บทที่ 1981+1982

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1981 นี่ช่างน่าพิสดารโดยแท้!

อวี่หังเจินเหรินผงะไปครู่หนึ่ง คล้ายนึกไม่ถึงว่าเธอจะเดินจากไปดื้อๆ เช่นนี้ รีบเอ่ยขึ้นว่า “จ้งเซิง ตอนนั้นเจ้ารับปากแล้วว่าจะกราบอาจารย์”

กู้ซีจิ่วชะงักไป หันกลับมายิ้มหวานคราหนึ่ง “อาจารย์ ข้ากราบท่านไปแล้วไง เพียงแต่ตอนนั้นข้าไม่ได้รับปากนี่ว่าจะรั้งอยู่ที่หุบเขาไร้พันธะ เอาล่ะ ท่านอาวุโสโปรดรักษาสุขภาพด้วย ศิษย์ขอลา” พลางประสานมือ สาวเท้าก้าวออกไป

อวี่หังเจินเหรินตาค้างอ้าปากหวอ สองปีมานี้มีสตรีมาตามตื๊อเสินเนี่ยนโม่ศิษย์รักของเขาไม่น้อยเลย แต่ที่มาตามตื๊ออย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นกู้ซีจิ่วนี้ มีน้อยมากจริงๆ กล่าวได้ว่ามีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

จุดประสงค์ของนางชัดเจนยิ่งนัก ก็คือมาเพื่อเสินเนี่ยนโม่…

เสินเนี่ยนโม่อยู่นางก็มา เสินเนี่ยนโม่ลานางก็หันหลังจาก แม้แต่การปฏิบัติตามพิธีรีตองก็ไม่ยอมทำเลย…

นางเห็นเสินเนี่ยนโม่เป็นอะไร? แล้วเห็นหุบเขาไร้พันธะเป็นสิ่งใดกัน?!

อวี่หังเจินเหรินอยู่มาค่อนชีวิตแล้ว เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้อื่นทำตัวไร้มารยาทใส่อย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ ในใจไม่สบอารมณ์ ใบหน้าหล่อเหลาพลันขรึมลง “จ้งเซิง การเป็นศิษย์ใต้สังกัดของข้าหาใช่กล่าวว่าจะมาก็มา จะไปก็ไปได้!”

เขาดีดนิ้วคราหนึ่ง ประตูห้องโถงพลันปิดลงเสียงดังสนั่น

อวี่หังเจินเหรินก็เป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานของทวีปนี้เช่นกัน โดยเฉพาะความเลิศล้ำแตกฉานในด้านของเวทวิชา แม้แต่มหาเทพเสินจิ่วหลี่ก็มักจะชมเชยเขาอยู่เสมอ มิเช่นนั้นเสินจิ่วหลี่คงไม่ปล่อยให้บุตรชายสุดที่รักของตนมากราบคารวะอยู่ในสังกัดของเขา

เขาบำเพ็ญมาสองพันปีแล้ว พลังวิญญาณคือระดับซ่างเซียนกับอีกหกส่วน ในแดนพ้นโศกนับว่าอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว

บุคคลเช่นนี้ย่อมมีแรงกดดันที่กล้าแกร่งยิ่งนัก ยามปกติเขาก็ไม่ได้มีสีหน้าเมตตาอาทรอยู่แล้ว แต่ยามนี้เมื่อสีหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมลง แรงกดดันที่กล้าแกร่งนั้นย่อมทำให้อากาศทั้งห้องโถงคล้ายว่าจะจับตัวแข็งยะเยือกขึ้นมา ศิษย์ที่มีพลังยุทธ์อ่อนด้อยก็รู้สึกว่าหายใจได้ค่อนข้างลำบาก…

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว กลั้นหายใจอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

ศิษย์ที่มีพลังยุทธ์อ่อนด้อยถูกแรงกดดันกดทับจนหน้าซีดเผือดแล้ว หัวใจเต้นถี่รัว แทบจะหายใจไม่ออกแล้ว

กู้ซีจิ่วค่อยๆ หันกลับมา เลิกคิ้วมองอวี่หังเจินเหริน “นี่เจินเหรินจะฝืนรั้งแขกไว้หรือ?”

ท่าทางของเธอสุขุมยิ่งนัก อาภรณ์พลิ้วไสว ไม่ได้รับผลจากแรงกดดันของอวี่หังเจินเหรินเลย

“จ้งเซิง ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ของข้าผู้ทรงศักดิ์แล้ว มิใช่แขก” อวี่หังเจินเหรินสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อเป็นศิษย์ของข้าแล้ว ข้าก็มีสิทธิ์ควบคุมเจ้า ถ้าไม่อนุญาตให้เจ้าลงเขา เจ้าก็ต้องอยู่บนเขา!”

สาวน้อยที่ปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ถูกความรักครอบงำจนเลอะเลือนแล้ว เขาในฐานะอาจารย์ก็มีหน้าที่ต้องฉุดรั้งนางให้กลับมายังเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่อาจปล่อยให้นางหลงผิดพลาดพลั้งได้

กู้ซีจิ่วหลุบตาลงนิดๆ ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง น้ำเสียงเยือกเย็นแจ่มชัด “ว่ากันตามเหตุแล้ว นี่ก็มีเหตุผลจริงๆ เห็นทีว่าถ้าข้านับถือท่านเป็นอาจารย์ไปตลอด คงไม่อาจลงเขาไปอย่างอิสระเสรีได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็ขออภัยด้วย อวี่หังเจินเหริน ข้าคงทำได้เพียงขับตนออกจากสำนักอาจารย์ ไม่นับถือท่านเป็นอาจารย์แล้ว”

อวี่หังเจินเหรินตกตะลึง

เหล่าศิษย์คนอื่นก็มึนงงไปแล้ว

นี่ช่างน่าพิสดารโดยแท้! เคยได้ยินเพียงอาจารย์ขับศิษย์ออกจากสำนัก ไม่เคยได้ยินเลยว่าศิษย์สามารถขับตนออกจากสำนักได้ด้วย!

สีหน้าเคร่งขรึมของอวี่หังเจินเหรินปานจะมีพายุฝนโปรยปราย “จ้งเซิง นี่เจ้าคิดจะทรยศอาจารย์รึ?! เจ้ารู้รึไม่ว่าการทรยศอาจารย์ในทวีปนี้มีโทษมหันต์? หากมีศิษย์ทรยศอาจารย์ โทษสถานเบาคือทำลายสิ่งที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ โทษสถานหนักคือถูกทั้งแผ่นดินไล่ล่าสังหาร ถูกลงประชาทัณฑ์…”

นัยน์ตาของกู้ซีจิ่วเจือแววเยียบเย็นนิดๆ “อวี่หังเจินเหริน ข้าไม่เคยร่ำเรียนวรยุทธ์ของสำนักท่านเลย แล้วจะทำลายได้อย่างไร?”

อวี่หังเจินเหรินทึ่มทื่อไปแล้ว

เขาถูกตอกหน้าเข้าแล้ว!

กู้ซีจิ่วพลันดีดนิ้วคราหนึ่ง

————————————————————————————-

บทที่ 1982 กระตือรือร้นยิ่งกว่าคาดเดือนหวังดาวเสียอีก

กู้ซีจิ่วพลันดีดนิ้วคราหนึ่ง สุ้มเสียงไม่อนาทรร้อนใจ “ส่วนการถูกทั้งแผ่นดินไล่ล่าสังหาร…ท่านนึกว่าผู้ทรงศักดิ์เช่นข้าจะกลัวหรือ?”

อวี่หังเจินเหรินผงะไปครู่หนึ่ง สัมผัสอันเฉียบไวจับถ้อยคำที่ผิดแผกไปในวาจาของเธอได้ “ผู้ทรงศักดิ์? เจ้าเรียกตนว่าผู้ทรงศักดิ์งั้นหรือ? ที่แท้เจ้าเป็นใครกันแน่? โดยทั่วไปแล้วบุคคลที่จะเรียกตนว่าผู้ทรงศักดิ์ได้ล้วนเป็นปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ แม่นางน้อยคนหนึ่งไม่มีทางเรียกขานตนเช่นนี้เด็ดขาด”

มุมปากของกู้ซีจิ่วหยักขึ้นนิดๆ พลันหมุนกาย ลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งส่องวาบ เธอกลับสู่ร่างเดิมทันที

ครั้งนี้เสื้อผ้าที่เธอสวมสามารถยืดหดตามขนาดร่างกายของเธอได้ ดังนั้นการกลับสู่ร่างเดิมครั้งนี้จึงง่ายดายไร้ความกดดัน

ในขณะที่ร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลง เธอหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งจากมิติเก็บของออกมาสวม…

เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเธอรวดเร็วอย่างยิ่ง ระหว่างที่แสงสาดส่องอยู่ก็ดำเนินขั้นตอนเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหลังจากแสงสีรุ้งวาบหายไป ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกคนก็คือคนในชุดสีม่วงเข้มผู้หนึ่ง บนหน้าสวมหน้ากากภูตผีเอาไว้ ยามที่ยืนสง่าอยู่ตรงนั้น ต่อให้ไม่เอ่ยวาจาก็แกร่งกล้าเหนือธรรมดาแล้ว

อวี่หังเจินเหรินเบิกตากว้างในทันใด ถอยหลังไปสองสามก้าว “เจ้า…เจ้าคือสตรีที่ปรากฏตัวในงานเลี้ยงวันเกิดของเนี่ยนโม่ คือผู้ที่มอบกำไลให้เนี่ยนโม่ใช่หรือไม่?!”

ฉากการปรากฏตัวของกู้ซีจิ่วในปีนั้นแปลกประหลาดเกินไป อวี่หังเจินเหรินย่อมจดจำได้ลึกซึ้ง

ดังนั้นพอยามนี้เธอกลับมาแต่งตัวแบบเดิมอีกครั้ง อวี่หังเจินเหรินจึงจำเธอได้ทันที

กู้ซีจิ่วหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ที่แท้เจินเหรินก็ยังจดจำผู้ทรงศักดิ์เช่นข้าได้” น้ำเสียงก็เป็นเสียงที่ทำให้คนแยกแยะเพศไม่ออกเหมือนในยามนั้น

อวี่หังเจินเหรินถอยหลังไปอีกก้าว พูดไม่ออกเลย

ปีนั้นหลังจากกู้ซีจิ่วมอบของขวัญแล้ว ก็หมุนกายเลือนหายไปทันที อยู่ในตำหนักนภาลัยของมหาเทพกลับคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป สง่างามจนไม่อาจสง่างามไปกว่านี้ได้แล้ว ย่อมดึงดูดให้แขกเหรื่อที่อยู่ในเหตุการณ์พูดคุยถกเถียงกันเป็นการใหญ่ พากันคาดเดาถึงฐานะของนาง

เนื่องจากในอดีตกู้ซีจิ่วก็เคยปรากฏตัวขึ้นบนแผ่นดินนี้อยู่บ่อยๆ ไปมาไร้ร่องรอย ลึกลับพิสดาร ไม่ลงมือก็แล้วไปเถิด แต่พอลงมือก็สะท้านสะเทือน สั่งสอนคนจนบุพการีล้วนจดจำไม่ได้

ยามที่ผู้คนบนทวีปนี้เอ่ยถึงนางมักจะจัดให้นางอยู่ในลำดับไล่เลี่ยกับมหาเทพและจอมมาร รู้สึกว่านางเป็นบุคคลพิสดารที่รองลงมาจากมหาเทพและจอมมาร

ในสายตาของประชาชนในทวีปนี้ ฐานะของคนลึกลับสวมหน้ากากผียังคงสูงส่งนัก ถึงขั้นที่สูงส่งยิ่งกว่าพวกอวี่หังเจินเหรินเสียอีก

อันที่จริงอวี่หังเจินเหรินก็อยากพบนางมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสมาโดยตลอด เขาตามหาคนไม่พบเลย

จึงมักจะรู้สึกเสียดายอยู่เสมอ กลับนึกไม่ถึงเลยว่านางจะปรากฏตัวด้วยฐานะเช่นนี้ ที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าคือเริ่นจ้งเซิงสาวน้อยที่งดงามยิ่งนักผู้นั้นก็คือคนลึกลับหน้ากากผี!

ศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ทึ่มทื่อไปแล้วเช่นกัน มองเธอที่อยู่กลางห้องโถงอย่างตกตะลึง ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยออกมาเลยชั่วขณะ

แม้แต่ชิงหลัวที่ยโสโอหังเสมอมาก็อ้าปากหวอนิดๆ ไม่กล้าเอ่ยวาจาอีกต่อไป

“อวี่หังเจินเหริน ท่านคิดว่าข้ายังต้องกราบท่านเป็นอาจารย์อยู่หรือไม่?”

อวี่หังเจินเหรินทั้งโศกเศร้าและขุ่นเคืองยิ่งนัก เขานิ่งทื่อไปพักใหญ่ ถึงได้เอ่ยว่า “ท่านผู้สูงศักดิ์ย่อมไม่จำเป็นต้องกราบผู้เฒ่าอย่างข้าเป็นอาจารย์ แต่ท่านผู้สูงศักดิ์จำแลงตนเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ เจตนาจะหาความบันเทิงจากผู้เฒ่าเช่นข้ากระมัง?”

มารดามันเถอะ มิน่าล่ะวรยุทธ์ของแม่หนูน้อยถึงสูงส่งจนน่าตะลึง ที่แท้นี่ก็เป็นมายาลักษณ์ ทำให้เขายินดีปรีดาอย่างเสียเปล่าไปสามวัน ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับอยู่สามวัน ตั้งตารอให้นางมา กระตือรือร้นยิ่งกว่าคาดเดือนหวังดาวเสียอีก กลับไม่นึกเลยว่า…

กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “เจินเหรินกล่าวผิดไปแล้ว ข้าผู้ทรงศักดิ์จำแลงกายเป็นเด็กหญิงเพียงเพื่อช่วยเหลือเหล่าศิษย์ตัวน้อย หลอกลูกน้องของเจ้าวังน้อยผู้นั้น ปะปนเข้าไปในวังพฤกษาแห่งนั้นก็เท่านั้น มิได้มีเจตนาจะหลอกลวงท่าน ย่อมมิต้องพูดถึงการหาความบันเทิงเลย…”

—————————————-