู่ด้วย นั่นเป็นสีเดียวกับวิบัติอัคคี
  ซือหยูตรวจดูร่างกายให้ละเอียดขึ้นก็พบว่าผิวใหม่สายพลังโลหิต กระดูก และทั้งร่างของเขาได้รับรังสีพลังของวิบัติอัคคีมา เขาคิดก่อนจะปล่อยหมัดไปข้างหน้า
  ในตอนนั้นเพลิงร้อนแรงได้ปรากฏบนหมัด มันไม่ได้แข็งแกร่งเท่าวิบัติอัคคีแต่ก็ร้อนแรงกว่าเพลิงทั่วไปหลายเท่า
  “หลังจากวิบัติอัคคีเผาร่างเจ้าส่วนหนึ่งจะเข้าหลอมรวมจนร่างเจ้ามีธาตุไฟ ต่อไปหากต้องเลือกวิชาบ่มเพาะ เจ้าก็ต้องเลือกหนทางของไฟ จากนั้นเจ้าจะประสบความสำเร็จสูงขึ้น…”
  สาวน้อยกล่าว
  ซือหยูพยักหน้าเขารู้สึกว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นไปทั้งระดับ เขาเคยมีพลังสี่แรงช้าง แต่ตอนนี้มันไปถึงสี่แรงช้างครึ่ง หรืออาจจะไปถึงห้าแรงช้าง!
  “ยังมีเปลวเหลืออีกหนึ่งเปลวเจ้าจะต้องใช้มันปรับวิญญาณ วิญญาณเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นอีกมาก นี่เป็นโอกาสดีที่ไม่ได้มาง่ายๆ”
  สาวน้อยมองเปลววิบัติอัคคีสุดท้ายที่เหลือ
  มีไม่กี่วิธีเท่านั้นที่จะปรับวิญญาณได้ในโลกจิวโจวและวิธีส่วนใหญ่ก็หายไปตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว ดังนั้นการมีโอกาสได้ทำนั้นจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยาก!
  ซือหยูพยักหน้าสาวน้อยจึงอัดวิบัติอัคคีเข้าใส่เขาทางหน้าผาก มันส่งตรงไปถึงดวงวิญญาณ
  วิญญาณของเขานั้นเหนือกว่าคนในขอบเขตเดียวกันมากมายนักและโดยเฉพาะเมื่อวิญญาณของเขาถูกปกป้องโดยหม้อเก้ามังกร เป็นโชคดีของเขาที่หม้อเก้ามังกรช่วยลดความเจ็บปวดไปมากโข เขาเจ็บน้อยกว่าตอนที่เพลิงเผาร่าง
  เขาไม่แม้แต่ขมวดคิ้วเขาเพียงรู้สึกร้อนในหัวเล็กน้อยเท่านั้น
  สาวน้อยยิ่งสงสัยเขาขึ้นไปอีกเมื่อมองดูซือหยูนางคิด…ตาแก่นี่มันยังไงกัน?
  หลังเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชาวิบัติอัคคีได้สลาไป ซือหยูลมตาขึ้นและรู้สึกมีกำลังวังชา พลังของดวงวิญญาณซือหยูมเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ มันไปยังระดับของภูติระดับสามแล้ว
  ถ้าหากเพลิงส่วนมากไม่กระจัดกระจายหายไปวิญญาณของเขาจะเลื่อนระดับขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด แต่น่าเสียดายที่เขาเหลือสองเปลวเท่านั้น
  “จะบอกข้าได้รึยังว่าคนผู้นี้ไปที่ไหน?”
  สาวน้อยถามซือหยูพลางชี้รูปภาพของซือหยูในอีกรูปแบบหนึ่ง
  ซือหยูตอบ
  “ตำหนักโลหิต”
  ตำหนักโลหิตรึ?สาวน้อยเลิกคิ้ว
  “ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะมันรู้ว่ายากหลังจากฆ่าลุงจักรพรรดิโลหิตของข้าไปแล้ว สมควรแล้วที่จะไปซ่อนตัวในตำหนักโลหิต”
  “เจ้าคิดจะโจมตีตำหนักโลหิตรึ?”
  ซือหยูถาม
  เมื่อได้ยินคำถามสาวน้อยก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ นางส่ายหน้า
  “ข้าจะต้องไม่เปิดเผยตัวตน”
  นางแอบทำเรื่องนี้ไม่ให้ราชาเขตกลางรู้โดยแอบหนีมาล้างแค้นซือหยูถ้าหากนางเปิดเผยตัว ราชาเขตกลางจะต้องส่งคนมารับนางกลับไปแน่ แล้วนางก็จะฆ่าซือหยูไม่ได้!
  “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ตามข้าลอบไปที่ตำหนักโลหิตแล้วแอบหาเขาล่ะ?”
  ซือหยูพูดแนะนำ
  เพราะสาวน้อยผู้นี้คืออสูรเนรมิตรและซือหยูก็กังวลใจว่าเขาจะเผลอเปิดเผยตัวเองหากไม่ระวัง การให้นางมองความจริงจากเขาและให้เขาดูนางใกล้ๆจะดีกว่า เพราะซือหยูก็ไม่รู้ว่านางรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้างนอกจากรูปลักษณ์
  “แอบไปซ่อนที่นั่นรึ?แผนเข้าท่าดีนี่”
  สาวน้อยคิดอย่างจริงจังก่อนจะเห็นด้วยกับแผนดูเหมือนว่านางจะไม่ค่อยผ่านโลกมามากนักและค่อนข้างไร้เดียงสา
  “ก็ได้พาข้าไปกับเจ้า แทรกซึมสู่ตำหนักโลหิตก่อนจะหาคนคนนั้น ถ้าเจ้าเจอเบาะแส ข้าจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม…”
  “เอาล่ะนำข้าไปตำหนักโลหิตเลย!”
  ซือหยูขยับมุมปากพลางมองเหนือศีรษะของนาง
  “ตำหนักโลหิตจะกล้ารับอสูรเนรมิตรเป็นศิษย์งั้นเรอะ?”
  สาวน้อยตกใจนางหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาและจ้องซือหยู
  “ข้ารู้แล้วน่า…เจ้าไม่ต้องบอกข้าหรอก”
  จากนั้นมงกุฎบนหัวนางก็หายไปนางกดฐานพลังตัวเองเอาไว้เผยให้เห็นเพียงภูติระดับสอง มันดูเท่าๆกับคนอื่น!
  เจ้ายังอ่านใจข้าได้อยู่ไหม?ซือหยูมองสาวน้อยและคิดในใจ
  เมื่อนางเห็นสีหน้าแปลกๆก็ขมวดคิ้วถามเขา
  “เจ้ามองข้าแบบนั้นทำไม?”
  ซือหยูแอบโล่งอกดูเหมือนว่าวิชาอ่านใจของนางจะถูกปิดกั้นเมื่อฐานพลังลดลง มิเช่นนั้นเขาคงจะตกอยู่ในอันตรายหากนางอ่านใจเขาต่อไปได้
  ซือหยูเริ่มมองดูนางนางมีดวงตากลมโตสีคราม คิ้วโค้งสวย ขนตายาวราวกับพัดบางๆ แก้มนางเรียบเนียนมีเลือดฝาด นางทั้งน่ารักและน่าหลงใหล!
  นางตัวสูงและมีส่วนโค้งที่น่าชมเชยชุดสีม่วงที่นางสวมนั้นมิอาจบดบังความน่าประทับใจของเรือนร่างได้ ถ้าซือหยูไม่รู้มาก่อนก็ยากที่จะเชื่อว่าสาวน้อยคนนี้คืออสูรเนรมิตร
  เดี๋ยวสิ!ซือหยูนึกขึ้นได้ขณะที่มองชุดสีม่วงของนาง เซี่ยจิงหยูเคยบอกว่าจะมีสีม่วงปรากฏในวิถีของเขา และถ้าเขารับมันเอาไว้ เขาก็จะแก้ไขวิกฤติและเปลี่ยนโชคชะตาได้
  เขาคิดมาตลอดว่ามันคือสิ่งของโดยไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นคน!กลายเป็นว่าสาวน้อยคนนี้ได้ลบล้างรอยเพลิงให้เขา ดับไฟวิบัติ และยังช่วยซือหยูให้รอดจากอสูรเนรมิตรทั้งห้า! ดูเหมือนว่าการตัดสินใจให้นางอยู่ใกล้ตัวจะไม่ใช่เรื่องผิดพลาด ตอนนี้เขาไม่ลังเลอีกแล้ว เขาจะต้องให้นางอยู่ใกล้ตัว!
  “ข้าชื่อซือหยูเซี่ยนแล้วเจ้าล่ะ?”
  ซือหยูถาม
  สาวน้อยตอบ
  “เรียกข้าว่าฮั่นเสวียนไปก่อนก็แล้วกันข้าอยากเปลี่ยนชื่อ แต่ยังคิดไม่ออก…”
  ซือหยูมองชุดสีม่วงน่ารักของนางและยิ้ม
  “จื่อเสวียนดีหรือไม่?”
  จื่อเสวียนรึ?สาวน้อยมองชุดสีม่วงและยิ้มแย้มตอบ
  “ก็ได้ข้าชอบสีม่วง ต่อไปนี้ข้าเป็นจื่อเสวียนก็แล้วกัน”
  เช้าวันถัดมาใต้นภารุ่งสาง
  นายหยิงซือถูขมวดคิ้วเบาๆค่ำคืนผ่านไปแล้ว แต่ซือหยูก็ยังไม่กลับมา นั่นทำให้นางไม่พอใจ
  “หยวนหยิงหยิงคนของเจ้าได้บอกหรือไม่ว่าเหตุใดเขาถึงออกไป?”
  นายหญิงซือถูถาม
  หยวนหยิงหยิงส่ายหน้าและมองไปยังแม่น้ำห่างไกลนางไม่หลับมาตลอดคืน ดวงตาของนางบวมแดง
  ผู้เฒ่าหลี่ขมวดคิ้ว
  “นายหญิงเรารอไม่ได้อีกแล้ว ตระกูลเจ้ารอสามวันกว่าจะได้สองคนนี้มา เวลากดดันเราอยู่ ถ้าบ่ายแล้วยังไม่ถึงตำหนักโลหิต เราจะไม่มีเวลาสมัครสอบ!”
  นายหญิงซือถูเป็นกังวลเมื่อได้ฟังคำเตือนนางพยายามจัดหาคนด้วยความยากลำบากเพื่อจะหาอีกสองคนที่เหมาะกับหยางเอ๋อ แต่ปัญหาก็ดันเกิดขึ้น! นางไม่พอใจเลย…เขาหนีไปตั้งแต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มรึ?
  ในตอนนั้นเอง นางกับผู้เฒ่าหลี่มองขอบนภาพร้อมกัน พวกเขาเห็นคนสองคนกำลังบินเข้ามาใกล้แม่น้ำ
  หนึ่งในนั้นคือภูติระดับสองส่วนอีกคนเป็นภูติระดับหนึ่ง เมื่อทั้งสองเข้าใกล้ ความไม่พอใจในใบหน้านางก็หายไปแทนที่ด้วยความยินดี
  ซือหยูกลายเป็นภูติในค่ำคืนเดียว!แต่นางก็สงสัย…แล้วผู้หญิงชุดม่วงที่เขาพามาคือใครเล่า?
  เมื่อทั้งสองร่อนลงพื้นซือหยูก็ประสานหมัดขอโทษ
  “นายหญิงซือถูผู้เฒ่าหลี่ ขออภัยที่ข้าให้รอนาน ข้าไปหาสหายมา ตอนเดินทางได้เจอวับัติสวรรค์ นั่นเป็นเหตุที่ข้ามาช้า”
  ผู้เฒ่าหลี่มองจื่อเสวียนและมองนายหญิงซือถู
  “นายหญิงข้าเพิ่มอีกสิทธิ์ตามใจไม่ได้หรอกนะ”
  นางยิ้ม
  “ไม่เป็นไรข้ามีสามสิทธิ์ให้ซือหยูเซี่ยน เขายังเหลืออีกหนึ่งสิทธิ์ จะให้เด็กสาวคนนี้ก็ย่อมได้”
  เพราะทีแรกพวกเขาให้คนติดตามมาได้สองคน แต่ซือหยูกลับพาหยวนหยิงหยิงมาแค่คนเดียว สิทธิ์ที่เหลือจึงยังว่างอยู่ คนอื่นๆคิดว่าซือหยูไปหาสหาย มีเพียงหยวนหยิงหยิงที่คิดต่างออกไป
  ผู้หญิงน่ารักคนนี้ใครกัน?หยวนหยิงหยิงครุ่นคิดเมื่อสัมผัสได้ถึงภัย
  “พี่ซือข้าเป็นห่วงพี่นะ”
  หยวนหยิงหยิงเข้ามากอดเขาอย่างสนิทสนม
  จื่อเสวียนมองทั้งสองและถามซือหยู
  “ทำไมนางเรียกเจ้าว่า’พี่’ล่ะ?”
  ซือหยูอธิบายอย่างเรียบเฉย
  “เกิดเรื่องตอนที่ข้าบ่มเพาะพลังมันทำให้ภายนอกของข้าแก่เฒ่า แต่จริงๆข้าอายุแค่สิบแปด”
  จื่อเสวียนพยักหน้าแทนการรับรู้นางไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะนางก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาหลายครั้ง
  “ถ้าอยู่กับครบแล้วก็เดินทางกันเถอะ”
  ผู้เฒ่าหลี่ไม่รอช้าก่อนจะใช้หุ่นเชิดนกมุ่งหน้าไปยังตำหนักโลหิต
  เมื่อผ่านไปครึ่งวันพวกเขาก็ได้เห็นป้อมปราการตั้งอยู่ในป่าของอาณาเขตตำหนักโลหิต
  พวกเขาค่อนข้างประจับใจเมื่อถึงที่หมายป้อมนี้มิได้มีเพียงค่ายกลที่แข็งแกร่งแต่ยังถูกดูแลโดยยอดฝีมือมากมาย ซือหยูพบรังสีพลังของจ้าวเทวะไม่ต่ำกว่าสิบคน
  “นี่คือที่ตั้งที่ศิษย์นอกจะอยู่มันอยู่นอกป่าขังภูติ…”
  ผู้เฒ่าหลี่กล่าว
  “หลังจากที่พวกเจ้าได้เป็นศิษย์ในวันนั้นพวกเจ้าก็จะได้เข้าไปอีกแห่ง ก่อนหน้านั้น พวกเจ้าจะต้องบ่มเพาะพลังในฐานะศิษย์นอก”
  ซือหยูถามหยางเอ๋อ
  “ป่าขังภูติคือที่ใดรึ?”
  หยางเอ๋อกระพริบตาถามด้วยความแปลกใจ
  “พี่ซือไม่เคยได้ยินมาก่อนรึ?ป่าขังภูติเป็นป่าเก่าแก่ที่อาณาเขตขยายทั่วทั้งเก้าเขต มันกว้างใหญ่ไร้จุดจบ แม้แต่อสูรเนรมิตรก็หาขอบป่าไม่เจอ”
  นางพูดต่อ
  “มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมากมายในป่านั้นยิ่งลึกเท่าใดสัตว์อสูรก็ยิ่งแข็งแกร่ง แม้แต่สัตว์อสูรเนรมิตรก็มีอยู่ด้วย มันถูกบันทึกไว้ว่าเคยมีจักรพรรดิอสูรที่นั่น ที่ฐานพลังเหนือกว่าอสูรเนรมิตร!”
  จักรพรรดิอสูรเหนืออสูรเนรมิตรรึ?ซือหยูใจสั่นเมื่อได้ฟังเรื่องราว เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามีขอบเขตที่เหนือกว่าอสูรเนรมิตร!
  “ตำหนักนอกของตำหนักโลหิตตั้งอยู่ใกล้ป่าขังภูติส่วนตำหนักในจะอยู่ลึกเข้าไปอีก แต่แม้จะลึก ก็นับว่าอยู่รอบนอกของป่าขังภูติ”
  ซือหยูพยักหน้าหลังจากหุ่นเชิดร่อนลง พวกเขาก็รวมตัวกันที่เสาศิลา
  ซือหยูมองรอบๆและพบเสาศิลาสิบต้นที่นอกตำหนักเสาแต่ละต้นมีรัศมีหลายลี้ มีคนอยู่บนเสาอีกเก้าต้นที่เหลือ ซือหยูรู้จักคนบนเสาต้นหนึ่ง
  คนเหล่านั้นคือเจ้าตระกูลชางก่วนและเด็กในตระกูลรวมถึงฉางฟานด้วย พวกเขามองมาทางซือหยู แต่ซือหยูกับหยวนหยิงหยิงได้เปลี่ยนรูปลักษณ์มาแล้ว พวกเขาจึงจำไม่ได้
  “นายหญิงซือถูหวังว่าท่านจะยังสบายดีเหมือนครั้งที่แล้ว”
  เสียงอันอบอุ่นดังมาจากเสาใกล้ๆ
  ซือหยูหันมองชายชุดสีน้ำเงินวัยกลางคนที่ถือพัดหยกเขารูปยิ่งใหญ่ไม่เหมือนใคร แต่ดวงตาของเขานั้นร้อนรนและกำลังมองส่วนบนร่างกายนายหญิงซือถูหลายครั้ง ดวงตานั้นจ้องมองอกอวบใหญ่มานานแล้ว!
DND.774 – อวดดีเอาแต่ใจ
  แม้นายหญิงซือถูจะเป็นสตรีกลางคนแล้วแต่นางยังคงสวยและน่าหลงใหล นางจะต้องเป็นสตรีที่น่าทึ่งในยามสาว
  นางเป็นดั่งเทพีที่หลายคนนับถือสามีของนางตายในการเดินทางหลังจากที่นางแต่งงานเข้าตระกูลซือถูได้ไม่นาน ตั้งแต่นั้น นางก็จัดการดูแลตระกูลซือถูทั้งหมดด้วยตัวเอง
  จนถึงวันนี้เหล่าบุรุษก็ยังคงไล่ตามนางเพราะความงาม เคราะห์ดีที่นางแข็งแกร่งมาก ชายธรรมดามิอาจได้ล่วงเกินนาง
  แต่ชายตรงหน้าเป็นข้อยกเว้นเขาคือเจ้าตระกูลเฉา เฉาเอวี่ยหมิง
  ในอดีตเขาเป็นศิษย์นอกของตำหนักโลหิตเหมือนกับนาง เขาหลงใหลนางมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ แต่เฉาเอวี่ยหมิงนั้นเจ้าอุบายและมักทรยศ เขาจึงไม่เคยได้รักกลับคืน
  นายหญิงซือถูแสดงความอบอุ่นกลับคืน
  “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้าหรอก”
  เฉาเอวี่ยหมิงยิ้มมุมปาก
  “นายหญิงซือถูข้าเห็นว่าเด็กตระกูลซือถูมิได้แข็งแกร่งเลย ข้าได้ยินว่าเจ้าเสียไปเยอะเพื่อซื้อยอดฝีมือมากับคนในตระกูลเจ้า ถ้าเจ้าเต็มใจขอความช่วยเหลือจากคนนอกเช่นนั้น ใยไม่ถามข้าสักหน่อยเล่า? ข้ายินดีช่วยเจ้าอยู่แล้ว”
  นายหญิงซือถูถอนหายใจแรงนางรู้ว่าถ้านางขอความช่วยเหลือจากเขาจริงๆ เขาก็อาจจะขอสิ่งที่ไม่เกรงใจนาง
  “เจ้าไม่จำเป็นหรอกดูแลเด็กตระกูลเจ้าไปอย่างเดียวก็พอแล้ว”
  เมื่อพูดจบความไม่พอใจก็แสดงอยู่บนใบหน้านาง แต่เฉาเอวี่ยหมิงกำลังมองหนุ่มสาวตระกูลซือถูเลยไม่สังเกตใบหน้านาง เมื่อมองซือถูหยาง เขาก็เห็นสองคนที่อยู่ด้านหลังนาง ทั้งคู่สวมหมวกไผ่
  เขาถาม
  “นี่รึคนที่จะดูแลเจ้า?อ่อนแอเกินไปมิใช่รึ ทำไมไม่ให้คนตระกูลข้าเอาหยางเอ๋อไปด้วยเล่า จะได้ปกป้องนางด้วย? ข้ารู้ว่าเจ้ารักลูกแค่ไหน”
  คำพูดของเขามีแฝงคำขู่อยู่ด้วยนั่นทำให้ใบหน้านายหญิงซือถูกเยือกเย็น
  “เฉาเอวี่ยหมิงอย่าล้ำเส้น”
  นางมองหนุ่มสาวตระกูลเฉาอย่างเยือกเย็นและใจสั่นพวกเขามียี่สิบคน ที่อ่อนแอที่สุดเป็นภูติระดับหนึ่ง และที่เหลือก็ยังมีภูติระดับสองห้าถึงหกคน มีภูติระดับสามสองคนและระดับสี่อีกคน พวกเขาคือยอดฝีมือแห่งตระกูลเฉา
  แต่สิ่งที่นางตกใจที่สุดก็คือผู้หญิงภูติระดับห้า!นางมีธนูคันยาวอยู่ที่แผ่นหลังและดูเยือกเย็น
  “หึหึข้าลืมแนะนำนางให้เจ้าเลย นางเป็นหนึ่งในศิษย์จากตระกูลรอง ทักทายนายหญิงซือถูสิเฉาหลี่”
  เฉาเอวี่ยหมิงยิ้มลำพองใจ
  เฉาหลี่พยักหน้าอย่างใจเย็นให้นายหญิงซือถูนางไม่ได้แสดงความนับถือแม้แต่น้อย นางยังทำหน้าตาเจ้าเล่ห์เมื่อมองซือถูหยาง
  นายหญิงซือถูชักสีหน้าบอกได้เลยว่าเฉาหลี่หมายตาลูกสาวนางและอยากสังหารเพราะซือถูหยางคือสายโลหิตหลักคนสุดท้ายของตระกูลซือถู
  “เฉาเอวี่ยหมิงเจ้ากล้าดียังไง?”
  แววตานายหญิงซือถูเปี่ยมด้วยรังสีฆ่าฟัน
  เฉาเอวี่ยหมิงยิ้มเยาะ
  “ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยใยเจ้าร้อนรนเช่นนี้เล่า?”
  เขามองซือหยูกับหยวนหยิงหยิงเป็นคราสุดท้าย
  “เจ้าสองคนปกป้องนางให้ดีล่ะ”
  เมื่อเขาพูดจบก็หันหลังจากไปขณะที่ยิ้มอย่างลำพองใจแต่เขาก็ได้ยินเสียงเรียบเฉยดังมาจากด้านหลัง
  “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนางหรอกดูแลเด็กตระกูลเฉาของเจ้าให้ดีก็พอ”
  คนจากตระกูลหรือสำนักอื่นที่อยู่บนเสามองพวกเขาอย่างเย็นชาโดยไม่มีใครเข้าแทรกแม้แต่ตระกูลชางก่วนเองก็มองดูตระกูลซือถูถูกข่มขู่ พวกเขาทำอะไรไม่ได้เพราะตระกูลเฉานั้นมีลำดับสูงกว่า
  ถ้าไม่นับสำนักใหญ่ทั้งสิบแปดตระกูลชางก่วนจะจัดอยู่ในลำดับสอง ส่วนตระกูลเฉาเป็นลำดับหนึ่ง ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะทนมองไม่ได้ พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรอยู่ดี เพราะถ้าหากตระกูลเฉามาเอาคืนเพราะการเข้ายุ่ง พวกเด็กๆในตระกูลเขาก็ต้องเจอปัญหาใหญ่ในการทดสอบแน่
  หลายสำนักโกรธตระกูลเฉาแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรแต่กลับมีชายคนหนึ่งกล้าพูดตอบโต้!
  พวกเขาทุกคนหันไปมองด้วยความตกตะลึงพวกเขาได้เห็นชายสวมหมวกไผ่ที่ยืนด้านหลังซือถูหยาง
  เฉาเอวี่ยหมิงไม่คิดว่าจะมีคนกล้าพูดโต้ตอบเขาเขาจึงมองกลับไปพร้อมกับเห็นรอยยิ้มของซือหยูใต้หมวกนั้น
  “หึหึเจ้าดูมั่นใจเหลือเกินนะว่าจะปกป้องหยางเอ๋อได้ เรายังมีเวลาเหลือ ไม่ลองประลองกับเด็กตระกูลเฉาดูสักหน่อยเล่า? มันจะช่วยให้เจ้าผ่านการทดสอบและมีชีวิตรอดได้มากขึ้นแน่”
  นายหญิงซือถูใบหน้าเยือกเย็น
  “เฉาเอวี่ยหมิงทำไมเจ้าถึงถือสาเด็กอย่างนี้ล่ะ? เจ้าไม่สนใจชื่อเสียงเลยหรืออย่างไร?”
  เฉาเอวี่ยหมิงไม่สนใจมันเลย
  “นายหญิงอย่าคิดมากน่าอย่างไรก็แค่ประลองสั้นๆกระชับมิตร ไม่ลองสู้กับยอดฝีมือตระกูลซือถูดูล่ะเฉาหู่? แต่เจ้าต้องออมมือล่ะ…อย่าให้เขาตาย!”
  ฟึ่บ!
  ชายหนุ่มร่างกำยำเดินฝ่าคนออกมาแต่ละย่างก้าวของเขาทำให้พื้นสั่น
  เขาเป็นภูติระดับสองแต่จากกำลังภายในที่ปล่อยออกมาก็แสดงให้เห็นว่ากายเนื้อนั้นแข็งแกร่งไม่น้อยกว่าสองแรงช้างครึ่ง ดังนั้นจึงมีภูติระดับสองไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเผชิญหน้ากับเขาได้
  “นี่ยังนับเป็นการประลองกระชับมิตรอยู่อีกรึถ้าเจ้าส่งคนที่พลังเหนือกว่าเขามาทั้งระดับ?”
  นายหญิงซือถูกัดฟันถาม
  ความชิงชังเอ่อล้นในหัวใจนางเฉาเอวี่ยหมิงอยากจะทำให้ตระกูลซือถูต้องอับอายและยังจะได้ลบ้างแค้นจากการที่ไม่ได้รับรักจากนาง
  เฉาเอวี่ยหมิงยิ้มตอบ
  “ข้าทำไปก็เพราะเป็นห่วงหยางเอ๋อถ้าเขารับมือกับศัตรูเช่นนี้ไม่ได้ แล้วเขาจะปกป้องหยางเอ๋อได้ยังไง?”
  เขาพูดอย่างเดียวกับที่นางคิดเพราะเฉาเอวี่ยหมิงเองก็อยากจะได้โอกาสดูพลังของซือหยูให้ชัดๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ล้มเหลวโดยอุบัติเหตุขณะพยายามสังหารซือถูหยาง
  ผู้เฒ่าหลี่พูดอย่างใจเย็น
  “เจ้าตระกูลเฉาการทดสอบกำลังจะเริ่มแล้ว จะประลองอะไรก็รอจนทดสอบจบเสีย”
  ผู้เฒ่าหลี่นั้นเป็นคณะคนที่มารับตระกูลซือถูเขาจึงไม่อยากให้ใครที่มาจากตระกูลถูกรังแกจากคนอื่น นายหญิงซือถูมองเขาด้วยความขอบคุณ
  แต่ตอนที่เขาพูดจบก็มีเสียงชายแก่สวมชุดหนังงูและใส่ผ้าคลุมสีเงินหัวเราะ
  “ผู้เฒ่าหลี่จัดการประลองก่อนทดสอบก็เพียงทำให้พวกเขาตื่นตัวขึ้นเท่านั้น มันจะเป็นประโยชน์ให้พวกเขาผ่านการทดสอบ เจ้าจะหยุดทำไมเล่า?”
  สีหน้าผู้เฒ่าหลี่หม่นหมองเมื่อมองชายแก่ที่พูดเขาคือผู้เฒ่าตงที่ไปรับตระกูลเฉา ลำดับในตำหนักนอกของผู้เฒ่าตงนั้นเหนือกว่าเขา เขาจึงไม่กล้าโต้แย้ง
  เมื่อซือหยูเห็นสถานการณ์กระอักกระอ่วนเขาก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม
  “ท่านผู้เฒ่าพูดถูกแล้วออกกำลังสักหน่อยก่อนจะเริ่มทดสอบก็ไม่เสียหาย นายหญิง ข้าจะประลอง”
  ฟึ่บ!
  ซือหยูใช้ปลายเท้าแตะพื้นข้ามทะยานฟ้าไปลงที่เสาตระกูลเฉาอย่างสง่างามซือหยูที่กระโดดเข้าไปอย่างกล้าหาญโดยไม่หวาดกลัวนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึง
  “ช่างใจถึงและหาญกล้า!เด็กทุกคนควรเป็นเช่นนี้”
  ผู้เฒ่าอีกเสาที่อยู่ฝั่งนายหญิงซือถูถึงกับชมเชยซือหยู
  ควรจะเป็นตระกูลเฉาที่ท้าประลองแต่ตอนนี้กลับดูเหมือนตระกูลซือถูเป็นฝ่ายเริ่ม เฉาเอวี่ยหมิงมองซือหยูอย่างใจเย็น
  “เฉาหู่เขาดูแข็งแกร่ง เจ้าไม่ต้องออมมือ สู้ด้วยพลังสูงสุดของเจ้าซะ!”
  เฉาหู่แสยะยิ้ม
  “ตามบัญชา”
  เขาก้าวไปข้างหน้ามองซือหยู
  “ข้าจะเอาชนะเจ้าในกระบวนท่าเดียว”
  เขาตะโกน
  “มังกรเหล็กแหวกทะเล!”
  เฉาหู่ใช้พลังชีวิตจากทั้งร่างรวมไปที่หมัดทั้งสองและใช้พลังทั้งหมดที่มีที่เทียบเท่าสองกำลังช้างครึ่งแม้เป็นภูติระดับสองก็ต้องบาดเจ็บ ไฉนเลยกับภูติระดับหนึ่ง!
  นายหญิงซือถูกำหมัดแม้นางจะเชื่อใจซือหยู แต่นางก็ไม่เคยเห็นเขาต่อสู้ นางหยุดกังวลใจไม่ได้
  เมื่อเฉาหู่ปล่อยหมัดเข้าไปซือหยูรู้สึกถึงสายลมรุนแรงที่พัดเส้นผมขาวของเขา แต่ดวงตาที่อยู่ใต้หมวกไผ่ยังคงใจเย็น
  เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและอัดพลังชีวิตไปที่มือขวาดันไปข้างหน้าหนึ่งในสองผู้ประลองคือชายหนุ่มร่างกำยำกับชายแก่ร่างผอมบาง ดังนั้นจึงมีความแตกต่างกันมหาศาลระหว่างพลังกาย
  ผั่วะ!
  เมื่อปะทะกันภาพที่ทำให้ทุกคนตกใจก็บังเกิด เสียงกระดูกแตกลั่นดังจากแขนทั้งสองของเฉาหู่ที่มีพลังมหาศาล เขาถลาไปข้างหลังจนเกือบจะตกจากเสา!
  ปั้ง!
  เขาหยุดตัวเองไม่ได้ตกได้แต่ก็ล้มก้นกระแทกลงไปอยู่ดีเขาอยู่ในสภาพน่าเวทนา แต่ซือหยูกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดูเหมือนเฉาหู่จะทำอะไรเขาไม่ได้เลย!
  ซือหยูดึงมือขวากลับช้าๆและดึงหมวกไผ่ปิดหน้า
  “มันจบในกระบวนท่าเดียวจริงๆ!ข้าชนะเจ้าในกระบวนท่าเดียว!”
  นายหญิงซือถูดีใจบนใบหน้าซือหยูแข็งแกร่วกว่าที่นางคิด! พลังหมัดของเฉาหู่นั้นเทียบได้กับภูติระดับสาม แต่ซือหยูกลับเอาชนะอย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงบอกได้ว่าเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าภูติระดับสาม!
  ผู้เฒ่าหลี่ถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมรอยยิ้มเขารู้สึกสบายใจเมื่อมองผู้เฒ่าตงที่สีหน้าไม่สู้ดี
  รอยยิ้มเสแสร้งของเฉาเอวี่ยหมิงหายไปในทันทีเขามองเฉาหู่ด้วยความผิดหวังและหันไปถาม
  “เจ้าไม่ป่าเถื่อนเกินไปเรอะ?”
  เฉาเอวี่ยหมิงมองซือหยูและเอามือไพล่หลังเขาใช้พลังไร้ลักษณ์กดดันซือหยูช้าๆ แต่ซือหยูก็ไม่ได้เกรงกลัว เขาเพียงรีบถอยหลายก้าวเพื่อเลี่ยงแรงกดดัน
  ซือหยูถามอย่างใจเย็น
  “เจ้าตระกูลเฉาเจ้าไม่ขอบคุณที่ข้าไว้ชีวิตเขาหรอกรึ? ถ้าเจ้าไม่ตาบอดก็คงเห็นว่าข้าหยุดไปกลางครัน มิเช่นนั้นเด็กตระกูลเจ้าก็ไม่จบแค่แขนหักแน่”
  จ้าวเทวะทุกคนพยักหน้าพร้อมกันบางทีภูติอาจจะไม่ทันสังเกต แต่พวกเขามั่นใจ! ในจุดปะทะ ซือหยูใช้พลังเพียงครึ่งเดียว ถ้าเขาไม่ออมมือ ชีวิตของเฉาหู่อาจจะตกอยู่ในอันตรายจริงๆ!
  เฉาเอวี่ยหมิงแสร้งทำเป็นไม่รู้และยังไปกล่าวโทษเขาช่างไม่สง่างามเอาเสียเลย!
  เฉาเอวี่ยหมิงเริ่มโมโหเมื่อรู้สึกว่าทุกคนกำลังมองเขาแต่เขาก็ยังทำหน้าดั่งสุภาพบุรุษ
  “เจ้าหนูเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดจะประลองอีกหรือไม่?”
  แต่ก่อนที่นางหญิงซือถูจะได้หยุดซือหยูก็พูดขึ้นมา
  “ก็เอาสิทุกคนในตระกูลเฉา หากใครคิดว่าพรสวรรค์มากพอก็ก้าวออกมาสู้กับข้า เช่นนี้เท่านั้นจึงจะได้เห็นพลังของตัวเองอย่างถ่องแท้ เจ้าจะได้รู้ว่าใครในการทดสอบที่ควรดูหมิ่น…และใครที่ไม่ควร!”
  ทุกคนเอามือป้องปากเมื่อได้ยินคำพูดอันอวดดี…
  “เขาไม่หยาบคายเกินไปหน่อยรึ?ถึงข้าจะดูถูกตระกูลเฉา แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะแสดงความนับถือต่อเฉาเอวี่ยหมิงบ้างไม่ใช่รึ?”
  “หึหึก็ดีแล้ว ข้าชอบทีเดียว! ผู้ช่วยที่ตระกูลซือถูเชิญมากล้าออกตัวตอนที่ตระกูลซือถูถูกข่มขู่ น้ำใจเช่นนี้หามิได้ง่ายๆ”
  เหล่าหนุ่มสาวตระกูลเฉาโกรธแค้นพวกเขาจ้องมองซือหยูตาไม่กระพริบ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองกำลังโดนดูถูก!
  “เจ้าไม่ได้อวดดีเกินไปหรอกรึ?”
  สาวน้อยภูติระดับสามที่สีหน้าไม่สู้ดีเดินออกมาถาม