ซีเหมินจินเหลียนมองไปยังเขาด้วยความสับสน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จ่านป๋ายก็เช่นกัน เดิมทีที่คิดจะยื่นมือไปหยิบหมูผัดซอสเปรี้ยวหวานอีกครั้งก็ได้นิ่งวางมือลง ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ถามไปว่า “จินเหลียน ทำไมเอาแต่มองผมอยู่อย่างนั้นล่ะครับ?”
“คุณกับคุณชายหลินก็เหมือนกัน กินข้าวเสร็จก็ออกไปให้หมด!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“อะ…ไร?” จ่านป๋ายยังคงตะลึงอยู่ กินข้าวเย็นเสร็จแล้วให้เขาออกไป จะให้เขาออกไปที่ไหน?
“ตามนั้นแหละ กินเสร็จแล้วก็ออกไปซะ!” ซีเหมินจินเหลียนใช้ตะเกียบเคาะโต๊ะพูดอีกครั้ง
“คุณจะให้ผมไปที่ไหนครับ” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“คุณอยากไปไหนก็ไปเถอะ! ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอก็แค่ผู้หญิงโง่เง่าคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ใครที่ไหนสามารถมาหลอกเธอได้ ประธานบริษัทจินติ่งกรุ๊ปมาที่บ้านของเธอเพื่อเป็นบอดี้การ์ด นี่ก็เป็นไปได้เหรอ? เธอยอมให้เขาเป็นแค่ขโมยแล้วมาอยู่กับเธอยังจะดีเสียกว่า
“คุณอย่าเป็นแบบนี้ได้ไหมครับ” จ่านป๋ายยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเป็นแบบนี้…”
“หึ” ซีเหมินจินเหลียนแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “หรือว่าคุณลืมไปว่าคุณมีบริษัทนี้อยู่? แล้วตอนที่ฉันมีของที่ต้องส่งไปงานประมูล แต่คุณกลับให้ฉันไปหาฉินเฮ่า ทั้งๆ ที่มันเป็นบริษัทของคุณ…คุณเป็นประธานแท้ๆ แต่กลับไม่ทำงานทำการ มัวแต่มาเตร็ดเตร่อยู่แต่บ้านของฉันทำไมกัน ผ่าหินมันสนุกมากนักเหรอ”
จ่านป๋ายเหลือบไปมองที่ห้องครัวแล้วกระซิบพูดว่า “รอให้หลินเสวียนหลานกลับไปก่อนแล้วผมจะอธิบายให้คุณฟัง”
“เหอะ คุณก็ใช้เวลานี้ในการหาเหตุผลมาอธิบายแล้วกัน ไม่อย่างนั้น…” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างจริงจัง
“ไม่อย่างนั้นผมจะเป็นยังไง ผมรู้ครับ!” จ่านป๋ายพูดอย่างไม่เกรงกลัว
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ก็พยายามที่จะกลั้นขำออกมา จ่านป๋ายส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปใกล้เธอ “ผมจะบอกคุณให้นะครับ ถึงคุณทำร้ายผม ยังไงก็สู้ทำร้ายเขาไม่ได้!” พูดไปก็สื่อไปยังคนที่อยู่ในห้องครัว
“เขา…” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ “ทำไมฉันต้องทำร้ายเขา เขาไม่ได้ทำอะไรฉันสักหน่อย?”
“เกิดมาหล่อไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เสน่ห์ที่เย้ายวนนั่น มันทำให้เขาผิด!” จ่านป๋ายยิ้มหัวเราะแหะๆ “ได้ยินมาว่าผู้ชายที่หล่อจะรู้สึกเหมือนถูกทำร้าย”
ซีเหมินจินเหลียนจ้องมองไปที่เขาอยู่นานถึงพูดออกมา “คุณก็เหมือนกัน นั่นก็หมายความว่าฉันควรจะหาโอกาสทำร้ายคุณดูสักครั้ง เพื่อดูว่าคุณจะรู้สึกยังไง”
“ผมยินยอมที่จะถูกคุณกระทำชำเรา” จ่านป๋ายยิ้ม
ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทางดูเหมือนคนเกเรแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา คนแบบนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นประธานของจินติ่งกรุ๊ป ประธานที่ทำตัวลอยชาย ส่วนงานอดิเรกคือชอบถูกทารุณกรรม
“จ่านมู่หรง คุณมานี่หน่อย!” ภายในครัวมีเสียงของหลินเสวียนหลานร้องเรียกออกมา
“โอ้โห ขนาดเขายังเรียกใช้ผม?” จ่านป๋ายทำเสียงชิชะอยู่เบาๆ แล้วถามไปว่า “มีเรื่องอะไร”
“คุณมาดูนี่ คุณหุงข้าวอะไรของคุณ?” หลินเสวียนหลานปรับระดับเสียงให้สูงขึ้น
“หุงข้าว?” จ่านป๋ายยังคงไม่เข้าใจ เหมือนเขาไม่ได้เป็นคนหุงนะ ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเสียงกริ๊งประตูดังพอดี เขาเลยไปเปิดประตู จากนั้นซีเหมินจินเหลียนเลยไปหุงข้าว…
“ฉัน…เหมือนฉันจะลืมกดปุ่มทำงาน…” ซีเหมินจินเหลียนฟังเมื่อครู่ก็นึกขึ้นได้ถึงต้นตอความเป็นมาของเรื่อง รีบวิ่งไปยังห้องครัว เธอแอบดูหลินเสวียนหลานเท่านั้น แต่ผลเหมือนไปทำผิดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้รออาหารเลิศรสอย่างเสียเวลาเปล่า
รีบเดินเข้าไปในครัวเปิดฝาหม้อหุงข้าวออกมา สีหน้าของซีเหมินจินเหลียนก็อึมครึม ภายในหม้อหุงข้าวมีแต่น้ำใส ผสมกับข้าวที่ยังคงเป็นเมล็ดข้าว ไม่มีผ่านการหุงอย่างหอมหวน
“จ่านมู่หรง ไม่น่าล่ะถึงว่าทำไมซีเหมินจินเหลียนยิ่งอยู่ยิ่งผอม เป็นเพราะว่าคุณทำให้เธออดตายแน่!” หลินเสวียนหลานด่าเขา เส้นประสาทที่ตึงเครียดเหมือนกับได้ผ่อนคลายลงมาก็ไม่ปาน
“นี่ไม่ใช่ความผิดของผมนะ เธอเป็นคนหุงข้าว เกรงว่าเธฮจะไม่อยากให้พวกเรากินมากกว่า” จ่านป๋ายสีหน้าอมทุกข์
“อย่างนั้นวันนี้คุณก็ไม่ต้องกินเลย!” ซีเหมินจินเหลียนรีบกดปุ่มทำงาน “ฉันเป็นเจ้าของบ้าน ฉันจะใช้มาตรการโหดเ**้ยมสั่งให้พวกคุณอดตาย”
หลินเสวียนหลานและจ่านป๋ายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ฝีมือของหลินเสวียนหลานไม่เลวเลยทีเดียว มื้อนี้เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่อิ่มหนำสำราญ จ่านป๋ายยังเปิดไวน์แดงออกมาหนึ่งขวด
แต่หลินเสวียนหลานเหมือนมีเรื่องมากมายที่ต้องกลับไปจัดการ เมื่อกินข้าวเสร็จเลยกำชับจ่านป๋ายว่าบนเตายังมีซุปไก่ดำที่ยังตุ๋นไว้อยู่
เมื่อกินข้าวเสร็จซีเหมินจินเหลียนก็จัดเก็บถ้วยชาม ส่วนจ่านป๋ายก็คอยเป็นผู้ช่วยอยู่ไม่ห่าง เมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยซีเหมินจินเหลียนจึงถามไปว่า “จ่านป๋าย ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว คุณก็จะอธิบายกับฉันมาได้หรือยัง”
จ่านป๋ายได้ยินเธอถามคำถามนี้ ก็ปวดหัวขึ้นมา คำถามนี้ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
“ผมยอมรับ จินติ่งกรุ๊ปเป็นของผม นอกจากงานประมูลแล้วยังมีบริษัทเล็กๆ อีกสองบริษัท แต่ว่า…แต่ว่า…” จ่านป๋ายใช้มือลูบคลำผมตัวเอง แล้วก็มองไปทางซีเหมินจินเหลียนอย่างไร้เดียงสา
“ทั้งๆ ที่คุณเป็นถึงประธาน แล้วทำไมทุกวันนี้ถึงต้องมาคอยตามติดฉันเหมือนคนไม่มีอะไรทำด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนรู้ แต่อยากจะได้ยินคำพูดของเขา คำถามนี้ผู้ชายแทบจะไม่รู้ว่าสารภาพยังไง เพราะฉะนั้นเธอเลยใช้กลยุทธ์ในการถาม
“ผมก็แค่มีชื่อไว้ในนามเท่านั้น เรื่องในบ้านผมก็ไม่ใช่คนรับผิดชอบ รอให้บริษัททั้งสองในเครือไม่เหลือแม้แต่ทุนทรัพย์ ผมก็จะให้ล้มละลายไป สิ่งที่ผมต้องการมีแต่งานประมูลเท่านั้น” จ่านป๋ายพูดอย่างเรียบเฉย สิ่งที่พึ่งพูดออกไป แต่ข้างในกลับรู้สึกเสียดาย เรื่องเลวร้ายแบบนี้เขาจะบอกเธอไปเพื่ออะไร?
ซีเหมินจินเหลียนสับสน หรือว่าการที่เขาจะซื้อหุ้นบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ มันเป็นเพียงอุตสาหกรรมภายใต้ชื่อของกลุ่มจินติ่ง จากนั้นใช้วิธีที่แยบยลทำให้ได้มา แล้วล้มละลายลงอย่างย่อยยับ?
“อืม…อย่างนั้นแหละ…” จ่านป๋ายมองเธอที่เหมือนจะกำลังทำท่าทีทำร้ายเขาจึงพูดว่า “บริษัทจินติ่งกรุ๊ปเป็นของพ่อของผม เขาทำมาให้ผม ผมก็แค่มีชื่อในฐานะประธาน แต่ต่อมาก็ได้รับโทษจากพ่อ พ่อเลยเอารายชื่อผมออกไป แต่ว่าช่วงนี้เขาก็ยุ่งจนแทบไม่มีเวลานั่งเลยไม่มีเวลาสนใจผม ผมก็ไม่ใช่คนโง่นะ ในเมื่อไม่มีใครอยู่ในบริษัท แล้วผมจะอยู่ทำไม ส่วนเรื่องที่บริษัทจะล้มละลายหรือเปล่า มันก็ไม่เกี่ยวกับผมเลยสักนิด…”
จ่านป๋ายพูดเหมือนไม่มีอะไร ซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่น่าล่ะที่เขาอยากจะได้หุ้นของบริษัทตระกูลหลินทั้งหมดมาครอบครอง ดูแล้วทางบ้านของเขาก็เหมือนจะทำอะไรเขาไม่ได้
“แต่คุณก็ไม่ต้องโกหกว่าเป็นขโมยก็ได้นี่นา” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา เรื่องนี้ยังไงก็ให้อภัยไม่ได้ พูดจาให้สงสาร หลอกเอาความเห็นใจจากเธอ สุดท้ายก็ใช้เธอมาเป็นช่องทางในการล้างเงิน ไม่ใช่ว่าพอใช้เธอเสร็จก็จะลืมคุณค่า แล้วทิ้งเธอไปหรือ?
“เดิมทีผมก็เป็นขโมยนี่นา!” จ่านป๋ายพูดอย่างไร้เดียงสา “เพียงแต่ผมไม่ใช่ขโมยกระจอก ผมคือ…”
“ถึงคุณจะมีความสามารถขโมยฟากฟ้าบนโลกใบนี้ แต่คุณก็ยังเป็นขโมย!” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์