ตอนที่ 64-2 แสงโคมไฟ

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“สมัยที่ยังเป็นราชโอรส พวกเราพี่น้องต่างก็ลิงโลดซุกซนมากมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราต่างชอบล่าหาประตูลับของพระราชวัง จากนั้นก็หลบหนีออกไป” ดึกวอลระลึกความทรงจำที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความคิดถึง

 

 

“แน่นอนว่าฝ่าพระบาทฮวางแทจาที่เป็นเลิศมาตั้งแต่สมัยทรงยังเยาว์วัยคงจะไม่เคยทำเรื่องไร้แก่นสารเช่นนั้น”

 

 

“ประตูลับของพระราชวังอย่างนั้นหรือ” บีพาอันเมินคำประชดประชันของดึกวอล แล้วให้ความสนใจกับข้อมูลใหม่แทน

 

 

“เท่าที่เคยได้ยินมา พระชายาฮวางแทจาเองถือได้ว่าเป็นองค์หญิงแก่นแก้วแห่งราชวงศ์เลยทีเดียว นางอาจจะค้นพบประตูลับโดยบังเอิญแล้วใจกล้าออกไปผจญภัย จากนั้นก็หลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่กระหม่อมคาดเดา เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น”

 

 

ปากก็บอกเพียงแค่คาดเดา แต่ดึกวอลกลับเล่าได้เสียจนเห็นภาพ บีพาอันกับดึกวอลจ้องตากัน สายตาที่คมเฉียบและเย็นเยือกของบีพาอันพินิจดูเข้าไปจนถึงนัยน์ตาดำของอีกฝ่าย จากนั้นบีพาอันก็ถามขันทีที่อยู่ด้านหลัง

 

 

“ยังไม่มีสัญญาณจากตำหนักดงบีอีกหรือ”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ยังไม่มีข่าวอันใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

บีพาอันมองไปรอบๆ บนชายคาอันมืดมิดของพระราชวังเต็มไปด้วยแสงโคมไฟที่ค่อยๆ คืบขยาย แต่ตอนนี้สายตาของบีพาอันเริ่มมองไปยังจุดที่ไกลยิ่งกว่านั้น

 

 

ภูเขามกอักที่ห้อมล้อมพระราชวังและเมืองหลวงไว้อย่างแข็งแกร่ง กำแพงสูงที่กั้นกลางระหว่างภูเขาทั้งหมดนั้นกับพระราชวัง ที่นั่นต่างจากพระราชวังที่สว่างไสวไปด้วยโคมไฟอย่างสิ้นเชิง วังเวงจนถึงขั้นอันตราย

 

 

บีพาอันออกคำสั่งกับดึกวอลโดยไม่แม้แต่จะหันมองหน้า

 

 

“พาเราไปทุกประตูลับที่แทจารู้จัก”

 

 

“ไม่ใช่เรื่องยาก ตามกระหม่อมมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ริมฝีบากของดึกวอลฉีกยิ้มขึ้น เพียงแต่บีพาอันมัวแต่มองดูรอบๆ จึงไม่เห็นมัน จากนั้นดึกวอลก็หยิบโคมไฟหนึ่งอันแล้วเดินนำทางด้วยตัวเอง

 

 

พวกเขาเดินทางผ่านกำแพงในที่อยู่เหนือวังฝ่ายนอก และเดินไปตามกำแพงนอกที่เป็นเขตแบ่งระหว่างโลกภายนอกกับพระราชวัง ประตูลับของพระราชวังมีมากกว่าที่คิด นอกจากประตูที่เหล่าข้ารับใช้ใช้อย่างรู้กัน ก็ยังมีประตูที่ถึงแม้จะเลิกใช้ไปแล้วแต่ก็ยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ด้วย

 

 

“โอ้ ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปนานแล้วจริงๆ สินะ ไม่นึกเลยว่าประตูจะโดนเถาวัลย์ปกปิดเสียจนมิดแบบนี้” ดึกวอลเดินนำหน้าพลางชวนพูดเล่นเรื่อยเปื่อย ยามที่พินิจดูกำแพงวัง ใบหน้าของบีพาอันก็แย่ลงเรื่อยๆ ผนังกำแพงนอกถูกปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อย ฝั่งใต้ของกำแพงได้รับการจัดการดูแลเป็นอย่างดี แต่ส่วนที่ต่อกันระหว่างเขามกอักนั้นมีสภาพไม่น่าดูนัก ด้วยเหตุนี้ทำให้หากไม่รู้มาก่อนว่ามีประตูลับก็ไม่มีทางที่จะหาเจอได้เด็ดขาด

 

 

“เหมือนว่าแถวนี้จะมีอยู่ประตูหนึ่ง…” ดึกวอลชะเง้อมองรอบๆกำแพง “นี่ไง!”

 

 

เขาเปล่งเสียงร้องแล้วยกโคมไฟขึ้นส่องราวกับว่าไปเจอเข้ากับอะไรสักอย่าง ดวงตาของบีพาอันที่มองทอดไปยังกำแพงวังเบิกกว้าง

 

 

“เรียกทหารราชองครักษ์มา” บีพาอันออกคำสั่ง สายตายังจับจ้องไปที่กำแพง

 

 

ดึกวอลพบกับประตูลับใหม่ที่โผล่ออกมาให้เห็นเล็กน้อย เถาวัลย์ที่เกาะอยู่เต็มกำแพงวังถูกเอาออกไปบ้างตรงส่วนที่อยู่บนประตู

 

 

แม้จะยังอยู่ในปลายฤดูร้อน แต่อากาศหนาวเย็นจนทำให้ตัวสั่นของค่ำคืนในหุบเขาก็ทำให้รู้ว่าถึงเวลาเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เวลาได้ล่วงเลยไปสู่ยามไห้[1]

 

 

“ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว หากว่าพระชายาฮวางแทจาทรงขึ้นมาที่เขามกอักแล้วเกิดหลงทางขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าในภูเขาที่มืดครึ้มเช่นนี้คงทำให้นางสะดุดล้มภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม”

 

 

ดึกวอลเอามือกอดอก ทำทีเอามือลูบๆ ถูๆ ต้นแขนของตนแสร้งทำเป็นหนาวสั่น บีพาอันไม่เอ่ยคำพูดใด และไม่สนใจท่าทีของดึกวอลอย่างเช่นเคย แต่ถ้าหากพบกโยซึลในที่แห่งนี้จริง ดึกวอลที่เป็นผู้บอกเรื่องประตูลับก็ถือว่าได้ทำคุณครั้งใหญ่

 

 

บีพาอันเดินทางมาที่เขามกอักด้วยตัวเอง พร้อมนำทหารราชองครักษ์ส่วนหนึ่งที่ร่วมค้นหา

 

 

กโยซึลมาตั้งแต่ในพระราชวัง มาตามหานางต่อที่เขาลูกนี้

 

 

“ตรงนี้มีร่องรอยคนเดินผ่านพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ทหารราชองครักษ์ที่สืบค้นอยู่รายงาน ดึกวอลนำบีพาอันไปตรงนั้น เพียงแค่หาเจอสักร่องรอยก็จะทำให้ตามนางไปได้ไม่ยากนัก

 

 

“ค่อยยังชั่ว”

 

 

“พบเพียงร่องรอยเท่านั้น ยังไม่แน่ว่าสุดท้ายแล้วจะเจอพระชายา” บีพาอันสาดคำพูดที่ราวกับน้ำเย็นใส่ดึกวอลที่ทำทีโวยวาย หลังจากนั้นพวกเขาก็ตามร่องรอยนั้นไปเรื่อยๆ จนพบเข้ากับเพิงกระท่อมที่ใกล้จะพัง

 

 

บีพาอันมองไปยังกระท่อมนั้น แม้บานประตูจะเซาะพังหมดแล้ว แต่มันยังคงถูกวางปิดทางเข้าไว้อย่างดี ทั้งๆ ที่ข้างในไม่มีแม้แต่แสงไฟหรือร่องรอยคนอยู่อาศัย

 

 

“ตรงนั้น…”

 

 

ในขณะที่ดึกวอลกำลังจะเปิดปาก บีพาอันก็ยกมือขึ้นกัน สัญลักษณ์มือของเขาทำให้ดึกวอลหุบปากลง บีพาอันจากในตอนแรกที่ดูเฉยชา เริ่มก้าวเข้าไป เขาเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย แม้จะพยายามใช้มือดันประตูดูเบาๆ แต่ก็พบว่าประตูนั้นถูกวางเข้ากับกรอบประตูเสียจนมิดพอดี สุดท้ายบีพาอันก็ใช้เท้าถีบประตูเข้าไป

 

 

ปัง!

 

 

 ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงดังลั่น ในกระท่อมที่มืดมิดมีเพียงแสงสลัวๆ ที่ส่องเข้าไป แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ข้างในนั้นมีกโยซึลและรูแฮกำลังนั่งอยู่ข้างกัน

 

 

บีพาอันใช้สายตาอันเยือกเย็นมองปราดลงไปที่พวกเขาทั้งสองคน กโยซึลใส่เสื้อคลุมตัวนอกของรูแฮอยู่ และมือของรูแฮก็กำลังโอบไหล่ของนางไว้ รูแฮโอบกโยซึลให้ใกล้จนแทบจะชิดแผ่นอกของตน กโยซึลและรูแฮตกใจที่เจอบีพาอันจนไม่ทันได้คิดว่าพวกเขาควรต้องแยกตัวห่างกันก่อนด้วยซ้ำ

 

 

“ชายา” บีพาอันเรียกกโยซึล

 

 

วินาทีนั้นรูแฮตั้งสติได้ เขารีบลดมือทีโอบไหล่ของกโยซึลไว้ลง แล้วรีบลุกขึ้นจากที่นั่งทันที

 

 

“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี ถวายบังคมฝ่าพระบาทฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ” รูแฮทำความเคารพอย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

“รูแฮ เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

 

 

จากนั้นไม่รู้เมื่อไหร่ที่ดึกวอลเดินเข้ามาใกล้จากด้านหลัง แล้วเปล่งเสียงดังทึกทัก แม้จะดูเหมือนตกใจแต่ในน้ำเสียงนั้นเจือเสียงหัวเราะเยาะอยู่

 

 

เสียงของดึกวอลดังแทรกผ่ากลางบรรยากาศตึงเครียดราวกับถูกแช่แข็งภายในกระท่อม

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ยามไห้ คำใช้เรียกช่วงเวลา 3ทุ่มถึง5ทุ่ม