ตอนที่ 1213 ของมีค่าสองสิ่งไม่อาจได้มาพร้อมกัน / ตอนที่ 1214 พระราชเสาวนีย์ของไทเฮา

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1213 ของมีค่าสองสิ่งไม่อาจได้มาพร้อมกัน

 

 

จี้เหิงหรานอ้าปากอยากจะพูดคัดค้านคำพูดของซูหลี

 

 

ทว่าคำพูดกลับติดอยู่ที่ปาก พูดอะไรไม่ออก

 

 

ก็ไม่ใช่เด็กๆ เรื่องสงครามระหว่างสตรีที่อยู่หลังจวน แม้เขาจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ทว่าเขาก็เห็นปัญหานี้มาไม่น้อย

 

 

ในเมืองหลวงผู้ที่ต้องหมดอนาคตขุนนางเพราะเกิดเพลิงโทสะของสตรีหลังจวนนั้น ไม่ได้มีแค่คนสองคน

 

 

เล่ห์อุบายของสตรีเหล่านั้นโหดเหี้ยมขึ้นมา บางทีก็โหดเหี้ยมกว่าอุบายของบุรุษเป็นร้อยเท่า

 

 

กระบวนการก็วิธีการก็ปรากฏมากมายไม่ขาดสาย

 

 

หากเขาไม่มีวิธีทำให้เย่ว์ลั่วอยู่ข้างกายเขาตลอดละก็ เช่นนั้นก็เป็นการปล่อยให้เย่ว์ลั่วเผชิญหน้ากับเรื่องเช่นนี้คนเดียว

 

 

จี้เหิงหรานแค่คิดก็รู้สึกหวั่นใจแล้ว

 

 

อีกทั้งสำหรับโจวซื่อผู้นี้ จี้เหิงหรานพอจะทราบอุปนิสัยของนางดี โจวซื่อเป็นสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงที่ถูกเลี้ยงอย่างเอาอกเอาใจมาจนเติบโต เดิมก็ไม่ชอบให้คนอย่างเย่ว์ลั่วปรากฏตัวขึ้นอยู่แล้ว

 

 

กอปรกับติดตามมารดาของตนมาตั้งแต่เล็ก เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่อุบายการบีบบังคับผู้อื่นอย่างเดียวก็เป็นอันดับหนึ่งแล้ว

 

 

อุปนิสัยอย่างเย่ว์ลั่ว จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับโจวซื่อได้อย่างไรกัน

 

 

หากเย่ว์ลั่วเข้าไปอยู่ในจวนเขาจริงๆ เกรงว่านางจะเกลียดเขาไปทั้งชีวิต…

 

 

“เหตุการณ์ที่พวกเราเข้าใจผิดกันก่อนหน้านี้ ข้าไม่อยากพูดแก้ตัวอะไรให้ตนเองแล้ว ทว่าข้าขอแนะนำใต้เท้าจี้ประโยคหนึ่ง” ซูหลีกวาดตามองทางจี้เหิงหรานปราดหนึ่ง น้ำเสียงมีความเย็นชาอยู่บ้าง

 

 

“ในโลกนี้ แต่ไหนแต่ไรมาของมีค่าสองสิ่งก็ไม่อาจได้มาพร้อมกัน ในเมื่อใต้เท้าจี้ได้เลือกสิ่งหนึ่งแล้ว เช่นนั้นก็ไม่อาจหันกลับมาได้ เรื่องนี้เจ้าและข้าล้วนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งดี”

 

 

“จี้ฮูหยินที่ยืนอยู่ตรงกลางไม่มีความผิด เย่ว์ลั่วยิ่งไม่มีความผิด เจ้าลากสตรีทั้งสองนางเข้ามาพัวพันและบีบบังคับให้ทั้งสองอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสามจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ถึงเมื่อไหร่”

 

 

ข้าพูดถึงตรงนี้ หากในใจใต้เท้าจี้คงจะเข้าใจอย่างปรุโปร่งก็คงดี” คำพูดของซูหลีไม่รื่นหูเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อได้ยินในหูของจี้เหิงหราน ยิ่งไม่รื่นหูมากกว่าเดิม

 

 

เขาไม่อาจคัดค้านได้ มิหนำซ้ำยังมีความเห็นด้วยกับคำพูดของซูหลีอยู่บ้าง

 

 

ที่จริงแล้ว…

 

 

โจวซื่อแต่งเข้าจวนมานานมากแล้ว ทว่าเขาไม่แม้แต่เจอนางสักครั้ง

 

 

และเพราะเช่นนี้เอง ทำให้โจวซื่อใช้ชีวิตอยู่ในสกุลจี้ไม่ได้ดังใจเป็นพิเศษ สตรีที่แม้แต่สามีของตนก็ไม่แตะต้อง แล้วจะสามารถดำรงอยู่ในครอบครัวอย่างมั่นคงได้อย่างไรกัน

 

 

จี้เหิงหรานทราบความยากลำบากของโจวซื่อดี ทว่ากลับไม่สามารถใช้ชีวิตสามีภรรยากับนางได้

 

 

หัวใจของเขาบรรจุเย่ว์ลั่วที่อ่อนโยนผู้นั้นไว้ตลอด เขาไม่อาจกระทำเรื่องเช่นนี้กับสตรีอีกคนได้

 

 

ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ถึงได้ทำร้ายทั้งโจวซื่อและตัวเขาเอง

 

 

เขายังจำได้ว่ายามที่โจวซื่อเพิ่งเข้ามาภายในจวน นางยังถือว่าเป็นคนสุภาพและมีมารยาท บัดนี้ความทุกข์ระทมที่มีสะสมเพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้นางเปลี่ยนไปเป็นอีกคน มีท่าทีที่เปลี่ยนไป

 

 

จี้เหิงหรานถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ

 

 

“ไม่ใช่ประเดี๋ยวจี้ฮูหยินก็จะมาแล้วหรือ มีสาวงามในอ้อมกอด เจ้ายังถือว่าโชคดีที่ได้หาความสุขให้กับชีวิต!” ซูหลีเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ จึงอดที่จะพูดประชดประชันอีกประโยคมาได้

 

 

มิผิด นางเป็นคนที่ไม่สามารถมองว่าเขาดีได้!

 

 

จี้เหิงหรานถูกซูหลีพูดถากถางเช่นนี้ สีหน้าจึงดำทะมึนตึง เขาตวัดสายตาไปทางซูหลีปราดหนึ่ง พลันเอ่ยขึ้นว่า

 

 

“เรื่องนี้ใต้เท้าซูไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล เพียงแต่ข้าไม่ทราบว่าใต้เท้าซูจะบอกได้หรือไม่ว่า เพราะเหตุใดถึงได้สนใจเรื่องของสกุลหลี่นัก”

 

 

ทันทีที่พูดจบ ภายในหอเก็บตำราก็ตกอยู่ในความเงียบงัน รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของซูหลีพลันแข็งกระด้าง จี้เหิงหรานผู้ช่าง…ไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจแบบธรรมดา!

 

 

เขาพูดออกมาเช่นนี้ แม้แต่สายตาของฉินเย่หานยังหยุดอยู่ที่ร่างของนาง

 

 

ซูหลีอ้าปากต้องการจะพูดอธิบายอะไรบ้าง

 

 

“ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ” ที่คิดไม่ถึงก็คือ นางยังไม่ทันจะส่งเสียงออกไป ก็ถูกฉินเย่หานขัดจังหวะเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1214 พระราชเสาวนีย์ของไทเฮา

 

 

ซูหลีมองทางเขาด้วยความแปลกประหลาดใจ ทว่าเมื่อเห็นแววตาที่ลุ่มลึกของเขา ประหนึ่งมหาสมุทรที่สามารถปกคลุมล้อมรอบทั้งร่างของนางไว้

 

 

“ฝ่าบาท?” ซูหลีคล้ายกับไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร จึงลองหยั่งเชิงเรียกเขาดู

 

 

“เรื่องเหล่านี้รอเจ้าสมัครใจจะเล่า ค่อยเล่าเถอะ” ฉินเย่หานยังคงมีสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆเช่นเดิม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ซูหลีกลับได้ยินความอบอุ่นที่แฝงในคำพูดของเขา

 

 

นางมึนงงไปหมด หัวใจเต้นระส่ำอย่างควบคุมไม่อยู่

 

 

วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพูดเรื่องนั้นออกมา ที่จริงซูหลีนั้นเตรียมใจเอาไว้แล้ว ทว่านางคิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญ ฉินเย่หานจะพูดเช่นนี้ออกมา

 

 

อาจเป็นเพราะความลำบากใจและการลังเลใจของนางแสดงออกมาชัดเจนเกินไปบ้าง จนทำให้เขาพูดประโยคนี้ออกมา

 

 

นางมองไปทางเขา กลับรู้สึกว่าภายในดวงตาสีนิลของเขานั้นทอประกายความมั่นคงและการปลอบโยนอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ปลอบโยน?

 

 

เขากำลังปลอบโยนนางหรือ

 

 

ชั่วขณะนี้ซูหลีพูดไม่ถูกว่าในใจของตนรู้สึกอย่างไรกันแน่ เพียงรู้สึกถึงความสับสน ทุกอารมณ์ถาโถมเข้ามา นางยังคิดว่านางเก็บอาการหลังจากได้เรื่องของสกุลหลี่และเรื่องของเหยียนซื่อเรียบร้อยแล้ว”

 

 

คิดไม่ถึงว่า เขาจะสังเกตเห็นอากัปกิริยาของนางด้วย

 

 

“ข้าเตรียมตัวมาดีแล้ว” นางชะงักไปครู่ เขาสมัครใจเชื่อนาง เช่นนั้นหากนางยื่นมือได้คว้ามือที่เขายืนส่งมาแล้ว จะเป็นอะไรกัน

 

 

ดวงตาของฉินเย่หานชะงักไปเล็กน้อย จู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมองนาง

 

 

มีเพียงจี้เหิงหรานคนเดียวอยู่ที่ด้านข้าง เขามองพวกเขาทั้งสองแล้วรู้สึกว่าตนนั้นเป็นส่วนเกินโดยแท้

 

 

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อม…” สีหน้าของจี้เหิงหรานดำคล้ำ เขาเตรียมจะเดินออกไปด้วยตนเอง ทว่าเขายังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงความวุ่นวายดังมาจากด้านนอก

 

 

“แม่นางอู๋! แม่นางอู๋! ท่านไม่อาจเข้าไปได้ขอรับ!”

 

 

“ทำไมจะเข้าไปไม่ได้กัน พระราชเสาวนีย์ของไทเฮาอยู่ที่นี่ รีบถอยไปซะ!”

 

 

“โอ๊ย! แม่นาง นี่ไม่ใช่ท่านกำลังทำให้พวกบ่าวลำบากใจหรือขอรับ!”

 

 

 

 

การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ซูหลีงุนงง ไปเล็กน้อย นางเหลือบตามองไปยังด้านนอกหอเก็บตำราครู่หนึ่ง สีหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

 

 

“ใครอยู่ด้านนอกกัน” จี้เหิงหรานถามขึ้นด้วยสีหน้าเมินเฉย

 

 

“เรียนใต้เท้าจี้ คือแม่นางอู๋ อู๋โยวหรานขอรับ!” หวงเผยซานที่อยู่ด้านนอกตอบเสียงดังกลับมาประโยคหนึ่ง

 

 

ที่สำคัญคือตำแหน่งของอู๋โยวหรานผู้นี้ค่อนข้างวางตัวไม่ถูก นางไม่ใช่เฟยผินในวังหลัง และไม่ได้มีตำแหน่งองค์หญิงอะไรประเภทนั้น ทว่ากลับอาศัยอยู่ในพระราชวังและเดินไปมาพร้อมกับไทเฮา

 

 

ดังนั้นทุกคนจึงเรียกนางว่า แม่นาง

 

 

เพียงแต่น้ำเสียงของหวงเผยซานในช่วงเวลานี้ยังเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

 

 

ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เป็นอู๋โยวหรานผู้นี้อีกแล้ว!

 

 

ไยอู๋โยวหรานผู้นี้ถึงทำตามอำเภอใจเช่นนี้ นางชอบเข้ามาภายในห้องเก็บตำราแห่งนี้หรือ

 

 

“ฝ่าบาท?” จี้เหิงหรานผงะไปเล็กน้อย รู้สึกว่าเรื่องนี้ตนไม่สามารถจัดการได้นาง จึงหมุนกายมองทางฉินเย่หาน คิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานยังไม่ทันได้พูดออกมา ก็ได้ยินซูหลีเอ่ยขึ้นโดยกะทันหันว่า

 

 

“ให้นางเข้ามา!” จี้เหิงหรานขมวดคิ้ว มองไปทางซูหลีด้วยสายตาที่มีความไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย เขาไม่เชื่อว่าซูหลีจะมองไม่ออกว่า แท้จริงแล้วอู๋โยวหรานผู้นี้กระโจนเข้ามาหาใคร!

 

 

“ไม่ใช่ในมือมีพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาหรือ” ซูหลีได้ยินคำพูดจากด้านนอกอย่างชัดเจน นางกวาดสายตามองจี้เหิงหรานปราดหนึ่งและเอ่ยว่า

 

 

“ไม่อนุญาตให้นางเข้ามา นั่นไม่ใช่การทำให้ฝ่าบาทถูกกล่าวหาว่าอกตัญญูต่อไทเฮาหรือ”

 

 

จี้เหิงหรานหมดคำจะพูด ช่วงนี้ที่ไทเฮาเสด็จประพาสที่พระราชวังแห่งนี้ ก็ก่อความวุ่นวายขึ้นจำนวนไม่น้อย

 

 

“ฝ่าบาท!” ขณะที่ซูหลีกำลังเอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่าอู๋โยวหรานกระทำสิ่งใด จึงฝ่าคนเหล่านั้นจนเข้ามาภายในนี้ได้!

 

 

“เสด็จพี่ ท่านทรงมิเป็นอะไรใช่หรือไม่เพคะ”