บทที่ 889 : เส้นทางใคร เส้นทางมัน!
เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนจะให้เครื่องบินส่วนตัวไปส่งที่ฮ่องกงมู่หลงเฟยจื่อก็ถึงกับงุนงง แม้เธอจะเป็นคนมีฐานะ แต่ก็ไม่ชอบความสิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็น
“ห๊ะ!บินไปแค่สองชั่วโมงนี่นะ?!”
ราคาเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากที่นี่ไปฮ่องกงก็ต้องมีหลายแสนหยวนมู่หลงเฟยจื่อไม่ต้องการใช้เงินไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็นแบบนี้
หลิงหยุนยิ้มบางพร้อมกับตอบไปว่า“ใครบอกจะให้คุณเช่าเครื่องบินสวนตัวล่ะ ผมจะให้เครื่องบินส่วนตัวของผมไปส่งคุณต่างหากล่ะ!”
“อะไรนะ!นี่นาย.. นายมีเครื่องบินส่วนตัวด้วยงั้นเหรอ?! ทำไมฉันไม่เคยรู้เลยล่ะ?”
มู่หลงเฟยจื่อร้องตะโกนออกมาด้วยความรู้สึกแปลกใจและอัศจรรย์ใจ เธออยู่จิงฉูมาตั้งนาน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหลิงหยุนมีเครื่องบินส่วนตัว..
และหากหิงหยุนซื้อเครื่องบินส่วนตัวจริงเธอก็น่าจะได้ข่าวคราวบ้าง..
“เอ่อ..ความจริงแล้วเป็นเครื่องบินส่วนตัวของปู่ผม ท่านปู่ส่งมาเพื่อรับผมกลับ..”
“งั้นเหรอ!”
มู่หลงเฟยจื่อนึกขึ้นมาได้ว่าหลิงหยุนไปปักกิ่งครั้งนี้ก็เพื่อไปพบกับครอบครัวที่แท้จริงของตนเองและตระกูลหลิงก็เป็นถึงหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่แห่งปักกิ่ง ดังนั้นการจะมีเครื่องบินส่วนตัวสักสองสามลำ ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร
“ดูท่าท่านปู่ของนายคงจะรักและเป็นห่วงนายมากสินะ!ฉันขอแสดงความยินดีด้วย!” มู่หลงเฟยจื่อร้องบอกเสียงเบา
มู่หลงเฟยจื่อยินดีกับหลิงหยุนด้วยใจจริงก่อนหน้านี้หลิงหยุนมีชีวิตที่ค่อนข้างรำเค็ญ แต่เธอก็ตกหลุมรักไปแล้ว และไม่ว่าหลิงหยุนจะเป็นใคร ชาติกำเนิดเช่นใด เธอก็ยังรักอยู่ดี..
มู่หลงเฟยจื่อเคยภาคภูมิใจในตัวเองและภาคภูมิใจกับธุรกิจจิวเวลรี่ของตนเอง แต่ตอนนี้ฐานะของหลิงหยุนได้กลายเป็นนายน้อยแห่งตระกูลหลิงไปแล้ว ฐานะของเธอเวลานี้จึงแตกต่างกับหลิงหยุนมาก!
MurongFeixue โชคดีตามธรรมชาติแม้หลังจากที่โชคดีโชคดีที่ตัวเองไม่ได้ถือไว้นานเกินไปหากมันเป็นขั้นตอนต่อมาหลิงหยุนมีเหตุผลที่สงสัยว่าเธอไม่ได้รักหลิงหยุน แต่มีความพยายามอื่น ๆ
มู่หลงเฟยจื่อนึกดีใจที่เธอตกหลุมรักหลิงหยุนก่อนหน้านี้เพราะไม่เช่นนั้น.. หลิงหยุนอาจจะคิดว่าเธอรักเขาเพราะฐานะที่สูงส่งของเขาก็ได้ และหากเป็นเช่นนั้น เธอเองก็คงจะเสียใจอย่างมาก
“ตามนี้ก็แล้วกัน!”
หลิงหยุนไม่รอช้า..เขารีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาฉางจวิ้น และขอให้ฉางจวิ้นจัดการประสานงานกับทางสนามบินจิงฉู เพื่เตรียมไปส่งมู่หลงเฟยจื่อที่ฮ่องกง
“เอาล่ะ..คุณไปเตรียมตัวจัดกระเป๋าไปสนามบินได้แล้ว!”
หลังจากวางสายจากฉางจวิ้นแล้วหลิงหยุนก็หันไปบอกมู่หลงเฟยจื่อ..
ศาลาเทียนสี่นั้นมีสาขาอยู่ที่ประเทศฮ่องกงและมู่หลงเฟยจื่อก็มีบ้านอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน เธอจึงไม่ต้องจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้อะไรไปด้วยมากมายนัก จึงมีเพียงกระเป๋าเดินทางแค่ใบเดียว และเธอก็ได้จัดเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
หลิงหยุนช่วยยกกระเป๋าของมู่หลงเฟยจื่อไปไว้ที่ท้ายรถมู่หลงเฟยจื่อมองรถมาเซราติของตนเองพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขัดใจ
“นี่มันรถของฉัน!”
หลิงหยุนได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะแกรกๆ“ถ้าพี่มู่หลงอยากได้คืน.. ก็เอากลับไปได้เลย!”
“ใครบอกว่าฉันอยากได้คืนล่ะ”
มู่หลงเฟยจื่อตอบอายๆ“ฉันยังจำได้ที่นายแกล้งฉันวันนั้นได้!”
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังแล้วตอบกลับไปว่า “ความจริงแล้ว.. ผมก็ยกรถคันนี้ให้เป็นของขวัญวันเกิดกับหลิงยู่แล้ว..”
หลิงหยุนเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับและเรียกมู่หลงเฟยจื่อให้ขึ้นรถ “เอาล่ะ.. ขึ้นรถได้แล้ว!”
มู่หลงเฟยจื่อบิดสะโพกขึ้นไปนั่งตำแหน่งข้างคนขับและยื่นมือไปหยิกเอวหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“วันนั้นฉันให้เช็คนายไปตั้งสิบล้านแล้วต่อมาก็ตราหยกเทียนสี่!”
มู่หลงเฟยจื่อรีบหยุดทันทีและไม่พูดต่อเพราะไม่เช่นนั้นเธอคงต้องพูดออกไปว่า ‘แม้กระทั่งตัวฉันก็ยกให้นาย..’
ทันทีที่ได้รับคำสั่งจากหลิงหยุนฉางจวิ้นกับซู่รุ่ยก็รีบปฏิบัติตามทันที ทั้งคู่ได้ประสานงานกับท่าอากาศยานเมืองจิงฉูเพื่อขอเส้นทางบิน และเมื่อมาพบหลิงหยุนทุกอย่างก็พร้อมแล้ว เหลือเพียงแค่รอให้มู่หลงเฟยจื่อขึ้นเครื่องเท่านั้น
“หลิงหยุน..นายต้องคิดถึงฉันนะ! แล้วถ้าฉันคิดถึงนาย โทรหานาย นายต้องรับสายฉันด้วย!”
“ได้สิ!”
“แล้วก็ห้ามไปทำอะไรกับเด็กสาวพวกนั้นด้วยถ้าฉันรู้.. ฉันจะเลิกสนใจนายทันที!”
“สบายใจได้!”
ครั้งนี้มู่หลงเฟยจื่อต้องอยู่ฮ่องกงเป็นเดือนเมื่อจะต้องออกเดินทางจริงๆ เธอจึงอดที่จะมีเป็นห่วงเด็กสาวรอบตัวหลิงหยุนไม่ได้ แต่ในที่สุดก็ต้องโบกมือลาหลิงหยุนขึ้นเครื่องจริงๆ
หลิงหยุนเดินออกจากสนามบินไปยังที่จอดรถแต่ก็ไม่รีบร้อนที่จะกลับนัก จึงยืนมองเครื่องบินที่กำลังเทคออฟ..
ท่ามกลางเสียงเครื่องที่ดังกระหึ่มเครื่องบินส่วนตัวค่อยๆเชิดหัวขึ้น และนำร่างของมู่หลงเฟยจื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหายลับตาไป
“เฮ้อ..ในเมื่อต้องการเข้าสู่ขั้นพลังชี่.. คงเลี่ยงที่จะบ่มเพาะเคียงคู่ไม่ได้สินะ..”
หลิงหยุนส่ายหน้าแล้วขับรถออกจากสนามบินไป..
“พี่หยุน..นี่พี่ทำอะไรอยู่ รีบๆ บอกพ่อให้ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้!”
ระหว่างทางหลิงหยุนก็ได้รับโทรศัพท์จากถังเมิ่งทันทีที่รับสายเสียงโวยวายของถังเมิ่งก็ดังขึ้นทันที
หลิงหยุนหัวเราะร่าแล้วถามขึ้นว่า “นี่พวกเขายังจับตัวนายไว้อีกเหรอ”
ถังเมิ่งโวยวายกลับมาทันที“ใช่สิ! พวกเขาไม่ได้ขังฉัน แต่ก็ให้ฉันนั่งดื่มชาอยู่ในห้องพี่กัง แต่ก็ไม่ยอมให้ฉันกลับไป..”
หลิงหยุนมีความสุขอย่างมากที่เห็นถังเมิ่งร้องโวยวาย“ถ้าอย่างนั้นนายก็อยู่ต่ออีกหน่อยสิ.. ไม่แน่นะ.. อาจจะมีตำรวจสาวๆสวยๆ มาปลอบใจนายก็ได้ ฮ่า.. ฮ่า..”
“เงียบไปเลยพี่หยุน!พี่รีบโทรหาพ่อเลย.. ให้พ่อปล่อยฉันออกไปได้แล้ว ฉันยังมีเรื่องต้องทำอีกตั้งเยอะตั้งแยะ!”
“ได้ๆฉันจะโทรเดี๋ยวนี้แล้ว!”
และทันทีที่ถังเทียนห่าวได้รับโทรศัพท์จากหลิงหยุนเขาก็รีบสั่งให้ปล่อยตัวถังเมิ่งทันที..
เมื่อเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะโทรหาฉางหลิง และถามถึงสถานการณ์ที่โรงแรมไคเฉวียนก่อนอย่างอื่น จากนั้นจึงขอให้ฉางหลิงไปบอกกับเพื่อนๆ ทุกคนให้อยู่ทานอาหารเที่ยงที่โรงแรมก่อน แล้วค่อยแยกย้ายกันกลับ เพราะสถานการณ์ในเมืองจิงฉูตอนนี้ไม่สู้ดีนัก หากไม่จำเป็น หลิงหยุนก็ไม่อยากให้เพื่อนๆ ของเขาอยู่ที่โรงแรมนานนัก
องค์กรนักฆ่านั้นร้ายกาจกว่าหลี่จิ่วเจียงหลายเท่าอีกทั้งเพื่อนนักเรียนของเขาหลายคนก็ค่อนข้างใจร้อน หลิงหยุนไม่ต้องการให้พวกเขาต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องของตนเอง..
ก่อนที่จะวางสายไปหลิงหยุนก็ได้บอกกับฉางหลิงว่า “คุณช่วยบอกครูกงกับเฉิงเมี่ยนด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วงผม หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ก็ให้รีบกลับบ้านกันให้เร็วที่สุด แล้วก็ระมัดระวังความปลอดภัยกันด้วย”
ฉางหลิงได้ข่าวเรื่องระเบิดเมื่อคืนนี้เธอจึงบอกหลิงหยุนด้วยความเป็นห่วง และขอให้เขาระมัดระวังตัวให้มาก จากนั้นทั้งคู่ก็วางสายไป..
“เฮ้อ..นี่ควรจะเป็นหน้าที่ของถังเมิ่ง!”
หลังจากที่วางสายไปหลิงหยุนก็สูดลมหายใจลึกอย่างเหนื่อยหน่าย เรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นนี้ควรจะเป็นหน้าที่ของถังเมิ่ง แต่ตอนนี้ถังเมิ่งถูกจับกุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจ เขาจึงต้องจัดการด้วยตัวเอง แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ก็เกี่ยวพันถึงชีวิตของทุกคน เขาจึงต้องมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
เหตุใดหลิงหยุนจึงไม่มอบหมายงานเล็กๆน้อยเหล่านี้ให้ถังเมิ่งตั้งแต่แรก
นั่นเพราะหลิงหยุนเข้าใจเรื่องนี้ดี..
เสมือนไก่กับอินทรีย์..ไก่ไม่สามารถบินเหินไปบนท้องฟ้าร่วมกับอินทรีได้ หากมันยังฝืนที่จะทำเช่นนั้น ก็คงต้องตกลงมาตายอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าทั้งไก่และอินทรีย์นั้น ก็ยากที่บินอยู่บนเส้นทางเดียวกันได้..
เช่นเดียวกับผู้บ่มเพาะตนกับคนธรรมดาสามัญคนสองประเภทนี้แม้จะอยู่ในโลกใบเดียวกัน แต่ก็แตกต่างกันราวกับอยู่กันคนละโลก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต สิ่งที่ต้องเผชิญ และแม้แต่คู่ต่อสู้.. เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับดินเลยก็ว่าได้
หลิงหยุนเป็นผู้บ่มเพาะตนเมื่อใดที่เขาเข้าสู่ขั้นพลังชี่ ก็เท่ากับเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น จากนั้นทุกๆ อย่างบนโลกใบนี้จะค่อยๆ ห่างออกจากตัวเขาไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งไม่สามารถมาบรรจบกันได้อีก
หลิงหยุนต้องการไปสำรวจโลกลี้ลับใบนี้และยังต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง เขาจึงต้องเสาะหาสมุนไพรที่จะช่วยเพิ่มพลังชีวิตชนิดต่างๆ เพื่อเสริมให้ขั้นกำลังภายในของตนเองพัฒนาสูงยิ่งๆขึ้น
ชีวิตของผู้บ่มเพาะตนนั้น..นอกเหนือจากการฝึกฝนเพื่อพัฒนาขั้นที่น่าเบื่อแล้ว ก็ยังต้องคอยต่อสู้ และมีชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นความตายอยู่ตลอดเวลา!
ชีวิตเช่นนี้..คนธรรมดาสามัญจึงยากนักที่จะอยู่ร่วมกับผู้บ่มเพาะตนได้ ดังเช่นที่ไก่ไม่สามารถบินร่วมเส้นทางเดียวกับอินทรีย์ได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ..หากมีผู้บ่มเพาะตนที่อยู่ในระดับเดียวกับหลิงหยุนบุกมาหาเขาถึงที่บ้าน และบังเอิญว่าเขาเองก็ไม่อยู่ แน่นอนว่าคนรอบตัวเขาจะถูกคนผู้นั้นสังหารตายได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าบี้มดตัวหนึ่ง..
อีกอย่าง..หากหลิงหยุนอยู่ในขั้นอดอาหารเพื่อฝึกฝน เขาอาจทนได้ที่ต้องอดอาหารทั้งวันทั้งคืน แต่หากเขายังต้องคอยหาให้คนรอบข้างดื่มกิน เขาจะเอาเวลาที่ใหนฝึกฝนวิชาเล่า!
เรียกได้ว่า..ด้วยความก้าวหน้าที่รวดเร็วของหลิงหยุน ผู้คนรอบตัวเขาไม่ว่าใครก็ตาม ก็จะค่อยๆ ห่างออกจากวงจรชีวิตของหลิงหยุนไปเอง เพราะไม่เช่นนั้น.. หากหลิงหยุนไม่นำพาอันตรายมาสู่ทุกคน ก็อาจเป็นว่าทุกคนกลับกลายเป็นปัญหาสำหรับหลิงหยุนแทน
มนุษย์มีเส้นทางของมนุษย์..เซียนก็มีเส้นทางของเซียน!
อีกไม่นานหลิงหยุนก็จะเข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้วหลังจากนี้ความแตกต่างก็จะมีให้เห็นอย่างเด่นชัด เส้นทางของหลิงหยุนต่อไปจะยิ่งโหดร้าย และยากเข็ญมากขึ้น..
หลิงหยุนรู้ดีว่า..นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่มันคือสิ่งที่ผู้บ่มเพาะตนทุกคนจะต้องพบเจอ..
ระดับขั้นการฝึกบ่มเพาะตนล้วนไม่แตกต่างกันแต่ผู้บ่มเพาะตนแต่ละคนล้วนมีจุดเริ่มต้นแตกต่างกัน หลิงหยุนบ่มเพาะตนในขณะที่ยังเป็นมนุษย์ จึงต้องพบเจอกับปัญหาที่มากมายกว่า และต้องเสาะหาวิธีในการฝึกที่หลากหลายกว่า
และนี่คือสิ่งที่เรียกว่า..ชะตากรรมบนโลกใบนี้!
หลังจากสิ้นสุดชะตากรรมแห่งความเป็นมนุษย์แล้วจึงจะเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะของเซียน..
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่เงียบๆคนเดียว และไม่รู้ตัวว่ารถได้มาจอดอยู่หน้าบ้านเลขที่-1 แล้ว จึงยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถ.
บทที่ 890 : ต่อปากต่อคำ!
“พี่หลิงหยุน..พี่หลิงหยุน..”
“หลิงหยุน..”
เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนกลับมาแล้วเสี่ยวเม่ยหนิงก็รีบวิ่งออกมาจากห้องรับแขก และตะโกนเรียกหลิงหยุนอยู่ถึงสองครั้งสองครา แต่หลิงหยุนกลับไม่ได้ยิน และไม่ตอบรับ จนกระทั่งเธอต้องวิ่งออกมาดูด้วยตัวเอง..
“ห๊ะ!”
หลิงหยุนที่กำลังอยู่ในภวังค์ถึงกับตกใจเขาหันไปมองเสี่ยวเม่ยหนิงพร้อมกับดุไปว่า..
“ทำไมต้องตะโกนเสียงดังแบบนี้..หูผมจะแตกแล้ว!”
ทุกๆคนล้วนได้ทานอาหารเช้าฝีมือหลิงหยุน มีเพียงเสี่ยวเม่ยหนิงเท่านั้นที่พลาด เพราะยังไม่ตื่นนอน เธอจึงได้แต่แอบโมโห และตอบหลิงหยุนไปด้วยเสียงที่ไม่พอใจ
“ฉันเรียกพี่ตั้งหลายครั้งแต่พี่ก็ไม่ได้ยิน! ไม่รู้ว่าพี่ขับรถกลับมาบ้านได้ยังไง”
หลิงหยุนกำลังคิดอะไรเพลิน..เขารู้สึกคล้ายกับว่าเด็กสาวตัวแสบได้ร้องเรียกเขาอยู่สองสามครั้งก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่ได้ตอบกลับ จึงได้แต่พูดออกไปแก้เก้อ..
“นี่หนิงน้อย..ผมมัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อย! อย่าโมโหไปเลยนะ!”
ทันทีที่เดินออกมาจากรถหลิงหยุนก็เห็นร่างเซ็กซี่เย้ายวนเดินอยู่ภายในสวนสมุนไพร และก็คือเหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่กำลังจดจ่อชื่นชมอยู่กับสมุนไพรต่างๆ
สวนสมุนไพรมุมนี้กินเนื้อที่ถึงหนึ่งในสี่ของสวนภายในบ้านเลขที่-1และสมุนไพรเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่ย้ายมาจากสวนของบ้านท่านหมอเสี่ยวแทบทั้งสิ้น
เสี่ยวเมยหนิงกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมามีหน้าที่ดูแลสมุนไพรเหล่านี้แต่เสี่ยวเม่ยหนิงมักจะขี้เกียจไม่ค่อยดูแล จึงกลายเป็นหน้าที่ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาแต่เพียงคนเดียว และเธอก็ยินดีรับหน้าที่นี้ด้วยความเต็มใจ..
หลิงหยุนได้สร้างค่ายกลหลุมพลังไว้ภายในบ้านเลขที่-1พลังชีวิตภายในบ้านของหลิงหยุนจึงไม่สามารถเล็ดลอดออกไปใหนได้ ภายในสวนจึงมีพลังชีวิตที่เข้มข้น และต้นสมุนไพรเหล่านี้ก็เติบโตขึ้นมาด้วยการดูดซับเอาพลังชีวิตเหล่านี้เข้าไปอยู่ตลอดเวลา จากสมุนไพรธรรามดา จึงกลายเป็นสมุนไพรพลังชีวิต..
อีกทั้งยังได้ผู้ดูแลที่เชี่ยวชาญอย่างเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่เช่นนั้นคงจะไม่เจริญงอกงามได้ถึงเพียงนี้แน่..
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเป็นเด็กสาวจากเผ่าเหมี่ยวเจียงเติบโตมาท่ามกลางภูเขานับพันลูก เธอจึงคุ้นเคยกับต้นไม้ดอกไม้มาตั้งแต่เด็ก และชื่นชอบอากาศสดชื่นกับธรรมชาติอย่างมาก เธอสวมชุดกระโปรงสีเขียว ค่อยๆ เดินชมสวนสมุนไพรพลังชีวิตอย่างสนอกสนใจ
หลิงหยุนถึงกับตกตะลึงกับภาพที่เห็นและเกือบจะเคลิบเคลิ้มไปกับความงดงามของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าข้างกายตนเองนั้นมีเด็กสาวตัวแสบอยู่ จึงรีบถอนสายตากลับมา และถามขึ้นอย่างแปลกใจ..
“ทำไมถึงเหลือแค่พวกคุณแค่สองคนพี่น้องล่ะ!แล้วคนอื่นไปใหนกันหมด?”
คนอื่นที่หลิงหยุนถามถึงนั้นก็คือฉินตงเฉี่วยหนิงหลิงยู่ ไป๋เซียนเอ๋อ และเกาเฉินเฉินนั่นเอง..
เสี่ยวเม่ยหนิงยังคงอารมณ์เสียเธอยกมือเท้าสะเอวพร้อมกับตอบหลิงหยุนเสียงห้วน “ฉันไม่รู้!”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกแต่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาซึ่งอยู่ในสวนสมุนไพรกลับยืดตัวตรง เธอส่งยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า
“น้าหญิงกับหลิงยู่ไปที่โรงแรมไคเฉวียน..เห็นหลิงยู่บอกว่าสัญญากับฉีเสี่ยวชิงไว้ว่าจะไปหาเธอที่โรงแรม หลังจากนั้นก็จะกลับไปเอาของใช้ส่วนตัวที่บ้านเลขที่-9..”
“ส่วนเฉินเฉินก็กลับไปเอาของใช้ส่วนตัวที่บ้านเห็นบอกว่ากลับจากปักกิ่งรีบร้อนมากจนไม่ได้เตรียมของใช้ส่วนตัวมาด้วย! น้าหญิงเป็นห่วง ก็เลยให้เซียนเอ๋อไปเป็นเพื่อน..”
หลิงหยุนนึกขึ้นมาได้ว่า..ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น ในเมื่อจากนี้ไปทุกคนต้องมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ก็คงต้องเตรียมของใช้ประจำวันของตัวเองให้พร้อม..
เกาเฉินเฉินเองก็ตั้งแต่กลับมาจากปักกิ่งก็ยังไม่ได้กลับไปเอาของใช้ประจำวันที่บ้านของเธอเลย หลายวันมานี้จึงอาจอยู่อย่างไม่สะดวกสบายนัก..
แต่สถานการณ์ในเมืองจิงฉูเวลานี้ค่อนข้างตึงเครียดฉินตงเฉี่วยไปกับหนิงหลิงยูสองคนเช่นนี้ ทำให้หลิงหยุนอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
เขาถอนหายใจพร้อมกับพึมพำออกมาว่า“น้าหญิงเองก็ห้าวหาญเกินไป..”
เกาเฉินเฉินไม่น่าเป็นห่วงมากเพราะบ้านของเธออยู่ใกล้กับบ้านเลขที่-1 และที่สำคัญเธอมีไป๋เซียนเอ๋อไปด้วย ซึ่งน่าจะปลอดภัยกว่าอยู่กับหลิงหยุนเสียอีก..
แต่เหมี่ยวเสี่ยวเหมากลับยิ้มจนตาหยี..และพูดขึ้นมาพร้อมกับทำท่าทางเลียนแบบฉินตงเฉี่วย..
“ก่อนไปพี่ฉินบอกว่า..”
“จะต้องกลัวอะไรถ้าศัตรูมันกล้ามา ข้าจะสับมันเป็นชิ้นๆ!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่แอบกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆและได้แต่คิดในใจว่า ‘น้าหญิงนะน้าหญิง.. นี่ท่านไม่รู้จริงๆหรือว่าศัตรูนั้นเก่งกาจเพียงใด ท่านพูดราวกับว่าศัตรูด้อยฝีมือมาก!’
แต่จู่ๆหลิงหยุนก็รู้สึกคล้ายมีบางอย่างผิดปกติ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที และร้องถามออกมาอย่างตกใจ..
“เดี๋ยวก่อน..เมื่อครู่คุณเรียกน้าหญิงว่าอะไรนะ!”
เหมี่ยวเสียวเหมาบิดสะโพกพร้อมกับกระโดดออกมาจากสวนแล้วหัวเราะคิกคัก ก่อนจะตอบหลิงหยุนไปว่า
“พี่ฉิน..นางให้เรียกแบบนั้น..”
หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปและพูดอะไรไม่ออก หลังจากนิ่งไปนานจึงถามขึ้นว่า “ถ้าคุณเรียกน้าหญิงว่าพี่ฉิน.. เท่ากับว่าผมกับหลิงยู่มีศักดิ์ต่ำกว่าคุณน่ะสิ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก้าวเท้าเข้าไปหาหลิงหยุนช้าๆผมดำยาวเป็นประกายปลิวสะบัดไปมา แล้วตอบกลับไปว่า..
“หลิงหยุน..นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันกับหลิงยู่มีศักดิ์เท่ากัน! แต่ถ้านายจะเรียกฉันว่า ‘น้าเล็ก’ ฉันก็ไม่โกรธนายหรอกนะ!”
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..” เสี่ยวเม่ยหนิงได้ฟังก็ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนตัวงอ
หลิงหยุนหันไปมองเสี่ยวเม่ยหนิงและได้แต่คิดในใจว่าช่างมีความสุขเหลือเกินนะ!
จากนั้นจึงหันไปต่อล้อต่อเถียงกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาต่อ“ให้ผมเรียกคุณว่าน้าเล็กน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ!”
เสี่ยวเม่ยหนิงมองพี่สาวของตนเองกับหลิงหยุนต่อปากต่อคำกันอย่างที่ไม่มีใครยอมใครเช่นนั้นก็ได้แต่หัวเราะออกมาจนน้ำหูน้ำตาไหล และปวดท้องไปหมด
หลิงหยุนคิดถึงเรื่องบนหลังคาและคำพูดของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเมื่อเช้า ก็ได้แต่นึกโกรธและไม่พอใจ แต่การทะเลาะ และทำร้ายร่างกายผู้หญิง ก็ไม่ใช่เรื่องที่สุภาพบุรุษจะทำกัน หลิงหยุนจึงได้แต่นิ่งเงียบ และเดินหนีเข้าบ้านไป..
เหมี่ยวเสี่ยวเหมากับเสี่ยวเม่ยหนิงยังคงวิ่งตามหลิงหยุนเข้าไปในบ้านและเมื่อเห็นหลิงหยุนนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาไม่พูดไม่จา เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจึงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะหันไปถามหลิงหยุนว่า
“นี่..อย่าบอกนะว่านายโกรธจริงๆ! ฉันก็แค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง..”
หลิงหยุนเหลือบมองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับตอบไปว่า“ไม่.. ผมไม่ได้โกรธ!”
แต่ในใจนั้นกลับคิดว่า‘เสี่ยวเหมา.. ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าวันหลัง!’
และอีกใจหนึ่งก็นึกตำหนิฉินตงเฉี่วย‘น้าหญิงนะน้าหญิง.. ไม่น่าให้นางเรียกท่านว่าพี่เลยจริง!’
“ถังเมิ่งยังมาไม่ถึงอีกเหรอ!”หลิงหยุนรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
เสี่ยวเม่ยหนิงตอบกลับไปว่า“ถังเมิ่งโทรมาบอกว่าจะอยู่หารือกับผู้จัดการหวังก่อน หลังจากหารือกันเสร็จแล้วถึงจะมาที่นี่..”
หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้และหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาอาปิง “อาปิง.. ส่งคนของตระกูลซันทั้งสามคนมาที่บ้านเลขที่-1 เดี๋ยวนี้!”
อาปิงกำลังคุยกับโรงงานเรื่องก้อนเหล็กอยู่พอดีเมื่อได้ยินคำสั่งของหลิงหยุน ก็จัดการส่งคนตระกูลซันไปที่บ้านตามคำสั่งทันที..
ยี่สิบนาทีต่อมา..รถสีดำสองคันก็ขับเข้ามาในสวน และคนของแก๊งมังกรเขียวหกคน ก็พาร่างของยอดฝีมือตระกูลซันทั้งสามคนลงมาจากรถ
“โยนพวกมันไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่นั่น!”หลิงหยุนชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ในสวน
พี่น้องแก๊งมังกรเขียวทั้งหกคนช่วยกันลากร่างของยอดฝีมือตระกูลซันทั้งสามคนไปโยนไว้ใต้ต้นไม้และสภาพของมันก็แย่ยิ่งกว่าสุนัขที่กำลังจะตาย
“ที่นี่ไม่มีอะไรแล้วพวกเจ้ากลับไปได้!”
“ครับพี่หยุน!”
หลังจากที่พี่น้องแก๊งมังกรเขียวทั้งหกคนกลับไปแล้วหลิงหยุนก็เดินไปใต้ต้นไม้ใหญ่ และจัดการใช้กระแสลมปราณที่พุ่งผ่านออกจากนิ้วคลายจุดให้กับคนที่เป็นหัวหน้า..
ยอดฝีมือที่เป็นหัวหน้าได้ลิ้มรสหมัดของหลิงหยุนเข้าไปเมื่อคืนนี้แล้วเวลานี้แววตาของมันจึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว..
ตอนนี้เขาเองก็เพิ่งเข้าใจว่าเพราะเหตุใดตระกูลซันจึงส่งพวกเขามาคุ้มครองหลี่จิ่วเจียง และกำชับไม่ให้พวกเขามีเรื่องกับหลิงหยุน เพราะหลิงหยุนนั้นแข็งแกร่งมากเกินกว่าที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาทั้งสามคน!
“พวกเจ้าเป็นยอดฝีมือเสียเปล่า..แต่กลับช่วยเด็กหนุ่มเจ้าสำราญชั่วช้ารังแกครอบครัวที่มีเพียงแม่กับลูกสาวสองคน และแม้แต่เด็กสาวอายุเพียงแค่สิบห้าสิบหกปี ไม่เพียงเจ้าไม่ละเว้น แต่กลับลงมือได้อย่างเลือดเย็น เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่”
หลิงหยุนยืนเอามือไขว้หลังและจ้องมองผู้ที่เป็นหัวหน้าด้วยสายตาเย็นชา เหงื่อเย็นไหลท่วมตัวของมัน ขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง และไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดออกมาแม้แต่คำเดียว เพราะรู้ดีว่าชีวิตของตนเองนั้น อยู่ในเงื้อมือของหลิงหยุน!
“ชีวิตของเจ้านับจากนี้จะเป็นอย่างไรอยู่ที่ตัวเจ้าเลือกเองแล้ว!”
หลิงหยุนคร้านที่จะพูดไร้สาระอีก“บอกชื่อของเจ้ามา..”
“หวัง..หวังเฟยฮู๋”
“บอกข้ามา..ครั้งนี้พวกเจ้ามากันทั้งหมดกี่คน และมีจุดประสงค์อะไร? อ่อ.. แล้วก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับตระกูลซันที่พวกเจ้ารู้มาให้ข้าฟัง.. เล่าทุกอย่างที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด..”
“ถ้าเจ้ากล้าโกหกข้าแม้แต่คำเดียว..ข้าจะทำให้เจ้านึกเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้เลยทีเดียว!”
หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับกวาดสายตาไปทางลูกน้องทั้งสองคนของหวังเฟยฮู๋..