บทที่ 1983+1984

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1983 ข้าผู้เฒ่าชมชอบกินหญ้าอ่อนขบเผาะ

อวี่หังทราบที่มาที่ไปของเรื่องส่วนใหญ่มาจากปากคำของลูกศิษย์เหล่านั้นแล้ว เมื่อกู้ซีจิ่วกล่าวเช่นนี้ เขาจึงทราบเช่นกันว่าอีกฝ่ายพูดความจริง เพียงแต่…

“ท่านผู้สูงศักดิ์จำแลงกายเป็นดรุณีเพื่อช่วยเหลือคนก็แล้วไปเถิด เช่นนั้นเหตุใดต้องใช้ฐานะดรุณีมาบอกว่าจะกราบเจินเหรินอย่างข้าเป็นอาจารย์ด้วยเล่า?” อวี่หังเจินเหรินไม่พอใจ

กู้ซีจิ่วถอนหายใจเบาๆ “ยามนั้นข้าไม่อยากเผยฐานะ ไม่สะดวกจะกลับสู่ร่างเดิม ส่วนที่กราบเจินเหรินเป็นอาจารย์ อันที่จริงก็เป็นความผิดพลาดประการหนึ่ง ข้าอยากรับเนี่ยนโม่เป็นศิษย์จริงๆ จนปัญญาที่เขาไม่ยอมกราบข้าเป็นอาจารย์ ข้าเลยจำเป็นต้องหาเหตุผลมารั้งอยู่ข้างกายเขา ดังนั้นจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนใจ กราบเจินเหรินเป็นอาจารย์ เป็นศิษย์พี่หญิงของเขา”

กล้ำกลืนฝืนใจ?

มุมปากอวี่หังเจินเหรินกระตุกคราหนึ่ง เขาถูกตอกหน้าจนแทบจะพูดไม่ออกอยู่ตรงนั้นแล้ว

นางรู้บ้างหรือไม่ว่ามียุวชนมากน้อยเพียงใดในแผ่นดินนี้ที่ร่ำร้องคร่ำครวญอยากกราบเขาเป็นอาจารย์?!

ตอนนั้นองค์ชายอวิ๋นเยียนหลีผู้ทระนงองอาจก็ต้องการกราบเขาเป็นอาจารย์เช่นกัน ถูกเขาปฏิเสธเนื่องด้วยคุณสมบัติไม่เพียงพอ…

แต่พอเป็นนาง กลับกลายเป็นกล้ำกลืนฝืนใจไปแล้ว

เพียงแต่ ด้วยฐานะของนาง ถ้าต้องกราบเขาเป็นอาจารย์จริงๆ ก็คงต้องกล้ำกลืนฝืนใจโดยแท้…

อวี่หังเจินเหรินรู้สึกเพียงว่ามีลิ่มเลือดอุดอยู่ในลำคอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

กระอึกกระอักอยู่พักใหญ่ถึงได้เอ่ยถาม “ท่าน…ท่านมีเหตุผลอะไรถึงต้องการอยู่ข้างกายเนี่ยนโม่? เขา…เขาเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง…เพิ่งจะหกขวบ…”

น้ำเสียงของอวี่หังเจินเหรินเต็มไปด้วยความคลางแคลงว่า ‘กู้ซีจิ่วเป็นวัวแก่ริจะกินหญ้าอ่อน’ ทำให้กู้ซีจิ่วค่อนข้างเดือดดาลอยู่บ้าง

เธอก้าวเข้าไป อวี่หังเจินเหรินถอยหลังไปอย่างระแวดระแวงทันที เพียงแต่ยังคงนึกห่วงใยศิษย์ จึงฝืนใจเอ่ยตักเตือนไป “ท่านผู้สูงศักดิ์เกรงว่าจะอาวุโสกว่าข้าผู้เป็นเจินเหรินอีกกระมัง? เพียงพอจะเป็นบรรพชนของเนี่ยนโม่ได้แล้ว ส่วนเนี่ยนโม่ถึงแม้จะดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงเด็กน้อยวัยหกขวบคนหนึ่ง ต่อให้ท่านผู้สูงศักดิ์จำแลงกายให้เยาว์วัย เนื้อในกลับผ่านโลกมาอย่างโชกโชนแล้ว ไม่เหมาะสมกับเนี่ยนโม่จริงๆ ใต้หล้านี้มีบุรุษดีๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านผู้สูงศักดิ์อยู่อีกมากมาย ท่านผู้สูงศักดิ์ปล่อยวางเสียเถิด ปล่อยเด็กคนนั้นไป…”

กู้ซีจิ่วทำตัวไม่ถูกแล้ว

มารดามันเถอะ สีหน้า ‘เจ้าอย่าได้ก่อกรรม’ ของอวี่หังเจินเหริน ทำให้เธอมีเพลิงสุมทรวงแล้ว

เพลิงโทสะนี้เผาผลาญความคิดพิเรนทร์นับไม่ถ้วนของเธอออกมา!

กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง เสียงหัวเราะอ่อนหวานสง่างาม “เจินเหรินวางใจเถิด…”

อวี่หังเจินเหรินถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวใจแก่ๆ ที่กระสับกระส่ายอยู่สงบลงกึ่งหนึ่งแล้ว แต่ถ้อยคำต่อมาของกู้ซีจิ่วกลับทำให้ลิ่มเลือดในลำคอของอวี่เหินเจินเหรินพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง

“ข้าผู้เฒ่าไม่นิยมบุรุษวัยเดียวกัน ข้าผู้เฒ่าชมชอบกินหญ้าอ่อนขบเผาะ เด็กน้อยเช่นเนี่ยนโม่นั้นข้าผู้เฒ่าหมายตาแล้ว! ข้าผู้เฒ่าจะอยู่ข้างกายเขา จะปฏิบัติต่อเขาอย่างดี จะรักถนอมเขาดั่งแก้วตาดวงใจ”

หลังจากเอ่ยวาจาสะท้านโลกาประโยคนี้ออกไปแล้ว กู้ซีจิ่วพลันหมุนกาย ใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไปอย่างสง่าผ่าเผย เหลือเพียงอวี่หังเจินเหรินรวมถึงเหล่าศิษย์โขยงหนึ่งของเขาที่ประหนึ่งถูกฟ้าผ่าใส่…

….

กู้ซีจิ่วรู้สึกว่า หากโลกนี้มียาแก้เสียใจภายหลังขายล่ะก็ เธอจะซื้อมากินกำใหญ่แน่นอน!

เธอโมโหอวี่หังเจินเหรินถึงได้เอ่ยวาจาเผ็ดร้อนเช่นนั้นออกมา กลับไม่นึกถึงเลยว่าวาจาเหล่านี้แพร่ออกไปได้อย่างไร แพร่กระจายไปทั่วตรอกซอกซอยในแผ่นดินนี้ปานสายลมฤดูใบไม้ร่วงกวาดพัดใบไม้ที่ร่วงโรย

ด้วยเหตุนี้เมื่อกู้ซีจิ่วตื่นมาในโรงเตี๊ยม ยามที่ลงมากินอาหารด้านล่าง จู่ๆ ก็พบว่าตนกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังมื้ออาหารของผู้อื่นไปเสียแล้ว คึกคักร้อนแรงยิ่งนัก!

“นี่ เจ้าได้ยินหรือเปล่า? คนลึกลับหน้ากากผีต้องตาเสิ่นเนียนโม่บุตรแห่งเทพมารเข้าแล้ว แล่นไปหาที่หุบเขาไร้พันธะด้วยตัวเองเลย ซ้ำยังจำแลงกายเป็นแม่นางน้อยหมายจะไปอยู่ข้างกายเข้าด้วย…”

“อืม ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน คนลึกลับหน้ากากผีผู้นั้นน่าจะอายุหลายพันปีแล้วกระมัง? นาง…ไม่น่าเชื่อว่านางจะหมายตาเด็กน้อยคนหนึ่ง นะ…หนักหนาเกินไปแล้ว!”

“นั่นน่ะสิ ได้ยินว่ารูปโฉมของคนลึกลับหน้ากากผีผู้นั้นน่าตกใจนัก ทำให้คนแยกไม่ออกกระทั่งว่าเป็นหญิงหรือชาย เนื่องจากเรื่องนี้จึงมีชีวิตเป็นแม่เฒ่าคานทอง ไม่มีผู้ใดกล้าหมายปอง…ตอนนี้กลับต้องตาเสี่ยวเนี่ยนโม่เข้า ในวันฉลองครบขวบของเด็กน้อยก็นำกำไลมาหลอกให้ผู้อื่นสวม แล้วยังแล่นไปที่หุบเขาไร้พันธะร้องปาวๆ ว่าจะออกเรือนกับเสี่ยวเนี่ยนโม่อีก ผู้ใดขวางนางจะสังหารผู้นั้นทิ้ง เด็กน้อยคนที่น่าสงสารคนนั้นบิดามารดามิได้อยู่ข้างกาย ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน…”

“เฮ้อ ก็ใช่น่ะสิ บาปกรรมแท้ๆ!”

ข่าวลือมากมายหลั่งไหลเข้าหูมา กู้ซีจิ่วฟังจนสีหน้าถมึงทึงอย่างยิ่ง สำนึกเสียใจจนไม่อาจเสียใจไปมากกว่านี้ได้แล้ว…

————————————————————————————-

บทที่ 1984 วัยกำดัด

จะว่าไป เธอสามารถทำให้เวลาย้อนกลับไปสักครั้งได้ไหมนะ ให้เธอได้เก็บคำพูดกลับมาได้หรือเปล่า?

แย่เหลือเกิน!

เธอนั่งอยู่คนเดียวในห้องรับรองส่วนตัว ฟังเสียงลือเสียงเล่าอ้างด้านนอก พลางล้วงกระจกบานหนึ่งออกมาส่องดู หญิงสาวในกระจกรูปโฉมปานบุปผา ผิวพรรณนวลเนียนปานทารก สดใสปานดอกมะลิเหมันต์ที่เพิ่งแย้มบานในฤดูใบไม้ผลิ…

มองแล้วยังอยู่ในวัยกำดัดอยู่เลย เป็นวัยแรกแย้มพอดี เป็นยายเฒ่าตรงไหนกัน?

เฮอะ พูดมาได้ว่ารูปโฉมเธอทำให้คนตกใจ เด็กสาวในแผ่นดินนี้จะมีสักกี่คนเชียวที่งดงามได้เหมือนเธอน่ะ?!

ไม่มีผู้ใดกล้าหมายปองงั้นเหรอ? นั่นเป็นเพราะสายตาของเธอสูงส่งเสียจนผู้ใดก็ไม่เข้าตาต่างหาก หากว่าเธอต้องการจะออกเรือนกับใครสักคนล่ะก็ แค่แง้มเจตนาเช่นนั้นออกมาเล็กน้อย เธอเชื่อว่าจะมีผู้ชายมากมายที่ต่อคิวรอแต่งกับเธอ…

กู้ซีจิ่วบ่นเงียบๆ อยู่ในใจ

ล้วนต้องโทษเสินเนี่ยนโม่เจ้าเด็กเหลือขอคนนั้น อายุยังน้อยแต่เจ้าเล่ห์นัก ลอบเล่นงานเธอเช่นนี้! ทำให้เธอกลายเป็นเน็ตไอดอลคนใหม่ของดินแดนนี้ไป…

จะว่าไป เธอถามตัวดูแล้วก็ปฏิบัติต่อเสินเนี่ยนโม่ไม่เลวเลย เคยร่วมงานกับเขาหนหนึ่ง นับว่าทำงานร่วมกันได้ราบรื่นดี ทำไมจู่ๆ เขาถึงเย่อหยิ่งโอหังขึ้นมาได้ล่ะ?

จะมีสักกี่คนที่ต้องการพัฒนาวรยุทธ์ให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่พึ่งทางลัด เธอก็รีบมอบทางลัดสายหนึ่งให้เขา ไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กวิปริตคนนั้นจะไม่ปรารถนาเลย!

อันที่จริงเมื่อคืนกู้ซีจิ่วใคร่ครวญดูทั้งคืนแล้ว ใคร่ครวญว่าจะไปหาเสินเนี่ยนโม่อย่างไรดี

เนื่องจากเธอรู้นิสัยของเฟิงชิงซ่างเหรินดี วิชาแพทย์ของซ่างเหรินผู้นั้นเลิศล้ำ ตัวคนก็ประหลาดพิสดารยิ่ง

ขึ้นชื่อเรื่องความโอ๋ศิษย์ ปฏิบัติต่อศิษย์อย่างชิดเชื้อยิ่งกว่าลูกแท้ๆ ไม่รับลูกศิษย์ง่ายๆ แต่ถ้ารับศิษย์แล้วจะทุ่มเทชีวิตจิตใจดูแล ทุ่มเทชีวิตจิตใจเพื่อปกป้อง ศิษย์ของตนล้วนดีทั้งสิ้น เป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก ถ้าศิษย์ของตนข่มเหงผู้อื่น นั่นต้องเป็นความผิดผู้อื่นแน่นอน ถ้าศิษย์ของตนถูกข่มเหง เช่นนั้นก็ต้องข่มเหงกลับไปเป็นสิบเท่า!

พูดง่ายๆ ก็คือ ศิษย์ของตนล้วนดีเลิศประเสริฐศรี ผิดก็คือถูก ศิษย์ของผู้อื่นล้วนผิดไปเสียหมด ถูกก็คือผิดอยู่ดี

หากถูกเขารับเป็นศิษย์แล้ว ผู้อื่นหมายจะช่วงชิงไป นั่นเป็นเรื่องเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนโดยแท้ ยากเย็นยิ่งกว่าทะลวงหัวใจเขาเสียอีก!

และเขาก็มีกฎอยู่ข้อหนึ่งคือ ก่อนที่ศิษย์ของเขาจะสำเร็จวิชาจากอาจารย์ไม่อาจมีเรื่องชู้สาวได้โดยเด็ดขาด! หากถูกเขาพบเข้า เขาย่อมหยิบท่อนไม้มาตีคู่ยวนยางให้พลัดพรากแน่นอน…

และกู้ซีจิ่วก็ได้ละเมิดข้อห้ามสองประการนี้พอดี

แน่นอนว่าความจริงแล้วกู้ซีจิ่วละเมิดข้อห้ามเขาเพียงข้อเดียวเท่านั้น เธอต้องการชิงศิษย์จริงๆ แต่ไม่มีเรื่องชู้สาวกับเสินเนี่ยนโม่เลย

แต่หลังจากข่าวลือนี้แพร่กระจายออกมา เฟิงชิงซ่างเหรินผู้นั้นย่อมต้องหมายหัวเธอไว้ปฏิเสธการไปมาหาสู่อย่างแน่นอน ป้องกันเธอยิ่งกว่าป้องกันหัวขโมยเสียอีก…

ถ้างั้นเธอจะไปหาเสินเนี่ยนโม่ด้วยฐานะอะไรได้อีกล่ะ?

ฐานะเดิมใช้ไม่ได้ จำแลงกายเป็นสาวน้อยปะปนเข้าหุบเขาไปเป็นศิษย์พี่เขาก็ไม่ได้แล้ว เนื่องจากในข่าวลือบอกไว้ชัดเจนว่าเธอเคยจำแลงกายเป็นสาวน้อยเพื่อเข้าใกล้เสินเนี่ยนโม่ ต้องการเป็นศิษย์พี่ของเขาเพื่อลักพาตัวเขา เฟิงชิงซ่างเหรินย่อมต้องระแวดระวังในจุดนี้อย่างแน่นอน ระยะนี้คงไม่รับศิษย์อีก…

หรือจะบุกขึ้นเขาไปชิงตัวตรงๆ เสียเลย? วิชาแพทย์ของเฟิงชิงซ่างเหรินเลิศล้ำ ด้านอื่นอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ได้ อย่างมากก็มีแค่วิชากลไกบนหุบเขาของเขาที่ร้ายกาจ แต่เธอก็เป็นมือดีด้านวิชากลไก กลไกพวกนั้นสำหรับเธอแล้วไม่นับว่าเป็นอย่างไรเลย ถ้าเธอบุกเข้าสำนักไป ก็น่าจะชิงตัวคนแล้วถอยหนีอย่างปลอดภัยได้

แต่ว่า…เกรงว่าเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนั้นจะไม่ยอมตามเธอไปน่ะสิ…

กู้ซีจิ่วล้วงยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นนั้นออกมาอีกครั้ง เธอควรลองติดต่อไปหาเขาดูอีกสักครั้งไหม? บอกกล่าวถึงความจริงที่อยากช่วยเขาฝึกฝนบำเพ็ญ

กู้ซีจิ่วตัดสินใจได้ทันที ติดสนิใจว่าจะลองดู

ค่อยยังชั่ว ครั้งนี้พอเธอเปิดใช้ยันต์แล้ว แสงเพิ่งกะพริบได้สองครา ด้านนั้นก็มีคนกดรับ

————————-