DND.773 – ลักตัวอสูรเนรมิตร
ซือหยูปลอดภัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพราะมีอสูรเนรมิตรปกป้องเขา
ฟึ่บ!
สาวน้อยชี้นิ้วใส่เขาวิบัติอัคคีหนึ่งเปลวได้เข้าสู่ร่างของซือหยู มันกลายเป็นเพลิงทำลายล้างกลืนกินทั้งร่างกายของเขา จากนั้นเขาก็ไฟลุกท่วมตัว เขากลายเป็นมนุษย์ไฟ
ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดที่เพลิงเผาร่างมันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก!
แต่จิตใจของเขานั้นเป็นปกติจิตใจของเขาไม่ได้รับผลจากมัน เพราะตัวเขาก็เคยได้รับความเจ็บปวดระดับนี้มาก่อนแล้วจากการเกิดใหม่เมื่อสร้างจุดกำเนิดพลังอีกครั้ง
ความเจ็บปวดครั้งนั้นเหนือกว่าครั้งนี้หลายเท่าตัวแม้วิบัติอัคคีจะเผาเขาทั้งตัว แต่เมื่อเขาเพ่งสมาธิอยู่กับจิตอย่างเข้มข้น ความเจ็บปวดก็ไม่ยากที่จะอดทนรับ
สาวน้อยกระพริบตา
“ว้าว!จิตใจเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ!”
นางแทบจะไม่เชื่อสายตาเพราะอสูรเนริมตรมากมายนั้นเจ็บปวดมากเมื่อผ่านวิบัติอัคคีจนแทบจะร้องขอความตาย หลายคนสลบไปในขั้นตอน แต่ภูติผู้นี้กลับกัดฟันทนได้ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง!
“ถ้าอย่างงั้นก็ดี…”
สาวน้อยพูดขณะควบคุมวิบัติเพลิงให้กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกายซือหยู
เสียงแตกดังมาจากเสื้อผ้าเขาก้มลงมองและพบเถ้าถ่านไหม้ เส้นผมขาวกับผิวหนังได้รับผลจากความร้อนสูง ผิวของเขาถูกทำลายแต่ก็ฟื้นคืนกลับอย่างรวดเร็ว มันเกิดขึ้นวนเวียนกันไปไม่จบสิ้น
ซือหยูกัดฟันและรู้สึกดีมากขึ้นเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นไปอีก มันเกิดนานเท่าเวลาดื่มถ้วยชาเดียว และเมื่อไฟดับมอด ร่างของซือหยูก็เหมือนกับถ่ายไหม้เกรียม!
เขาสะบัดตัวเบาๆสลัดผิวที่เป็นเขม่าทิ้งไปเผยให้เห็นผิวอ่อนนุ่มภายในนั้น แม้ว่าผิวจะแก่เฒ่า มันก็มีสีแดงฝาดอยู่ด้วย นั่นเป็นสีเดียวกับวิบัติอัคคี
ซือหยูตรวจดูร่างกายให้ละเอียดขึ้นก็พบว่าผิวใหม่สายพลังโลหิต กระดูก และทั้งร่างของเขาได้รับรังสีพลังของวิบัติอัคคีมา เขาคิดก่อนจะปล่อยหมัดไปข้างหน้า
ในตอนนั้นเพลิงร้อนแรงได้ปรากฏบนหมัด มันไม่ได้แข็งแกร่งเท่าวิบัติอัคคีแต่ก็ร้อนแรงกว่าเพลิงทั่วไปหลายเท่า
“หลังจากวิบัติอัคคีเผาร่างเจ้าส่วนหนึ่งจะเข้าหลอมรวมจนร่างเจ้ามีธาตุไฟ ต่อไปหากต้องเลือกวิชาบ่มเพาะ เจ้าก็ต้องเลือกหนทางของไฟ จากนั้นเจ้าจะประสบความสำเร็จสูงขึ้น…”
สาวน้อยกล่าว
ซือหยูพยักหน้าเขารู้สึกว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นไปทั้งระดับ เขาเคยมีพลังสี่แรงช้าง แต่ตอนนี้มันไปถึงสี่แรงช้างครึ่ง หรืออาจจะไปถึงห้าแรงช้าง!
“ยังมีเปลวเหลืออีกหนึ่งเปลวเจ้าจะต้องใช้มันปรับวิญญาณ วิญญาณเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นอีกมาก นี่เป็นโอกาสดีที่ไม่ได้มาง่ายๆ”
สาวน้อยมองเปลววิบัติอัคคีสุดท้ายที่เหลือ
มีไม่กี่วิธีเท่านั้นที่จะปรับวิญญาณได้ในโลกจิวโจวและวิธีส่วนใหญ่ก็หายไปตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว ดังนั้นการมีโอกาสได้ทำนั้นจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยาก!
ซือหยูพยักหน้าสาวน้อยจึงอัดวิบัติอัคคีเข้าใส่เขาทางหน้าผาก มันส่งตรงไปถึงดวงวิญญาณ
วิญญาณของเขานั้นเหนือกว่าคนในขอบเขตเดียวกันมากมายนักและโดยเฉพาะเมื่อวิญญาณของเขาถูกปกป้องโดยหม้อเก้ามังกร เป็นโชคดีของเขาที่หม้อเก้ามังกรช่วยลดความเจ็บปวดไปมากโข เขาเจ็บน้อยกว่าตอนที่เพลิงเผาร่าง
เขาไม่แม้แต่ขมวดคิ้วเขาเพียงรู้สึกร้อนในหัวเล็กน้อยเท่านั้น
สาวน้อยยิ่งสงสัยเขาขึ้นไปอีกเมื่อมองดูซือหยูนางคิด…ตาแก่นี่มันยังไงกัน?
หลังเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชาวิบัติอัคคีได้สลาไป ซือหยูลมตาขึ้นและรู้สึกมีกำลังวังชา พลังของดวงวิญญาณซือหยูมเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ มันไปยังระดับของภูติระดับสามแล้ว
ถ้าหากเพลิงส่วนมากไม่กระจัดกระจายหายไปวิญญาณของเขาจะเลื่อนระดับขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด แต่น่าเสียดายที่เขาเหลือสองเปลวเท่านั้น
“จะบอกข้าได้รึยังว่าคนผู้นี้ไปที่ไหน?”
สาวน้อยถามซือหยูพลางชี้รูปภาพของซือหยูในอีกรูปแบบหนึ่ง
ซือหยูตอบ
“ตำหนักโลหิต”
ตำหนักโลหิตรึ?สาวน้อยเลิกคิ้ว
“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะมันรู้ว่ายากหลังจากฆ่าลุงจักรพรรดิโลหิตของข้าไปแล้ว สมควรแล้วที่จะไปซ่อนตัวในตำหนักโลหิต”
“เจ้าคิดจะโจมตีตำหนักโลหิตรึ?”
ซือหยูถาม
เมื่อได้ยินคำถามสาวน้อยก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ นางส่ายหน้า
“ข้าจะต้องไม่เปิดเผยตัวตน”
นางแอบทำเรื่องนี้ไม่ให้ราชาเขตกลางรู้โดยแอบหนีมาล้างแค้นซือหยูถ้าหากนางเปิดเผยตัว ราชาเขตกลางจะต้องส่งคนมารับนางกลับไปแน่ แล้วนางก็จะฆ่าซือหยูไม่ได้!
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ตามข้าลอบไปที่ตำหนักโลหิตแล้วแอบหาเขาล่ะ?”
ซือหยูพูดแนะนำ
เพราะสาวน้อยผู้นี้คืออสูรเนรมิตรและซือหยูก็กังวลใจว่าเขาจะเผลอเปิดเผยตัวเองหากไม่ระวัง การให้นางมองความจริงจากเขาและให้เขาดูนางใกล้ๆจะดีกว่า เพราะซือหยูก็ไม่รู้ว่านางรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้างนอกจากรูปลักษณ์
“แอบไปซ่อนที่นั่นรึ?แผนเข้าท่าดีนี่”
สาวน้อยคิดอย่างจริงจังก่อนจะเห็นด้วยกับแผนดูเหมือนว่านางจะไม่ค่อยผ่านโลกมามากนักและค่อนข้างไร้เดียงสา
“ก็ได้พาข้าไปกับเจ้า แทรกซึมสู่ตำหนักโลหิตก่อนจะหาคนคนนั้น ถ้าเจ้าเจอเบาะแส ข้าจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม…”
“เอาล่ะนำข้าไปตำหนักโลหิตเลย!”
ซือหยูขยับมุมปากพลางมองเหนือศีรษะของนาง
“ตำหนักโลหิตจะกล้ารับอสูรเนรมิตรเป็นศิษย์งั้นเรอะ?”
สาวน้อยตกใจนางหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาและจ้องซือหยู
“ข้ารู้แล้วน่า…เจ้าไม่ต้องบอกข้าหรอก”
จากนั้นมงกุฎบนหัวนางก็หายไปนางกดฐานพลังตัวเองเอาไว้เผยให้เห็นเพียงภูติระดับสอง มันดูเท่าๆกับคนอื่น!
เจ้ายังอ่านใจข้าได้อยู่ไหม?ซือหยูมองสาวน้อยและคิดในใจ
เมื่อนางเห็นสีหน้าแปลกๆก็ขมวดคิ้วถามเขา
“เจ้ามองข้าแบบนั้นทำไม?”
ซือหยูแอบโล่งอกดูเหมือนว่าวิชาอ่านใจของนางจะถูกปิดกั้นเมื่อฐานพลังลดลง มิเช่นนั้นเขาคงจะตกอยู่ในอันตรายหากนางอ่านใจเขาต่อไปได้
ซือหยูเริ่มมองดูนางนางมีดวงตากลมโตสีคราม คิ้วโค้งสวย ขนตายาวราวกับพัดบางๆ แก้มนางเรียบเนียนมีเลือดฝาด นางทั้งน่ารักและน่าหลงใหล!
นางตัวสูงและมีส่วนโค้งที่น่าชมเชยชุดสีม่วงที่นางสวมนั้นมิอาจบดบังความน่าประทับใจของเรือนร่างได้ ถ้าซือหยูไม่รู้มาก่อนก็ยากที่จะเชื่อว่าสาวน้อยคนนี้คืออสูรเนรมิตร
เดี๋ยวสิ!ซือหยูนึกขึ้นได้ขณะที่มองชุดสีม่วงของนาง เซี่ยจิงหยูเคยบอกว่าจะมีสีม่วงปรากฏในวิถีของเขา และถ้าเขารับมันเอาไว้ เขาก็จะแก้ไขวิกฤติและเปลี่ยนโชคชะตาได้
เขาคิดมาตลอดว่ามันคือสิ่งของโดยไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นคน!กลายเป็นว่าสาวน้อยคนนี้ได้ลบล้างรอยเพลิงให้เขา ดับไฟวิบัติ และยังช่วยซือหยูให้รอดจากอสูรเนรมิตรทั้งห้า! ดูเหมือนว่าการตัดสินใจให้นางอยู่ใกล้ตัวจะไม่ใช่เรื่องผิดพลาด ตอนนี้เขาไม่ลังเลอีกแล้ว เขาจะต้องให้นางอยู่ใกล้ตัว!
“ข้าชื่อซือหยูเซี่ยนแล้วเจ้าล่ะ?”
ซือหยูถาม
สาวน้อยตอบ
“เรียกข้าว่าฮั่นเสวียนไปก่อนก็แล้วกันข้าอยากเปลี่ยนชื่อ แต่ยังคิดไม่ออก…”
ซือหยูมองชุดสีม่วงน่ารักของนางและยิ้ม
“จื่อเสวียนดีหรือไม่?”
จื่อเสวียนรึ?สาวน้อยมองชุดสีม่วงและยิ้มแย้มตอบ
“ก็ได้ข้าชอบสีม่วง ต่อไปนี้ข้าเป็นจื่อเสวียนก็แล้วกัน”
เช้าวันถัดมาใต้นภารุ่งสาง
นายหยิงซือถูขมวดคิ้วเบาๆค่ำคืนผ่านไปแล้ว แต่ซือหยูก็ยังไม่กลับมา นั่นทำให้นางไม่พอใจ
“หยวนหยิงหยิงคนของเจ้าได้บอกหรือไม่ว่าเหตุใดเขาถึงออกไป?”
นายหญิงซือถูถาม
หยวนหยิงหยิงส่ายหน้าและมองไปยังแม่น้ำห่างไกลนางไม่หลับมาตลอดคืน ดวงตาของนางบวมแดง
ผู้เฒ่าหลี่ขมวดคิ้ว
“นายหญิงเรารอไม่ได้อีกแล้ว ตระกูลเจ้ารอสามวันกว่าจะได้สองคนนี้มา เวลากดดันเราอยู่ ถ้าบ่ายแล้วยังไม่ถึงตำหนักโลหิต เราจะไม่มีเวลาสมัครสอบ!”
นายหญิงซือถูเป็นกังวลเมื่อได้ฟังคำเตือนนางพยายามจัดหาคนด้วยความยากลำบากเพื่อจะหาอีกสองคนที่เหมาะกับหยางเอ๋อ แต่ปัญหาก็ดันเกิดขึ้น! นางไม่พอใจเลย…เขาหนีไปตั้งแต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มรึ?
ในตอนนั้นเอง นางกับผู้เฒ่าหลี่มองขอบนภาพร้อมกัน พวกเขาเห็นคนสองคนกำลังบินเข้ามาใกล้แม่น้ำ
หนึ่งในนั้นคือภูติระดับสองส่วนอีกคนเป็นภูติระดับหนึ่ง เมื่อทั้งสองเข้าใกล้ ความไม่พอใจในใบหน้านางก็หายไปแทนที่ด้วยความยินดี
ซือหยูกลายเป็นภูติในค่ำคืนเดียว!แต่นางก็สงสัย…แล้วผู้หญิงชุดม่วงที่เขาพามาคือใครเล่า?
เมื่อทั้งสองร่อนลงพื้นซือหยูก็ประสานหมัดขอโทษ
“นายหญิงซือถูผู้เฒ่าหลี่ ขออภัยที่ข้าให้รอนาน ข้าไปหาสหายมา ตอนเดินทางได้เจอวับัติสวรรค์ นั่นเป็นเหตุที่ข้ามาช้า”
ผู้เฒ่าหลี่มองจื่อเสวียนและมองนายหญิงซือถู
“นายหญิงข้าเพิ่มอีกสิทธิ์ตามใจไม่ได้หรอกนะ”
นางยิ้ม
“ไม่เป็นไรข้ามีสามสิทธิ์ให้ซือหยูเซี่ยน เขายังเหลืออีกหนึ่งสิทธิ์ จะให้เด็กสาวคนนี้ก็ย่อมได้”
เพราะทีแรกพวกเขาให้คนติดตามมาได้สองคน แต่ซือหยูกลับพาหยวนหยิงหยิงมาแค่คนเดียว สิทธิ์ที่เหลือจึงยังว่างอยู่ คนอื่นๆคิดว่าซือหยูไปหาสหาย มีเพียงหยวนหยิงหยิงที่คิดต่างออกไป
ผู้หญิงน่ารักคนนี้ใครกัน?หยวนหยิงหยิงครุ่นคิดเมื่อสัมผัสได้ถึงภัย
“พี่ซือข้าเป็นห่วงพี่นะ”
หยวนหยิงหยิงเข้ามากอดเขาอย่างสนิทสนม
จื่อเสวียนมองทั้งสองและถามซือหยู
“ทำไมนางเรียกเจ้าว่า’พี่’ล่ะ?”
ซือหยูอธิบายอย่างเรียบเฉย
“เกิดเรื่องตอนที่ข้าบ่มเพาะพลังมันทำให้ภายนอกของข้าแก่เฒ่า แต่จริงๆข้าอายุแค่สิบแปด”
จื่อเสวียนพยักหน้าแทนการรับรู้นางไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะนางก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาหลายครั้ง
“ถ้าอยู่กับครบแล้วก็เดินทางกันเถอะ”
ผู้เฒ่าหลี่ไม่รอช้าก่อนจะใช้หุ่นเชิดนกมุ่งหน้าไปยังตำหนักโลหิต
เมื่อผ่านไปครึ่งวันพวกเขาก็ได้เห็นป้อมปราการตั้งอยู่ในป่าของอาณาเขตตำหนักโลหิต
พวกเขาค่อนข้างประจับใจเมื่อถึงที่หมายป้อมนี้มิได้มีเพียงค่ายกลที่แข็งแกร่งแต่ยังถูกดูแลโดยยอดฝีมือมากมาย ซือหยูพบรังสีพลังของจ้าวเทวะไม่ต่ำกว่าสิบคน
“นี่คือที่ตั้งที่ศิษย์นอกจะอยู่มันอยู่นอกป่าขังภูติ…”
ผู้เฒ่าหลี่กล่าว
“หลังจากที่พวกเจ้าได้เป็นศิษย์ในวันนั้นพวกเจ้าก็จะได้เข้าไปอีกแห่ง ก่อนหน้านั้น พวกเจ้าจะต้องบ่มเพาะพลังในฐานะศิษย์นอก”
ซือหยูถามหยางเอ๋อ
“ป่าขังภูติคือที่ใดรึ?”
หยางเอ๋อกระพริบตาถามด้วยความแปลกใจ
“พี่ซือไม่เคยได้ยินมาก่อนรึ?ป่าขังภูติเป็นป่าเก่าแก่ที่อาณาเขตขยายทั่วทั้งเก้าเขต มันกว้างใหญ่ไร้จุดจบ แม้แต่อสูรเนรมิตรก็หาขอบป่าไม่เจอ”
นางพูดต่อ
“มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมากมายในป่านั้นยิ่งลึกเท่าใดสัตว์อสูรก็ยิ่งแข็งแกร่ง แม้แต่สัตว์อสูรเนรมิตรก็มีอยู่ด้วย มันถูกบันทึกไว้ว่าเคยมีจักรพรรดิอสูรที่นั่น ที่ฐานพลังเหนือกว่าอสูรเนรมิตร!”
จักรพรรดิอสูรเหนืออสูรเนรมิตรรึ?ซือหยูใจสั่นเมื่อได้ฟังเรื่องราว เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามีขอบเขตที่เหนือกว่าอสูรเนรมิตร!
“ตำหนักนอกของตำหนักโลหิตตั้งอยู่ใกล้ป่าขังภูติส่วนตำหนักในจะอยู่ลึกเข้าไปอีก แต่แม้จะลึก ก็นับว่าอยู่รอบนอกของป่าขังภูติ”
ซือหยูพยักหน้าหลังจากหุ่นเชิดร่อนลง พวกเขาก็รวมตัวกันที่เสาศิลา
ซือหยูมองรอบๆและพบเสาศิลาสิบต้นที่นอกตำหนักเสาแต่ละต้นมีรัศมีหลายลี้ มีคนอยู่บนเสาอีกเก้าต้นที่เหลือ ซือหยูรู้จักคนบนเสาต้นหนึ่ง
คนเหล่านั้นคือเจ้าตระกูลชางก่วนและเด็กในตระกูลรวมถึงฉางฟานด้วย พวกเขามองมาทางซือหยู แต่ซือหยูกับหยวนหยิงหยิงได้เปลี่ยนรูปลักษณ์มาแล้ว พวกเขาจึงจำไม่ได้
“นายหญิงซือถูหวังว่าท่านจะยังสบายดีเหมือนครั้งที่แล้ว”
เสียงอันอบอุ่นดังมาจากเสาใกล้ๆ
ซือหยูหันมองชายชุดสีน้ำเงินวัยกลางคนที่ถือพัดหยกเขารูปยิ่งใหญ่ไม่เหมือนใคร แต่ดวงตาของเขานั้นร้อนรนและกำลังมองส่วนบนร่างกายนายหญิงซือถูหลายครั้ง ดวงตานั้นจ้องมองอกอวบใหญ่มานานแล้ว!
DND.774 – อวดดีเอาแต่ใจ
แม้นายหญิงซือถูจะเป็นสตรีกลางคนแล้วแต่นางยังคงสวยและน่าหลงใหล นางจะต้องเป็นสตรีที่น่าทึ่งในยามสาว
นางเป็นดั่งเทพีที่หลายคนนับถือสามีของนางตายในการเดินทางหลังจากที่นางแต่งงานเข้าตระกูลซือถูได้ไม่นาน ตั้งแต่นั้น นางก็จัดการดูแลตระกูลซือถูทั้งหมดด้วยตัวเอง
จนถึงวันนี้เหล่าบุรุษก็ยังคงไล่ตามนางเพราะความงาม เคราะห์ดีที่นางแข็งแกร่งมาก ชายธรรมดามิอาจได้ล่วงเกินนาง
แต่ชายตรงหน้าเป็นข้อยกเว้นเขาคือเจ้าตระกูลเฉา เฉาเอวี่ยหมิง
ในอดีตเขาเป็นศิษย์นอกของตำหนักโลหิตเหมือนกับนาง เขาหลงใหลนางมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ แต่เฉาเอวี่ยหมิงนั้นเจ้าอุบายและมักทรยศ เขาจึงไม่เคยได้รักกลับคืน
นายหญิงซือถูแสดงความอบอุ่นกลับคืน
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้าหรอก”
เฉาเอวี่ยหมิงยิ้มมุมปาก
“นายหญิงซือถูข้าเห็นว่าเด็กตระกูลซือถูมิได้แข็งแกร่งเลย ข้าได้ยินว่าเจ้าเสียไปเยอะเพื่อซื้อยอดฝีมือมากับคนในตระกูลเจ้า ถ้าเจ้าเต็มใจขอความช่วยเหลือจากคนนอกเช่นนั้น ใยไม่ถามข้าสักหน่อยเล่า? ข้ายินดีช่วยเจ้าอยู่แล้ว”
นายหญิงซือถูถอนหายใจแรงนางรู้ว่าถ้านางขอความช่วยเหลือจากเขาจริงๆ เขาก็อาจจะขอสิ่งที่ไม่เกรงใจนาง
“เจ้าไม่จำเป็นหรอกดูแลเด็กตระกูลเจ้าไปอย่างเดียวก็พอแล้ว”
เมื่อพูดจบความไม่พอใจก็แสดงอยู่บนใบหน้านาง แต่เฉาเอวี่ยหมิงกำลังมองหนุ่มสาวตระกูลซือถูเลยไม่สังเกตใบหน้านาง เมื่อมองซือถูหยาง เขาก็เห็นสองคนที่อยู่ด้านหลังนาง ทั้งคู่สวมหมวกไผ่
เขาถาม
“นี่รึคนที่จะดูแลเจ้า?อ่อนแอเกินไปมิใช่รึ ทำไมไม่ให้คนตระกูลข้าเอาหยางเอ๋อไปด้วยเล่า จะได้ปกป้องนางด้วย? ข้ารู้ว่าเจ้ารักลูกแค่ไหน”
คำพูดของเขามีแฝงคำขู่อยู่ด้วยนั่นทำให้ใบหน้านายหญิงซือถูกเยือกเย็น
“เฉาเอวี่ยหมิงอย่าล้ำเส้น”
นางมองหนุ่มสาวตระกูลเฉาอย่างเยือกเย็นและใจสั่นพวกเขามียี่สิบคน ที่อ่อนแอที่สุดเป็นภูติระดับหนึ่ง และที่เหลือก็ยังมีภูติระดับสองห้าถึงหกคน มีภูติระดับสามสองคนและระดับสี่อีกคน พวกเขาคือยอดฝีมือแห่งตระกูลเฉา
แต่สิ่งที่นางตกใจที่สุดก็คือผู้หญิงภูติระดับห้า!นางมีธนูคันยาวอยู่ที่แผ่นหลังและดูเยือกเย็น
“หึหึข้าลืมแนะนำนางให้เจ้าเลย นางเป็นหนึ่งในศิษย์จากตระกูลรอง ทักทายนายหญิงซือถูสิเฉาหลี่”
เฉาเอวี่ยหมิงยิ้มลำพองใจ
เฉาหลี่พยักหน้าอย่างใจเย็นให้นายหญิงซือถูนางไม่ได้แสดงความนับถือแม้แต่น้อย นางยังทำหน้าตาเจ้าเล่ห์เมื่อมองซือถูหยาง
นายหญิงซือถูชักสีหน้าบอกได้เลยว่าเฉาหลี่หมายตาลูกสาวนางและอยากสังหารเพราะซือถูหยางคือสายโลหิตหลักคนสุดท้ายของตระกูลซือถู
“เฉาเอวี่ยหมิงเจ้ากล้าดียังไง?”
แววตานายหญิงซือถูเปี่ยมด้วยรังสีฆ่าฟัน
เฉาเอวี่ยหมิงยิ้มเยาะ
“ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยใยเจ้าร้อนรนเช่นนี้เล่า?”
เขามองซือหยูกับหยวนหยิงหยิงเป็นคราสุดท้าย
“เจ้าสองคนปกป้องนางให้ดีล่ะ”
เมื่อเขาพูดจบก็หันหลังจากไปขณะที่ยิ้มอย่างลำพองใจแต่เขาก็ได้ยินเสียงเรียบเฉยดังมาจากด้านหลัง
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนางหรอกดูแลเด็กตระกูลเฉาของเจ้าให้ดีก็พอ”
คนจากตระกูลหรือสำนักอื่นที่อยู่บนเสามองพวกเขาอย่างเย็นชาโดยไม่มีใครเข้าแทรกแม้แต่ตระกูลชางก่วนเองก็มองดูตระกูลซือถูถูกข่มขู่ พวกเขาทำอะไรไม่ได้เพราะตระกูลเฉานั้นมีลำดับสูงกว่า
ถ้าไม่นับสำนักใหญ่ทั้งสิบแปดตระกูลชางก่วนจะจัดอยู่ในลำดับสอง ส่วนตระกูลเฉาเป็นลำดับหนึ่ง ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะทนมองไม่ได้ พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรอยู่ดี เพราะถ้าหากตระกูลเฉามาเอาคืนเพราะการเข้ายุ่ง พวกเด็กๆในตระกูลเขาก็ต้องเจอปัญหาใหญ่ในการทดสอบแน่
หลายสำนักโกรธตระกูลเฉาแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรแต่กลับมีชายคนหนึ่งกล้าพูดตอบโต้!
พวกเขาทุกคนหันไปมองด้วยความตกตะลึงพวกเขาได้เห็นชายสวมหมวกไผ่ที่ยืนด้านหลังซือถูหยาง
เฉาเอวี่ยหมิงไม่คิดว่าจะมีคนกล้าพูดโต้ตอบเขาเขาจึงมองกลับไปพร้อมกับเห็นรอยยิ้มของซือหยูใต้หมวกนั้น
“หึหึเจ้าดูมั่นใจเหลือเกินนะว่าจะปกป้องหยางเอ๋อได้ เรายังมีเวลาเหลือ ไม่ลองประลองกับเด็กตระกูลเฉาดูสักหน่อยเล่า? มันจะช่วยให้เจ้าผ่านการทดสอบและมีชีวิตรอดได้มากขึ้นแน่”
นายหญิงซือถูใบหน้าเยือกเย็น
“เฉาเอวี่ยหมิงทำไมเจ้าถึงถือสาเด็กอย่างนี้ล่ะ? เจ้าไม่สนใจชื่อเสียงเลยหรืออย่างไร?”
เฉาเอวี่ยหมิงไม่สนใจมันเลย
“นายหญิงอย่าคิดมากน่าอย่างไรก็แค่ประลองสั้นๆกระชับมิตร ไม่ลองสู้กับยอดฝีมือตระกูลซือถูดูล่ะเฉาหู่? แต่เจ้าต้องออมมือล่ะ…อย่าให้เขาตาย!”
ฟึ่บ!
ชายหนุ่มร่างกำยำเดินฝ่าคนออกมาแต่ละย่างก้าวของเขาทำให้พื้นสั่น
เขาเป็นภูติระดับสองแต่จากกำลังภายในที่ปล่อยออกมาก็แสดงให้เห็นว่ากายเนื้อนั้นแข็งแกร่งไม่น้อยกว่าสองแรงช้างครึ่ง ดังนั้นจึงมีภูติระดับสองไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเผชิญหน้ากับเขาได้
“นี่ยังนับเป็นการประลองกระชับมิตรอยู่อีกรึถ้าเจ้าส่งคนที่พลังเหนือกว่าเขามาทั้งระดับ?”
นายหญิงซือถูกัดฟันถาม
ความชิงชังเอ่อล้นในหัวใจนางเฉาเอวี่ยหมิงอยากจะทำให้ตระกูลซือถูต้องอับอายและยังจะได้ลบ้างแค้นจากการที่ไม่ได้รับรักจากนาง
เฉาเอวี่ยหมิงยิ้มตอบ
“ข้าทำไปก็เพราะเป็นห่วงหยางเอ๋อถ้าเขารับมือกับศัตรูเช่นนี้ไม่ได้ แล้วเขาจะปกป้องหยางเอ๋อได้ยังไง?”
เขาพูดอย่างเดียวกับที่นางคิดเพราะเฉาเอวี่ยหมิงเองก็อยากจะได้โอกาสดูพลังของซือหยูให้ชัดๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ล้มเหลวโดยอุบัติเหตุขณะพยายามสังหารซือถูหยาง
ผู้เฒ่าหลี่พูดอย่างใจเย็น
“เจ้าตระกูลเฉาการทดสอบกำลังจะเริ่มแล้ว จะประลองอะไรก็รอจนทดสอบจบเสีย”
ผู้เฒ่าหลี่นั้นเป็นคณะคนที่มารับตระกูลซือถูเขาจึงไม่อยากให้ใครที่มาจากตระกูลถูกรังแกจากคนอื่น นายหญิงซือถูมองเขาด้วยความขอบคุณ
แต่ตอนที่เขาพูดจบก็มีเสียงชายแก่สวมชุดหนังงูและใส่ผ้าคลุมสีเงินหัวเราะ
“ผู้เฒ่าหลี่จัดการประลองก่อนทดสอบก็เพียงทำให้พวกเขาตื่นตัวขึ้นเท่านั้น มันจะเป็นประโยชน์ให้พวกเขาผ่านการทดสอบ เจ้าจะหยุดทำไมเล่า?”
สีหน้าผู้เฒ่าหลี่หม่นหมองเมื่อมองชายแก่ที่พูดเขาคือผู้เฒ่าตงที่ไปรับตระกูลเฉา ลำดับในตำหนักนอกของผู้เฒ่าตงนั้นเหนือกว่าเขา เขาจึงไม่กล้าโต้แย้ง
เมื่อซือหยูเห็นสถานการณ์กระอักกระอ่วนเขาก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ท่านผู้เฒ่าพูดถูกแล้วออกกำลังสักหน่อยก่อนจะเริ่มทดสอบก็ไม่เสียหาย นายหญิง ข้าจะประลอง”
ฟึ่บ!
ซือหยูใช้ปลายเท้าแตะพื้นข้ามทะยานฟ้าไปลงที่เสาตระกูลเฉาอย่างสง่างามซือหยูที่กระโดดเข้าไปอย่างกล้าหาญโดยไม่หวาดกลัวนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึง
“ช่างใจถึงและหาญกล้า!เด็กทุกคนควรเป็นเช่นนี้”
ผู้เฒ่าอีกเสาที่อยู่ฝั่งนายหญิงซือถูถึงกับชมเชยซือหยู
ควรจะเป็นตระกูลเฉาที่ท้าประลองแต่ตอนนี้กลับดูเหมือนตระกูลซือถูเป็นฝ่ายเริ่ม เฉาเอวี่ยหมิงมองซือหยูอย่างใจเย็น
“เฉาหู่เขาดูแข็งแกร่ง เจ้าไม่ต้องออมมือ สู้ด้วยพลังสูงสุดของเจ้าซะ!”
เฉาหู่แสยะยิ้ม
“ตามบัญชา”
เขาก้าวไปข้างหน้ามองซือหยู
“ข้าจะเอาชนะเจ้าในกระบวนท่าเดียว”
เขาตะโกน
“มังกรเหล็กแหวกทะเล!”
เฉาหู่ใช้พลังชีวิตจากทั้งร่างรวมไปที่หมัดทั้งสองและใช้พลังทั้งหมดที่มีที่เทียบเท่าสองกำลังช้างครึ่งแม้เป็นภูติระดับสองก็ต้องบาดเจ็บ ไฉนเลยกับภูติระดับหนึ่ง!
นายหญิงซือถูกำหมัดแม้นางจะเชื่อใจซือหยู แต่นางก็ไม่เคยเห็นเขาต่อสู้ นางหยุดกังวลใจไม่ได้
เมื่อเฉาหู่ปล่อยหมัดเข้าไปซือหยูรู้สึกถึงสายลมรุนแรงที่พัดเส้นผมขาวของเขา แต่ดวงตาที่อยู่ใต้หมวกไผ่ยังคงใจเย็น
เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและอัดพลังชีวิตไปที่มือขวาดันไปข้างหน้าหนึ่งในสองผู้ประลองคือชายหนุ่มร่างกำยำกับชายแก่ร่างผอมบาง ดังนั้นจึงมีความแตกต่างกันมหาศาลระหว่างพลังกาย
ผั่วะ!
เมื่อปะทะกันภาพที่ทำให้ทุกคนตกใจก็บังเกิด เสียงกระดูกแตกลั่นดังจากแขนทั้งสองของเฉาหู่ที่มีพลังมหาศาล เขาถลาไปข้างหลังจนเกือบจะตกจากเสา!
ปั้ง!
เขาหยุดตัวเองไม่ได้ตกได้แต่ก็ล้มก้นกระแทกลงไปอยู่ดีเขาอยู่ในสภาพน่าเวทนา แต่ซือหยูกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดูเหมือนเฉาหู่จะทำอะไรเขาไม่ได้เลย!
ซือหยูดึงมือขวากลับช้าๆและดึงหมวกไผ่ปิดหน้า
“มันจบในกระบวนท่าเดียวจริงๆ!ข้าชนะเจ้าในกระบวนท่าเดียว!”
นายหญิงซือถูดีใจบนใบหน้าซือหยูแข็งแกร่วกว่าที่นางคิด! พลังหมัดของเฉาหู่นั้นเทียบได้กับภูติระดับสาม แต่ซือหยูกลับเอาชนะอย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงบอกได้ว่าเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าภูติระดับสาม!
ผู้เฒ่าหลี่ถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมรอยยิ้มเขารู้สึกสบายใจเมื่อมองผู้เฒ่าตงที่สีหน้าไม่สู้ดี
รอยยิ้มเสแสร้งของเฉาเอวี่ยหมิงหายไปในทันทีเขามองเฉาหู่ด้วยความผิดหวังและหันไปถาม
“เจ้าไม่ป่าเถื่อนเกินไปเรอะ?”
เฉาเอวี่ยหมิงมองซือหยูและเอามือไพล่หลังเขาใช้พลังไร้ลักษณ์กดดันซือหยูช้าๆ แต่ซือหยูก็ไม่ได้เกรงกลัว เขาเพียงรีบถอยหลายก้าวเพื่อเลี่ยงแรงกดดัน
ซือหยูถามอย่างใจเย็น
“เจ้าตระกูลเฉาเจ้าไม่ขอบคุณที่ข้าไว้ชีวิตเขาหรอกรึ? ถ้าเจ้าไม่ตาบอดก็คงเห็นว่าข้าหยุดไปกลางครัน มิเช่นนั้นเด็กตระกูลเจ้าก็ไม่จบแค่แขนหักแน่”
จ้าวเทวะทุกคนพยักหน้าพร้อมกันบางทีภูติอาจจะไม่ทันสังเกต แต่พวกเขามั่นใจ! ในจุดปะทะ ซือหยูใช้พลังเพียงครึ่งเดียว ถ้าเขาไม่ออมมือ ชีวิตของเฉาหู่อาจจะตกอยู่ในอันตรายจริงๆ!
เฉาเอวี่ยหมิงแสร้งทำเป็นไม่รู้และยังไปกล่าวโทษเขาช่างไม่สง่างามเอาเสียเลย!
เฉาเอวี่ยหมิงเริ่มโมโหเมื่อรู้สึกว่าทุกคนกำลังมองเขาแต่เขาก็ยังทำหน้าดั่งสุภาพบุรุษ
“เจ้าหนูเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดจะประลองอีกหรือไม่?”
แต่ก่อนที่นางหญิงซือถูจะได้หยุดซือหยูก็พูดขึ้นมา
“ก็เอาสิทุกคนในตระกูลเฉา หากใครคิดว่าพรสวรรค์มากพอก็ก้าวออกมาสู้กับข้า เช่นนี้เท่านั้นจึงจะได้เห็นพลังของตัวเองอย่างถ่องแท้ เจ้าจะได้รู้ว่าใครในการทดสอบที่ควรดูหมิ่น…และใครที่ไม่ควร!”
ทุกคนเอามือป้องปากเมื่อได้ยินคำพูดอันอวดดี…
“เขาไม่หยาบคายเกินไปหน่อยรึ?ถึงข้าจะดูถูกตระกูลเฉา แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะแสดงความนับถือต่อเฉาเอวี่ยหมิงบ้างไม่ใช่รึ?”
“หึหึก็ดีแล้ว ข้าชอบทีเดียว! ผู้ช่วยที่ตระกูลซือถูเชิญมากล้าออกตัวตอนที่ตระกูลซือถูถูกข่มขู่ น้ำใจเช่นนี้หามิได้ง่ายๆ”
เหล่าหนุ่มสาวตระกูลเฉาโกรธแค้นพวกเขาจ้องมองซือหยูตาไม่กระพริบ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองกำลังโดนดูถูก!
“เจ้าไม่ได้อวดดีเกินไปหรอกรึ?”
สาวน้อยภูติระดับสามที่สีหน้าไม่สู้ดีเดินออกมาถาม