ตอนที่ 63-1 ความจริงเปิดเผย

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

พระตำหนักดงบีถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากพูดอะไร ไหนจะใบหน้าที่อึมครึมและกิริยาที่แข็งค้างของข้ารับใช้แต่ละคนที่ยิ่งก่อให้เกิดบรรยากาศตึงเครียดเข้าไปอีก ที่หน้าประตูตำหนักดงบีมีแม่นมที่กำลังเดินไปมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล นางเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูไม่หยุด เอาแต่ชะเง้อคอมองไปที่ตรอกทางเดินซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือที่กุมไว้ที่หน้าอกของนางในตอนนี้นั้นกำลังค่อยๆดึงทึ้งเล็บตัวเองอย่างกระวนกระวาย

 

 

“พระชายา พระชายากโยซึล จะทรงกลับมาเมื่อใดกันเพคะ”

 

 

แม่นมเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้า แสงตะวันจากฝั่งตะวันตกย้อมท้องฟ้าจนเป็นสีแดง หว่างคิ้วของนางขมวดแน่นเมื่อเห็นดังนั้น ท่าไม่ดีแล้ว ตอนที่กโยซึลออกจากพระตำหนักดงบีไปเป็นตอนที่พระอาทิตย์ยังอยู่กลางท้องฟ้า

 

 

“ทรงไม่เคยออกไปนานขนาดนี้นะ”

 

 

แต่ไหนแต่ไรกโยซึลไม่เคยพาคนในตำหนักไปด้วย แม้กระทั่งแม่นมเองก็ยังถูกให้รอที่ตำหนัก แล้วนางก็ออกไปคนเดียว นี่คือการออกไปนอกตำหนักแบบลับๆของกโยซึล และทุกครั้งในเวลาอย่างนี้แม่นมก็ไม่เคยถามว่านางไปที่ใด กโยซึลเองก็ไม่เคยต้องบอก เพราะต่างก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่านางไปที่ไหนและทำอะไร มันเป็นสัญญาลับๆ ที่รู้กันระหว่างกโยซึลและแม่นมนั่นเอง

 

 

“แม่นม เราออกไปเดินเล่นคนเดียวสักพักนะ”

 

 

“ต้องกลับมาก่อนเลยยามโหย่วนะเพคะ”

 

 

“อืม เราไม่กลับช้าหรอก เราเคยกลับช้าด้วยหรือ”

 

 

วันนี้กโยซึลเองก็ให้คำมั่นไว้ก่อนออกไป ทว่าแม้ใกล้จะเลยยามโหย่ว[1] ที่ได้สัญญากันไว้ก็แล้ว ตรงปากทางเข้าตำหนังดงบีก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง ใจของแม่นมที่ออกมายืนรอกโยซึลนั้นค่อยๆ สั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ

 

 

การออกไปนอกตำหนักอย่างลับๆ ของกโยซึลนั้นมักจะมีอยู่สองกรณี

 

 

กรณีแรกคือการไปเดินเล่นแถวสวนหลังวังฝ่ายนอกแล้วกลับ กรณีนี้จะไม่มีการกำหนดเวลากลับเพียงแต่นางมักจะกลับมาก่อนตะวันลับฟ้าเสมอ บางครั้งก็พบกับคนผู้หนึ่งโดยบังเอิญบ้าง หรือไม่นางก็จะใช้เวลาอยู่ที่นั่นคนเดียว อีกกรณีหนึ่งคือแม่นมส่งสัญญาณควันเป็นการนัดหมายลับๆ ระหว่างตำหนักดงบีและตำหนักนัมชอน ในกรณีนี้มักจะเป็นการนัดเจอกันยามวิกาล เป็นการออกไปเวลาสั้นๆ ราวหนึ่งเค่อ[2] ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้หลังจากที่แม่นมส่งสัญญาณ กโยซึลก็ออกจากตำหนักดงบีไปตั้งแต่ตอนกลางวัน แม่นมเองก็คิดอยู่ว่าเป็นเรื่องแปลก ทั้งๆ ที่หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีหูตาสอดส่องมากมาตลอดแท้ๆ  นึกไม่ถึงว่ายันมืดค่ำแล้วกโยซึลจะยังไม่กลับมาอีก

 

 

“พระชายา หรือว่า…คงจะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอกใช่ไหมเพคะ”

 

 

แม่นมกุมสองมือแน่น มองไปที่ตรอกทางเดิน พลางพึมพำด้วยความกังวลใจ ข้ารับใช้ในตำหนักดงบีต่างก็เฝ้ารอคอยเจ้าของตำหนักที่หายไปอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

ในที่สุดก็พ้นยามโหย่ว เข้าสู่ยามซวี[3] ในปลายฤดูร้อนอย่างนี้ช่วงเวลากลางวันก็ค่อยๆ สั้นลงแล้วเข้าสู่ความมืด ตอนนี้ไม่อาจจะรออยู่เฉยได้อีกต่อไปแล้ว

 

 

“ถึงตอนอยู่ฮวากุกจะทรงเถลไถลไปบ้าง แต่พระองค์ไม่เคยผิดสัญญามาก่อน”

 

 

อยู่ดีๆ ความรู้สึกพะวงที่ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่แล้วก็จู่โจมขึ้นมากะทันหัน ในที่สุดแม่นมก็เดินออกจากตำหนักดงบี แม้จะไม่รู้ว่ากโยซึลอยู่ที่ใด แต่ต่อให้ต้องพลิกพระราชวังก็จะต้องหานางให้พบให้ได้ แม่นมเริ่มหาจากสวนหลังวังฝ่ายนอก เนื่องจากที่นั่นเป็นสถานที่โปรดของกโยซึล แต่ต่อให้หาที่สวนไปแล้วถึงสองรอบก็ยังไม่พบแม้แต่ชายเสื้อของกโยซึลเลย

 

 

“จะทำอย่างไรดี”

 

 

ขนาดสถานที่เดียวที่พอจะคาดเดาได้ก็ยังไร้เงาของนาง แม่นมจึงเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ววัง

 

 

“เจ้าคือแม่นมของชายามิใช่หรือ”

 

 

ทันทีที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย แม่นมก็ตัวแข็งค้าง เป็นเสียงของผู้ที่นางไม่อยากเจออย่างเด็ดขาดในตอนนี้ แม่นมทำหน้าราวกับคนที่กำลังจะสิ้นชีพ นางค่อยๆ หันกลับไปโค้งตัวลงอย่างช้าๆ

 

 

“ท ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี ถวายบังคมฝ่าพระบาทฮวางแทจาเพคะ”

 

 

ผู้ที่เรียกแม่นมไว้นั้นก็คือบีพาอัน

 

 

หลังจากสะสางกิจที่พระราชวังกลางเสร็จ บีพาอันก็กำลังจะเดินทางกลับตำหนักตน แต่เมื่อพบกับแม่นมของกโยซึลที่กำลังเดินเตร็ดเตร่ไปมาในที่แบบนี้ เขาก็เรียกนางไว้ตามลางสังหรณ์ของตนเอง

 

 

สายตาอันเฉียบคมของบีพาอันมองปราดลงไปที่แม่นมอย่างรวดเร็ว

 

 

“นึกว่าแม่นมของชายาจะคอยตามดูแลชายาราวกับเป็นมือเป็นเท้าเสียอีก เหตุใดจึงมาเดินเตร็ดเตร่คนเดียวอยู่ในพระราชวังได้ แถมยังมีท่าทีร้อนรนนัก”

 

 

สะดุ้ง แม่นมหยุดทำตัวน่าสงสัย แล้วกลับมาทำท่าทีสงบดังเดิม

 

 

น้ำเสียงของบีพาอันนิ่งเรียบ แต่สำหรับแม่นมแล้วกลับรู้สึกว่ามันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเสียงตวาดใด นางเลียริมฝีปากที่แห้งผากไปมาแล้วตอบทั้งตัวที่สั่นเทา

 

 

“ร เรื่องนั้น…ม หม่อมฉันออกมาตามคำเรียกของพระชายาเพคะ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้น แล้วชายาล่ะ”

 

 

“พ พระชายาฮวางแทจา กโยซึล…”

 

 

คำพูดของแม่นมขาดหายไป นางกล้าดีอย่างไรถึงไม่ยอมตอบคำถามฮวางแทจาผู้แสนเข้มงวดในทันที แต่ไม่รู้เป็นว่าเพราะตื่นเต้นหรืออย่างไร ตอนนี้ในหัวนางขาวโพลนไปหมด ไม่สามารถหาคำตอบใดมาให้เขาได้ บีพาอันที่รออยู่เงียบๆ มาตลอดถามขึ้น

 

 

“ชายาอยู่ที่ใด”

 

 

“เรื่องนั้น พระชายาฮวางแทจาทรง…ทรงอยู่ที่พระตำหนักเพคะ”

 

 

“อย่างนั้นหรือ” บีพาอันตอบอย่างไม่ใส่ใจ น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไร้ความสนใจใดๆ นั่นทำให้แม่นมรู้สึกสงบใจขึ้นในทันที

 

 

“เราควรจะไปเยี่ยมเยียนชายาบ้างหลังจากที่ไม่ได้ไปนาน”

 

 

“พ เพคะ?”

 

 

“นำทางเราไป”

 

 

แม่นมที่กำลังตกใจเงยหน้าขึ้นมาปะทะสายตาเข้ากับบีพาอัน ทว่าบีพาอันนั้นกลับมองไปที่นางด้วยใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด หน้าของทั้งสองแน่นิ่งราวกับรูปปั้น เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่มีแม้แต่อารมณ์หรือเศษเสี้ยวความรู้สึกใดแล้วนั้น แม่นมก็เกิดอาการหวาดกลัวอย่างสุดขีด

 

 

“หรือเจ้าจะให้เราเดินนำ”

 

 

“ฝ ฝ่าพระบาทเพคะ!”

 

 

ยามบีพาอันก้าวขาไปได้หนึ่งก้าว แม่นมก็ได้สติขึ้นมา นางหมอบตัวจนติดกับพื้นเอื้อมไปจับชายกางเกงตรงข้อเท้าของบีพาอันไว้

 

 

“หม่อมฉันสมควรตายเพคะ”

 

 

“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น” บีพาอันยังคงถามด้วยเสียงเรียบราบ ไม่ว่าจะสีหน้าหรือน้ำเสียงของเขาต่างไม่ได้มีความหวั่นไหวใดเลยสักนิด จะมีก็แต่แม่นมที่สั่นเป็นเจ้าเข้า เผยความรู้สึกนึกคิดออกมาทั้งหมดอย่างควบคุมไม่ได้ นางคอแห้งผาก รู้สึกราวกับว่ามีทรายอุดแน่นอยู่เต็มลำคออย่างไรอย่างนั้น

 

 

“ความจริง ความจริงแล้ว…พระชายาฮวางแทจา”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ย่ามโหย่ว หมายถึงช่วงเวลาตอน5 – 6 โมงเย็น

 

 

[2] เค่อ ช่วงเวลาทุก15นาที

 

 

[3] ยามซวี หมายถึงช่วงเวลาค่ำ1ทุ่ม – 3ทุ่ม