ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ถอนหายใจ เป็นคุณชายดีๆ ไม่ชอบ กลับอยากจะมาเป็นขโมย ไม่น่าล่ะพ่อของเขาถึงไม่อยากจะเจอเขา ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมีลูกไม่รักดีแบบนี้ เกรงว่าคงได้แต่โกรธโมโหเช่นกัน
อย่างไรถึงถามออกไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี ซีเหมินจินเหลียนจึงเลือกใช้วิธีหลบหนีความรู้สึกของตัวเอง เตรียมตัวขึ้นไปด้านบน อยากจะไล่เขาออกไปแต่เธอก็ไม่มีความสามารถนั้น คนคนนี้เลือกที่จะติดสอยห้อยตามไปกับเธอ อีกทั้งเธอก็ยังรู้สึกเสียใจถ้าเขาต้องจากไปจริงๆ
ช่วงที่ผ่านมานี้ เธอเคยชินกับการที่มีจ่านป๋าย เคยชินกับการที่เขาคอยแกล้งเธอ เธอไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตนเลือกที่จะพึ่งพาเขาและไม่อยากให้เขาจากไปขนาดนี้ เรื่องนี้มันเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย
ซีเหมินจินเหลียนเอนตัวพิงลงบนเตียง ไม่มีจ่านป๋ายอยู่ข้างกาย เธอได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำใจให้สบาย และเริ่มจัดการความคิดภายในจิตใจที่แสนยุ่งเหยิง
เพียงแต่ไม่คิดเลยว่า ยิ่งเธอคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งสับสนวุ่นวายใจมากเท่านั้น ประวัติส่วนตัวของจ่านป๋ายคงไม่ง่ายขนาดนั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ถูกคนทำร้ายจนเลือดตกยางออก จนมาหลบอยู่ที่โรงรถที่บ้านของเธอ
ทำไมรู้สึกซับซ้อนไปหมด? ซีเหมินจินเหลียนนอนถอนหายใจ “ช่างเถอะ จะคิดเยอะไปทำไมกัน อย่างมากก็แค่ไม่เหลืออะไร เดิมทีฉันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว บนโลกใบนี้ถ้าบางสิ่งเป็นของเรา ใครก็เอาไปไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ของเรา แย่งชิงไปก็ไม่มีประโยชน์ ฝืนทำต่อไปก็ไร้ค่า”
เมื่อคิดเช่นนี้ในใจก็สดใสขึ้นราวกับต้นไม้ที่เ**่ยวเฉาได้รับการรดน้ำ มนุษย์ที่ไม่มีความปรารถนาทางโลก จึงสามารถบรรลุธรรมที่ยิ่งใหญ่ นี่ก็ไม่ผิดแม้แต่นิด แต่ว่าพอมีพลังพิเศษมองเห็นทะลุ จนร่ำรวยขึ้นมา ทำไมเธอถึงปล่อยวางไม่ได้นะ?
ทุกวันนี้ บางเรื่องที่สามารถเสพสุขกับมันได้ เธอก็ถือว่าได้ทำมาหมดแล้ว สิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็นในความมหัศจรรย์ของหยก เธอก็เคยเห็นมันแล้ว เรียกได้ว่าชีวิตนี้เกิดมาคุ้มค่าทีเดียว แล้วทำไมเธอยังต้องคอยคิดมากอยู่อีก พวกเขามีจุดประสงค์อะไร จริงใจหรือเสแสร้ง มันก็แค่เท่านั้น ชีวิตคนเราไม่ได้อยู่จนถึงร้อยปีพันปี อีกทั้งเวลายังผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้ามัวแต่คิดมากอยู่ก็เหนื่อยเกินไปแล้ว…
ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนเตรียมตัวไปยังห้องอาบน้ำ
แต่เมื่อเธอออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่มีชุดคลุมอาบน้ำอยู่บนร่าง เธอก็เห็นจ่านป๋ายนั่งอึ้งอยู่บนเก้าอี้หวายตรงข้ามกับเตียง
“คุณนี่…ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เข้าห้องมาถ้าไม่ได้รับอนุญาต?” ซีเหมินจินเหลียนจ้องไปที่เขา ดีนะว่าเธอไม่ได้เป็นคนชอบเปลือยกายอยู่ในห้อง ไม่อย่างนั้นอับอายขายขี้หน้าแน่
“ผมก็แค่เอาซุปไก่มาให้คุณ” จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย
“ฉันเพิ่งกินข้าวเย็น แล้วจะกินซุปไก่อะไรอีก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ถ้าทุกวันยังกินแบบนี้อยู่เรื่อยๆ คาดว่าไม่ถึงหนึ่งเดือน เธอต้องอ้วนขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“คนเขาทำอย่างตั้งใจ กำชับมาอย่างแน่นหนาว่าให้ผมเอามาส่งให้คุณ ผมเลยรีบมาส่งให้คุณไง” จ่านป๋ายยิ้ม
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตอบกลับ “ทำไมฉันฟังประโยคนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ?”
“ผมเป็นแฟนที่อยู่บ้านเดียวกันกับคุณ แต่คุณให้เขาเข้ามายุ่งในบ้านอย่างสบายเฉิบ ผมจะมีความสุขได้ยังไง” จ่านป๋ายทำท่าราวกับถูกกลั่นแกล้งรังแก
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอา ถึงเธอจะไม่หิว แต่ในเมื่อนำขึ้นมาให้เธอแล้วก็กินแต่ตามเลย เพราะยังไงฝีมือของหลินเสวียนหลานก็สร้างความประทับใจให้อยู่แล้ว
“ใช่สิ แฟกซ์ของจางจิ้นที่ส่งมา ทำไมผมดูแล้วรูปแบบมันซับซ้อนนัก” จ่านป๋ายพูดพลางยื่นเอกสารที่แฟกซ์มาส่งให้เธอ
ซีเหมินจินเหลียนไม่สนใจในการกินซุปไก่อีกต่อไป เธอหยิบกระดาษที่ถูกส่งแฟกซ์มาไว้ในมือ ดูซับซ้อนอย่างที่จ่านป๋ายพูดไว้จริงๆ อีกทั้งความต้องการพิเศษยังเยอะเสียด้วย รูปแบบค่อนข้างย้อนยุคแล้วดูมีรายละเอียดที่มากมายเต็มไปหมด
แต่แม้จะมีความยุ่งยากซับซ้อนอย่างไร เธอก็ยังคิดว่าจะทำมันออกมาได้ดี
“จินเหลียน ทำไมผมรู้สึกว่าความต้องการของเขามากไปหน่อยนะ คุณบอกว่าในอดีตไม่มีเครื่องมือแบบปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นจะแกะสลักยังไง” จ่านป๋ายถือโอกาสแย่งกระดาษแผ่นนั้นมาและได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ
“แท่นหยกก็เป็นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าแท่นแกะสลักหยก ฝีมือการแกะสลักหยกในสมัยโบราณละเอียดละอ่อนกว่าปัจจุบันมาก แต่ยังไงฉันก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสมัยโบราณเขาทำกันยังไง” ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายหน้า แกะสลักหินที่แข็งออกมาได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อเทียบกับในปัจจุบันนี้
“เพราะอย่างนี้ในสมัยโบราณหยกถึงได้เป็นที่นิยมมากกว่า” จ่านป๋ายยิ้มอ่อน
ที่แท้ความนิยมเครื่องหยกก็มักจะมีเงื่อนไขจำกัด? ในหัวของซีเหมินจินเหลียนคิดยุ่งเหยิงไปหมด บางทีเรื่องอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ วันนี้หลังจากที่ฟังเขาพูดว่าบริษัทตระกูลหลินยังเป็นหนี้ธนาคารห้าร้อยล้าน ถ้าหากเธอซื้อหุ้นสำเร็จ แล้วเกิดธนาคารโทรมาเรียกร้องให้เธอจ่ายหนี้แล้วเธอจะเอาเงินมากมายมาจากที่ไหน
แต่ว่าถ้าทยอยขายหยกที่มีอยู่ออกไปหมด จ่านป๋ายก็เคยบอกว่าอาจจะทำให้ตลาดอิ่มตัว ถึงเวลานั้นสินค้าที่ทำมาจากหยกได้ลดราคาลงฮวบฮาบแน่…
ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่กระดาษ ในขณะนั้นก็หยิบช้อนขึ้นมาตักซุปกินด้วย แต่ในใจเหม่อลอยไปไกลแล้ว
จ่านป๋ายเรียกเธอถึงสองครั้ง สติที่ล่องลอยไปไกลถึงไหนต่อไหนของเธอก็ได้คืนกลับมา เธอถามเขาไปอย่างสงสัยว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ”
“เมื่อกี้จินอ้ายหัวโทรมา บอกว่าพรุ่งนี้ตอนหนึ่งทุ่มได้เหมาห้องจัดงานเลี้ยงรุ่นไว้ที่สุ่ยจงเซียนแล้ว ถามคุณว่าจะไปหรือเปล่า” จ่านป๋ายถาม
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนคิดดูแล้ว ในเมื่อไม่มีอะไรทำ พอเรียนจบก็ไม่ค่อยมีติดต่อกับเพื่อน ถ้าอย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้ไปกระชับความสัมพันธ์สักหน่อยก็ดี
เมื่อก่อนหวังหมิงเหยาเผด็จการเหลือเกิน เขาไม่ค่อยยินยอมให้เธอไปงานเลี้ยงสังสรรค์อะไรแบบนี้ แต่ในเมื่อเธอเลิกกับเขาแล้วตอนนี้ก็ได้มีอิสระกับเขาเสียที เธออยากจะทำอะไรก็ทำได้แล้ว
“ทำไมจินอ้ายหัวถึงโทรเข้ามาเบอร์บ้านได้ล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย ปกติจินอ้ายหัวจะโทรเข้ามือถือของเธอ ไม่ใช่สิ เธอเหมือนจะไม่เคยบอกเบอร์บ้านให้กับเธอรู้ด้วยซ้ำ พูดให้ถูกก็คือ ตั้งแต่ที่เธอย้ายบ้านมาอยู่ที่ย่านหลานกุ้ย ก็ไม่ค่อยจะมีคนที่รู้จักเบอร์ที่บ้าน
“ตอนที่คุณอาบน้ำอยู่ สงสัยคุณไม่ได้รับสาย เธอเลยโทรมาที่ผม”
“มนตร์เสน่ห์ของลังโคมยังไม่สูญสิ้นสินะ” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไร จ่านป๋ายใช้แค่ลังโคมหนึ่งชุด แต่กลับซื้อเธอได้อย่างง่ายดาย
จ่านป๋ายอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เดินเข้ามาข้างๆ แล้วหยิบช้อนตักซุปป้อนที่ปากของเธอ ซีเหมินจินเหลียนกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือ เลยไม่ได้ใส่ใจเขาที่กำลังป้อนซุปให้เธอ จ่านป๋ายจึงยิ้มไม่หุบป้อนให้เธอคำแล้วคำเล่า
“เอ๋…” ซีเหมินจินเหลียนกินไปได้แค่สองคำก็กลับรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ บ้านของเธอไม่ได้มีเวทมนตร์ทำให้ช้อนซุปขยับเองได้นี่นา? ในระหว่างที่เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นจ่านป๋ายกำลังมองเธออยู่พอดี
“ผมเห็นคุณตกอยู่ในภวังค์กับกระดาษแผ่นนั้นตั้งนาน เกรงว่าถ้าทิ้งซุปไว้นานเกินน่าจะเย็นชืดหมด” จ่านป๋ายพูดพลางเตรียมป้อนเข้าปากให้เธออีกครั้ง
เมื่อสักครู่เกิดจากความไม่รู้ตัว ถือว่าไม่เป็นไร แต่ตอนนี้รู้ตัวแล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงหน้าแดงโดยไม่รู้ตัวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย คุณไม่จำเป็นต้องป้อนก็ได้!”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบกินให้หมดก่อนแล้วค่อยอ่านสิครับ” จ่านป๋ายไม่ต้องรอคำตอบของเธอ เขาได้ยื่นช้อนไปให้
ซีเหมินจินเหลียนเอาแต่ส่ายหน้า “ไม่กินแล้ว เมื่อกี้ฉันเพิ่งกินข้าวเย็นไป จะกินไหวได้ยังไงกัน จริงสิ น่าจะยังมีอีกใช่ไหม คุณก็กินเถอะ ฉันเห็นว่ามื้อเย็นคุณก็ไม่ค่อยได้กินไม่ใช่เหรอ?”
“ผมกินที่คุณกินนี่ก็พอแล้วครับ” จ่านป๋ายพูดพลางหยิบช้อนตักซุปที่ซีเหมินจินเหลียนใช้กินไปเมื่อครู่เข้าไปในปาก
ไม่รู้ทำไมซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวไปหมด ราวกับมีคนจุดไฟเผาหน้าตัวเอง หน้าของเธอต้องแดงไปทั้งหน้าแล้วแน่ๆ…