ตอนที่ 64-1 แสงโคมไฟ

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ภายในพระราชวังวุ่นวายอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน ค่ำคืนอันเงียบสงัดถูกปลุกขึ้น เหล่าข้ารับใช้และทหารราชองค์รักษ์ต่างอลหม่านเดินกันไปมา โคมไฟแต่ละดวงค่อยๆ ถูกจุดสว่าง พร้อมกับฝีเท้าที่รีบเร่งหาดูทุกที่ของพระราชวังชนิดที่ว่าไม่มีซอกมุมไหนรอดพ้นสายตาไปได้

 

 

เปลวโคมไฟไหวระริกไปทุกแห่ง เสียงอึกทึกลุกลั่นชวนใจผวายามได้ยิน ผู้ที่ปลุกกลางดึกของพระราชวังให้แตกตื่นนั้นก็คือบีพาอัน

 

 

“ยังไม่มีข่าวจากตำหนักดงบีหรือ”

 

 

“พะยะค่ะ ฝ่าพระบาทฮวางแทจา” ขันทีตอบคำถามบีพาอันอย่างนอบน้อม น้ำเสียงของบีพาอันยังสุขุมเฉกเช่นในยามธรรมดา หากแต่ว่านี่เป็นการถามรอบที่สามเข้าไปแล้ว

 

 

“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี ฝ่าพระบาทฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ ประตูกลาง ประตูตะวันออก และประตูตะวันตกต่างก็หาจนหมดแล้ว ไม่มีที่ใดยืนยันการเข้าออกของพระชายาฮวางแทจาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ทหารราชองครักษ์นายหนึ่งรีบวิ่งมาแจ้งอย่างรวดเร็ว แต่ก็ดั่งที่คาด ไม่มีข่าวสารที่เป็นประโยชน์อะไร บีพาอันยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์ จากนั้นทหารนายนั้นจึงถอยไป

 

 

บีพาอันเหม่อมองเหล่าโคมไฟแดงประกายในความมืด พวกเขาตามดูยันซอยเล็กน้อยในพระราชวังเพื่อที่จะหาร่องรอยของกโยซึล ยามมองดูดวงไฟที่สว่างตั้งแต่พระราชวังกลางลากยาวไปถึงทิศตะวันตกแล้วนั้น บีพาอันก็เริ่มกำหมัดขึ้น

 

 

“ในพระราชวังที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา นางหายตัวไปได้อย่างไรกัน” ไม่รู้ว่าเสียงพร่ำบ่นอันแผ่วเบานั้นเกิดขึ้นจากความโกรธหรือความกังวลใจ หากแต่สายตาเขายังเย็นเยือก และใบหน้ายังคงดูสงบนิ่งอย่างเช่นทุกครา แถมน้ำเสียงก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าเขากำลังว้าวุ่นเลยแม้แต่น้อย

 

 

ใครๆ ก็คิดไม่ถึงว่าบีพาอันจะกักตัวข้ารับใช้ของตำหนักดงบีไว้เพื่อไม่ให้ข่าวรั่วไหลออกไปข้างนอก จากนั้นค่อยเรียกทหารราชองครักษ์มาดำเนินการตามหาตัวกโยซึล เพราะคำนินทาก็คงเกิดขึ้นเร็วกว่าการหานางตัวพบเป็นแน่ คำนินทาที่ทำให้ตำหนักดงบีเสื่อมเสียก็ทำให้เกียรติของเขาเสื่อมเสียเช่นกัน เขาจึงคอยควบคุมเรื่องในพระราชวังด้วยตัวเอง

 

 

“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี ฝ่าพระบาทฮวางแทจาเพคะ” แม่นมเดินเข้ามาหาบีพาอันอย่างเงียบๆ ใบหน้าของนางซีดเผือด

 

 

“ได้ข่าวบ้างหรือยัง”

 

 

“เรื่องนั้น…” แม่นมลำบากใจที่จะพูด นางลังเลอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็พูดออกมาก่อนที่บีพาอันจะหมดความอดทน “ทางวังตะวันตกเองก็บอกว่าไม่ทราบว่าฝ่าบาทฮวางเซจาอยู่ที่ใดเหมือนกันเพคะ”

 

 

ว่าแล้วเชียว ในคืนที่กโยซึลหายไปเขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรูแฮด้วย หางคิ้วข้างหนึ่งของบีพาอันกระตุกอย่างเป็นลาง

 

 

“ตั้งแต่เมื่อใด”

 

 

“เมื่อตอนกลางวันเพคะ…”

 

 

“แล้วชายาออกจากตำหนักดงบีไปเมื่อไร”

 

 

“ก็เมื่อตอนกลางวันเพคะ…”

 

 

แม่นมหลับตาปี๋ การให้คำตอบบีพาอันได้เพียงคำตอบเดียวแบบนี้มันช่างเป็นการทรมานนางเหลือเกิน ในระหว่างที่แม่นมกำลังจมอยู่ในความหวาดกลัวนั้น บีพาอันกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอันใดเลย เขาเพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วทอดสายตามองไปไกล

 

 

ภายในพระราชวังที่กำลังเต็มไปด้วยบรรยากาศคุกรุ่น ข้ารับใช้กับทหารราชองครักษ์เคลื่อนไหวอย่างไร้เสียงฝีเท้า และเหล่าสายตาที่สอดส่องมาจากที่ไหนสักแห่งเหนือความมืด สิ่งเหล่านี้ทำให้บีพาอันรู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมองแสงของโคมไฟแล้วรออยู่ที่ตำแหน่งเดิม

 

 

“เจ้ารออยู่ที่ตำหนักดงบี ถ้าชายากลับมาส่งสัญญาณบอกเราทันที”

 

 

“รับด้วยเกล้าเพคะ ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี” แม่นมทำความเคารพ จากนั้นก็ถอยกลับไป บีพาอันหันไปสั่งขันทีที่อยู่ข้างๆ

 

 

“ไปบอกตำหนักนัมชอนว่าฮวางเซจากำลังช่วยงานเราอยู่ที่วังตะวันออก”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาทฮวางแทจา” ขันทีก้มหัวลงอย่างนอบน้อมราวกับภาพวาด จากนั้นก็หายไปทางตำหนักนัมชอน สายตาที่เคยมองไปยังดวงไฟในความมืดอย่างเลือนลอยของบีพาอันเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นภายในพริบตา

 

 

“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าฝ่าพระบาทฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

และแล้วเสียงที่ไม่อยากได้ยินที่สุดในสถานการณ์อย่างนี้ก็ดังขึ้น บีพาอันยืนนิ่งอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆ หันกลับไป ดึกวอลกับโอรันกำลังเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับรอยยิ้มที่มีเลศนัยจนน่าขนลุกอย่างที่พวกเขามักจะเผยให้เห็นอยู่ตลอด

 

 

“ได้ยินมาว่าวังตะวันออกกำลังวุ่นวายกันน่าดู”

 

 

“ไม่มีเรื่องอะไรให้วังตะวันตกต้องมาใส่ใจ”

 

 

“เหตุใดจึงตรัสเช่นนั้น ในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนกัน กระหม่อมจะแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วมองดูอยู่เฉยๆ ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ดึกวอลพูดจาฉอเลาะ พลางเดินมายืนข้างๆ มองโคมไฟที่เรียงรายเช่นเดียวกับบีพาอัน จากนั้นบีพาอันก็ใช้สายตาเย็นเยียบปรายตามมองไปที่เขา สุดท้ายดึกวอลจึงฉีกยิ้มกระอักกระอ่วนก่อนจะถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว

 

 

“ทรงหาแต่ในพระราชวังหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

คำถามของดึกวอลทำให้บีพาอันหันไปมองเขา การต่อกรกับสายตาของบีพาอันเป็นเรื่องที่เกินจะรับไหว เพียงแค่สายตาก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนเหงื่ออกทั่วทั้งหลังแล้ว แต่ดึกวอลก็ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้

 

 

“กระหม่อมหมายความว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่พระชายาฮวางแทจาจะเสด็จออกไปข้างนอกพระราชวัง”

 

 

“เราได้ตรวจสอบกับทั้งสามประตู[1] แล้ว”

 

 

“ อ้อ เป็นเช่นนี้เอง” ทึกวอลต่อความ “ทรงลองไปหาที่เขามกอักดูดีหรือไม่”

 

 

“จะให้เราไปเขามกอักยามนี้น่ะหรือ”

 

 

“ก็ไม่เชิงอย่างนั้น กระหม่อมเพียงนึกขึ้นมาได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถึงจะบอกว่าตรวจสอบกับทั้งสามประตูแล้ว แต่ดึกวอลกลับยังชี้แนะให้ไปหาที่นอกพระราชวังอยู่ บีพาอันจ้องดึกวอลไม่วางตา แม้แสงโคมไฟจะสร้างความอลหม่านภายในพระราชวังจนอาจทำให้ใครแตกตื่น แต่ข่าวลือก็ยังไม่น่าจะแพร่ไปรวดเร็วขนาดนั้น แถมการที่ดึกวอลกับโอรันยื่นมือเข้ามาช่วยวังตะวันออกก็เป็นเรื่องน่าสงสัยยิ่งนัก ราวกับว่าแท้จริงแล้วพวกเขานั้นรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นบีพาอันก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแต่วิเคราะห์อยู่ในใจ แล้วกลับไปฟังสิ่งที่ดึกวอลพูดต่อ

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] สามประตู คำใช้เรียกรวมทั้งประตูเข้าออกพระราชวัง ประตูหลัก ประตูตะวันออกเฉียงใต้ และประตูตะวันตกเฉียงใต้