ไม่แน่ว่าความจริงแล้วอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับกโยซึลจริงๆ ก็เป็นได้ ดังนั้นการขอความช่วยเหลือจากบีพาอันจึงเป็นสิ่งที่ตนควรทำ แม่นมพยายามหาข้อโต้แย้งภายในใจ แต่เพื่อที่จะไม่ต้องรู้สึกอึดอัดและหวาดกลัวอีกต่อไป สุดท้ายนางจึงเลือกที่จะพูดขอร้องออกมาแทน
“พระชายากโยซึล…ยังไม่ทรงกลับมาเพคะ ดูท่าแล้ว ดูท่าแล้วพระชายาอาจจะประสบกับเรื่องไม่ดีอยู่ที่ใดในพระราชวังก็เป็นได้…”
“ว่าอย่างไรนะ” บีพาอันถลึงตามองไปที่แม่นม “ที่พูดมาเป็นความจริงหรือ”
“พ เพคะ เรื่องแบบนี้หม่อมฉันจะโกหกได้อย่างไร”
“นางออกจากตำหนักดงบีไปเมื่อไร”
“เมื่อยามอู่ พระชายาตรัสว่าจะออกไป ด เดินเล่น…แล้วจะกลับมาก่อนยามโหย่วเพคะ”
“ตอนนี้มันยามซวีแล้วมิใช่หรือ” บีพาอันตระโกนบอกกับเหล่าทหารฝ่ายในที่ยืนเรียงกันอยู่ด้านหลัง
“เรียกทหารองครักษ์มารวมตัวกันเดี๋ยวนี้!”
***
ดวงตะวันที่ภูเขาลับฟ้าไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงกโยซึลและรูแฮนั่งเคว้งคว้างอยู่ในความมืด สายตาที่ปรับตัวเข้ากับความมืดค่อยๆ มองเห็นสิ่งต่างๆ ในพงป่าขึ้นอย่างลางๆ
แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าความมืดนั้นก็คือ…
“ฮัดชิ้ว!”
กโยซึลจามจนไหล่สั่น สองมือของรูแฮวางโอบที่สองไหล่ของนางทันที ร่างเล็กของกโยซึลสั่นระริกเพราะความหนาว ทันทีที่แสงตะวันลาลับ บนภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าก็หนาวจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ถึงจะยังอยู่ในฤดูร้อน แต่อุณหภูมิบนเขาลดลงเร็วมาก หนาวมากหรือไม่”
“หนาว น นิดหน่อย”
รูแฮใช้มือลูบถูขึ้นลงที่ต้นแขนของกโยซึลไปมาเร็วๆ กโยซึลใส่เสื้อผ้ามาน้อยชิ้น มีเพียงกระโปรงไร้แขนเสื้อที่พันรอบอกกับเสื้อตัวนอกตัวบาง เป็นชุดที่เหมาะกับช่วงกลางวันในฤดูร้อน แต่ไม่เข้ากันเอาเสียเลยกับยามค่ำมืดบนภูเขาที่อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเป็นหวัดง่ายไม่ใช่หรือ”
“อึก…”
กโยซึลสะอึกด้วยความละอายใจ ปฏิเสธอะไรออกไปไม่ได้ เนื่องจากนางเคยโดนฝนหน้าร้อนแล้วก็ป่วยตลอดฤดูกาล แต่แน่นอนว่านางไม่ยอมให้ตัวเองดูอ่อนแอ นางยืดไหล่กว้างพร้อมเชิดหน้าขึ้น
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เอาล่ะ เรามาลองคิดหาทางกลับพระราชวังกันเถอะ”
“อย่างน้อยก็ใส่นี่ก่อนเถิด”
รูแฮถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองมาคุมไหล่ให้กโยซึล ร่างของนางเย็นเฉียบไปหมด เสื้อคลุมตัวนอกของรูแฮนั้นยังมีความอุ่นจากตัวของเขาอยู่ เมื่ออุณหภูมิลดลงกโยซึลเองก็สั่นเทาโดยที่นางก็ไม่รู้ตัวเองเช่นเดียวกัน ยามได้เห็นท่าทีนั้น รูแฮก็เผยรอยยิ้มออกมา ทุกอากัปกิริยาของนางล้วนแต่ดูน่ารักน่าเอ็นดูทั้งสิ้น กโยซึลทำเป็นไม่เห็นรอยยิ้มนั้นของรูแฮแล้วกลับไปหาหนทางกลับพระราชวัง
“ถ้าเดินตามกำแพงเมืองไป เราอาจจะเจอประตูพระราชวังก็เป็นได้”
“…นั่นก็จริงอยู่”
“เหตุใดอยู่ดีๆ ประตูนั้นถึงถูกปิดกันนะ”
รูแฮพยายามทั้งผลักทั้งดึงประตูอีกครั้ง ทว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรประตูก็ไม่แง้มออกเลยสักนิด รูแฮใช้เท้าถีบก็แล้ว แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด
“ฮะ ฮัด ชิ้ว!”
กโยซึลยังคงจามอยู่เรื่อยๆ นางดึงเสื้อตัวนอกของรูแฮให้กระชับขึ้น รูแฮที่มองกโยซึลไอด้วยความเป็นห่วง แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ความมืดค่อยๆ ปลกคลุมเงาต้นไม้จนมิด ร่างของรูแฮเองก็เริ่มสั่นเล็กน้อยแล้วเหมือนกัน หากปล่อยไว้อย่างนี้คงได้ตายเพราะความหนาวเป็นแน่
“อย่างไรเสีย ค่ำมืดเช่นนี้ต่อให้เดินตามกำแพงลงไปก็หาทางไปต่อไม่ได้ ก่อนอื่นเราคงต้องหาที่หลบหนาวกันก่อน”
“อ อย่างไรหรือ”
“ข้าจำได้ว่าไม่ไกลจากตรงนี้มีเพิงกระท่อมของผู้ดูแลเขาอยู่”
รูแฮยื่นมือออกมา กโยซึลจับมือเข้าไว้ กลางคืนในหุบเขาทำให้มือของทั้งสองเย็นเฉียบ แต่เมื่อมือของทั้งคู่ประสานกัน อุณหภูมิก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ในความมืดนี้สิ่งที่พึ่งพิงได้มีเพียงฝ่ามือของกันและกันเท่านั้น กโยซึลกับรูแฮจับมือกันแน่น ค่อยๆ พากันเดินไป ไม่รู้ว่าเดินสะเปะสะปะในป่ามาได้นานเท่าไร แต่ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นกระท่อมลางๆ อยู่ระหว่างเงาของต้นไม้
“ดูเหมือนจะเป็นตรงนั้น” รูแฮก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เมื่อเข้าไปใกล้ก็ได้เห็นเพิงไม้ที่ใกล้จะพังอยู่รอมร่อ ซากประตูหักที่ยังห้อยค้างเติ่งอยู่ ผนังฝั่งหนึ่งพังลงไปแล้ว หลังคาไม้จึงเอียงกระเท่เร่อยู่
“ดูเหมือนหลังจากที่พระราชวังสั่งห้ามเข้าออกเขามกอัก ผู้ดูแลก็ทิ้งกระท่อมนี้ไป เห็นทีที่นี่คงจะอยู่มาได้เกินสิบปีแล้ว…”
“ถึงอย่างนั้นก็ยังโชคดี อย่างน้อยก็ยังกันลมหนาวบนเขาได้” กโยซึลแสดงความเห็นในแง่ดีออกมาอย่างกล้าหาญ สายตาของรูแฮที่มองไปที่กโยซึลนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ถูกของเจ้า ถึงจะเป็นแค่กระท่อมแต่ก็นับว่าดีมากแล้ว” ทันทีที่รูแฮยกประตูที่หักง่อนแง่นออก
กโยซึลก็เดินเข้าไปข้างใน กลิ่นไม้อับชื้นที่อยู่มานานกับฝุ่นที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศลอยเข้าจมูก
แอ๊ด รูแฮที่เข้ามาข้างในเรียบร้อยแล้วก็ปิดประตูทางเข้าไว้อย่างดี ถึงมันจะกันอากาศหนาวเย็นตอนกลางคืนได้ แต่นั่นก็ทำให้ภายในยิ่งมืดขึ้นไปอีกเช่นกัน
ในความมืดอันเลือนราง รูแฮกับกโยซึลค่อยๆ เข้าไปหาที่นั่งของตัวเอง แม้อากาศจะเย็น แต่ลมหายใจกลับร้อนผ่าว เหล่าแมลงพงหญ้าเปล่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในความมืด เสียงเล็กสดใสชวนให้ใจไหวสั่น แม้แต่ลมหายใจก็พลอยรู้สึกหนักอึ้งไปด้วย
ด้านซ้ายของกโยซึล ด้านขวาของรูแฮ ล้วนแล้วแต่รู้สึกกระสับกระส่าย มือที่วางอยู่ข้างๆ ประสานเข้าด้วยกันเกิดเป็นความรู้สึกอันแปลกประหลาด ท่ามกลางช่วงเวลาสุดแสนประหม่านั้น
“ฮัดชิ้ว!” และแล้วกโยซึลก็จามขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“ยังหนาวอยู่หรือ” รูแฮถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพียงแค่เสียงของเขาก็ทำให้หัวใจของกโยซึลตกไปอยู่ตาตุ่มได้
“พอดีว่ามัน…” ไม่รู้ทำไมแต่นางกลับรู้สึกเขินอาย กโยซึลยกไหล่แล้วซุกคอลงต่ำ แต่แล้วนางก็รู้สึกได้ถึงมือที่วางลงบนไหล่
สะดุ้ง ท่าทางตกใจของนางทำให้มือคู่นั้นหยุดลง แต่แล้วรูแฮก็โอบไหล่ทั้งสองข้างของกโยซึลอย่างนุ่มนวลแล้วดึงเข้ามาสู่อ้อมกอดอีกครั้ง
“ฮา…” ไม่รู้ว่าลมหายใจของใครที่ปล่อยออกมาและหายไปกับอากาศอย่างช้าๆ
“ถ้าอยู่ใกล้กันจะช่วยคลายหนาวได้” แน่นอนว่ารูแฮเองก็หาข้อแก้ตัวในยามเขินอาย ช่องว่างระหว่างเขากับกโยซึลได้หายไปเรียบร้อยแล้ว ในความมืดมิดยังมีเสียงหัวใจเต้นโครมครามของคู่รักที่นั่งกอดกันอยู่ ลมหายใจสั่นรินรดกันอย่างช้าๆ
ปัง!
ณ ตอนนั้นเอง เสียงพังทลายดังสนั่นพร้อมกับประตูที่กระเด็นหลุดออกมาดังขึ้น กโยซึลและรูแฮตกใจเงยหน้าขึ้น มีเงาร่างหนึ่งยืนปรากฏกายในความมืด
“ชายา”
เขาคือบีพาอัน
น้ำเสียงของเขาคมกริบจนน่าหวาดผวา กโยซึลกับรูแฮที่ยังคงอยู่นั่งกับที่มองไปเห็นบีพาอันที่ปรากฏตัวมาอย่างกะทันหันทันที
ในความมืดมิด สายตาที่ลุกโชนดั่งกองไฟของบีพาอันจับจ้องไปที่ร่างของทั้งสองราวกับจะแผดเผาให้สิ้นซาก