เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งสาวใช้ไปหยิบพู่กันกระดาษมา
ฮั้วเซียงหลิงเขียนที่อยู่ลงไป ทั้งชี้สาวใช้ข้างกายบอกพวกเขาว่า “นางคือเซียงผิง เป็นสาวใช้ข้างกายที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่เด็ก หากพวกท่านต้องการพบข้า ให้บอกคนเฝ้าประตูว่ามาหานางก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ฮั้วเซียงหลิงส่งสายตาให้บ่าววางกล่องสมุนไพรลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืน แสดงความคำนับเหวินเปียวอีกครั้ง “นายน้อย เซียงหลิงพูดคำไหนคำนั้น หากวันใดท่านต้องการไถ่ถอนตัว ให้รีบส่งข่าวมาบอกข้า บิดาข้าบอกไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใด พวกเราก็จะช่วยไถ่ถอนพวกท่านเอง”
เหวินเปียวพยักหน้ากล่าวขอบคุณ “ขอบคุณแม่นางฮั้วแล้ว ข้าไม่มีวันไถ่ถอนตัวเอง”
ฮั้วเซียงหลิงไม่พูดมากความอีก หลังจากกล่าวลาเมิ่งเชี่ยนโยวก็ออกไปจากห้องรับแขกพร้อมสาวใช้
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ กำชับชิงหลวนให้ออกไปส่งพวกเขานายบ่าว
เมิ่งเชี่ยนโยวมองแผ่นหลังฮั้วเซียงหลิง คิดถึงคำพูดนาง ยกคิ้วขมวดมุ่น
เหวินเปียวยังคงรับความจริงนี้ไม่ได้ นั่งเหม่อลอยบนเก้าอี้ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ส่งเสียง นั่งอยู่กับเขาเงียบๆ
ครู่ใหญ่เหวินเปียวถึงส่งเสียงเคร่งขรึมถามขึ้น “แม่นาง ท่านว่าในตอนนั้นข้าทำผิดไปหรือไม่ ข้าไม่ควรยื่นมือเข้าช่วยแม่นางฮั้ว เช่นนั้นบิดาข้าก็จะไม่ต้องกระอักเลือดตาย พวกเราพี่น้องก็ไม่ต้องถูกตัดสินเป็นทาสหลวง ส่วนพี่น้องในสำนักคุ้มภัยก็ไม่ต้องพบหน้าใครไม่ได้เหมือนเช่นตอนนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่งตำหนิไปก่อน นี่เป็นเพียงการคาดเดาของแม่นางฮั้ว จะเป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้สำนักคุ้มภัยต้องเดือดร้อนหรือไม่นั้น พวกเราต้องคิดหาวิธีเค้นความจริงจากปากเฮ่อเหลี่ยนก่อนค่อยว่ากัน สำหรับพรรคพวกของเจ้า เมื่อเจ้ารู้ว่าพวกเขาปลอดภัยดี เจ้าก็ไม่ต้องคิดคำนึงให้มากเกินไปอีก ข้าขอรับประกัน สักวันพวกเจ้าจะต้องได้พบหน้ากัน”
คนในสำนักคุ้มภัยยังอยู่รอดปลอดภัย นี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดของเหวินเปียวแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยถึงพวกเขา ทำให้สีหน้าทุกข์ตรมของเหวินเปียวผ่อนคลายลงไม่น้อย “นั่นสิ คิดไม่ถึงเลยว่า พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ เช่นนี้ต่อไปข้าจะได้ไม่ต้องนอนฝันร้าย ฝันเห็นพวกเขาตายอย่างน่าสังเวชในดินแดนทุรกันดารแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มละไม “ดูท่าเถ้าแก่ฮั้วก็เป็นคนจิตใจดี รอให้พวกเจ้าล้างมลทินหมดสิ้น เจ้าจะต้องขอบคุณเขาให้ดีเทียว”
เหวินเปียวเข้าใจนัยแฝงของนาง รีบร้อนโบกมือ “แม่นาง ตอนนี้ข้ามีเรื่องให้ทำมากพอแล้ว อย่าหาเรื่องมาให้พวกเรากลัดกลุ้มใจอีกเลย นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว พวกเราปล่อยวางสำนักคุ้มภัยไปนานแล้ว ขอเพียงพวกเขายังอยู่รอดปลอดภัยดี จะได้รื้อการตัดสินหรือไม่ ไม่สำคัญอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจี้ใจเขาอย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อพวกเจ้าปล่อยวางแล้ว เหตุใดวันนั้นถึงอยากกลับไปดูสำนักคุ้มภัยอีก”
เหวินเปียวตอบไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “วางใจเถอะ การวางเพลิงในคุกครั้งนั้นให้บทเรียนแก่พวกเราแล้ว เรื่องนี้ข้าจะค่อยๆ วางแผนการ จะไม่บุ่มบ่ามเลินเล่ออีก พวกเจ้าก็ไม่ต้องใจร้อน ทำใจรอให้สบาย สักวันหนึ่ง ข้าจะให้พวกเจ้าได้เปิดสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนขึ้นอีกครั้ง”
เหวินเปียวติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาหลายปี รู้ว่านางเป็นคนพูดจริงทำจริง พูดแล้วไม่คืนคำ พยักหน้าอย่างตื้นตัน “ข้าเชื่อแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองเขา
กระทั่งเหวินเปียวปรับอารมณ์เป็นปกติแล้ว ถึงกำชับเขา “เรื่องในวันนี้ นอกจากเจ้ารู้ ข้ารู้แล้ว ห้ามบอกคนอื่นเป็นอันขาด ต่อให้เป็นเหวินหู่หรือเหวินเป้าก็ไม่ได้”
เหวินเปียวก็เป็นคนฉลาด เข้าใจความหมายของนางทั้งพยักหน้าทันที “ทราบแล้วแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ลุกขึ้นเดินมาข้างโต๊ะ เปิดกล่องบรรจุสมุนไพรทุกใบออก มองดูสมุนไพรในกล่อง เลือกออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วมอบสมุนไพรพร้อมทั้งกล่องให้เขา พูดว่า “สมุนไพรพวกนี้มีประโยชน์ช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของพวกเจ้า เจ้านำกลับไป ให้พ่อครัวต้มให้ดื่ม ส่วนที่ข้าหยิบออกมานี้ไม่มีประโยชน์ เก็บเอาไว้ที่ข้าก่อน หากพวกเขาถามความ เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนให้ก็พอ”
เหวินเปียวรับคำ หยิบกล่องเดินออกไปจากห้องรับแขก
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งจูหลีนำสมุนไพรที่เหลือไปเก็บไว้ในห้องตนเอง
ชิงหลวนส่งฮั้วเซียงหลิงและบ่าวออกไปแล้วกลับเข้ามารายงาน “นายท่าน แม่นางฮั้วนั่งรถม้าจากไปแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “รู้แล้ว พวกเจ้าก็ออกไปเถอะ”
ชิงหลวนและจูหลีรับคำ โน้มตัวถอยออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่า วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เข้ามา ให้นึกกังขา เปล่งเสียงพูดไปด้านนอก “ชิงหลวน เจ้าไปถามคนในเรือนสิว่า วันนี้ซื่อจื่อเข้ามาหรือไม่”
ชิงหลวนรับคำ เดินออกไปถาม ไม่นานก็กลับเข้ามา “นายท่าน วันนี้ซื่อจื่อไม่ได้เข้ามาเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าเขาคงมีเรื่องติดขัด จึงไม่ได้ใส่ใจ บอกชิงหลวนนำสมุนไพรจำนวนหนึ่งออกมา นางจะสอนจำแนกตัวยาให้
หนึ่งวันผ่านไป
กระทั่งวันรุ่งขึ้น กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตั๋วเงินสองล้านตำลึงออกมาจาก**บมอบให้เมิ่งฉี
เมิ่งฉีพับเก็บใส่อกเสื้ออย่างระวัง
สองพี่น้องขึ้นบนรถม้า พาชิงหลวงและจูหลีมายังสถานที่หนึ่งใกล้กับร้านที่พระชายารองติดประกาศขาย
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนรถให้หยุดรถม้า
เมิ่งฉีลงจากรถม้าไปโดยลำพัง มุ่งหน้าเดินมายังร้านค้า
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้ชิงหลวนตามหลังไป
สาวใช้ของพระชายารองก็มารอที่หน้าร้านแล้ว เห็นเมิ่งฉีไม่มา กำลังเดินงุ่นง่านไม่เป็นสุขอยู่หน้าร้าน สายตาคอยสอดส่องไปทั่ว
กระทั่งเห็นเมิ่งฉีเดินเข้ามา ก็อดตำหนิบ่นขึ้นไม่ได้ “คุณชายท่านนี้ ทำไมถึงมาช้าแบบนี้นะ ข้ารอท่านมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว”
เมิ่งฉีแหงนหน้ามองท้องฟ้า พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ไม่ช้านะ วันนี้ข้าตั้งใจมาเร็วกว่าเวลานัดเมื่อวานเล็กน้อยด้วย”
พระชายารองไม่เคยคิดว่าสักวันจะต้องมอบสิทธิ์ดูแลบ้านคืน ดังนั้นช่วงที่เป็นคนดูแล จึงเชื่อคำแนะนำเฮ่อเหลี่ยน นำเงินส่วนกลางจำนวนไม่น้อยไปปล่อยกู้ ตอนนี้กลับถูกริบสิทธิ์คืนกะทันหัน นางรีบส่งคนไปบอกเฮ่อเหลี่ยน ให้เขาเก็บเงินที่นำไปปล่อยกู้กลับคืนมา แต่ยังไม่ครบกำหนด คนที่มากู้ยืมเงินไม่มีเงินคืนให้ เฮ่อเหลี่ยนก็ดันมาเกิดเรื่องขึ้นอีก พระชายารองไม่กล้ากลับไปคร่ำครวญ จำต้องแอบขายเครื่องแต่งงานของตัวเอง วันที่จะต้องคืนสิทธิ์การดูแลบ้านก็ใกล้เข้ามาทุกที กลับไม่มีใครถามไถ่สักคน พระชายารองกลัวเรื่องจะแดง ร้อนใจเหลือจะเอ่ย พอเมื่อวานสาวใช้กลับมาบอกความ พระชายารองโมโหจนแทบกระอักเลือด ในเวลาเดียวกันก็ยังดีใจที่อย่างน้อยก็มีคนยอมซื้อร้านค้าทั้งหมดในคราเดียว แม้เงินจะน้อยไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็พออุดรูรั่วได้บ้าง ส่วนที่เหลือนั้น นางค่อยคิดหาวิธีขายทรัพย์สินอย่างอื่น ดังนั้นวันนี้จึงให้สาวใช้มารอหน้าร้านแต่หัววัน
สาวใช้ก็กระวนกระวายใจ ทั้งกลัวเมิ่งฉีจะเปลี่ยนใจ พอเห็นเมิ่งฉีถึงได้พลั้งปากตำหนิไป
ได้ยินเมิ่งฉีตอบความ สาวใช้ถึงได้สติกลับมา เป็นตัวเองที่ใจร้อนไปเอง รีบผ่อนคลายน้ำเสียง ยกยิ้มพูดว่า “คุณชายอย่าถือสา ข้าที่ใจร้อนมาเร็วเอง”
เมิ่งฉีโบกมือไม่ใส่ใจ พูดอย่างมีมารยาท “หากข้ารู้ว่าแม่นางจะมาแต่เช้า ข้าคงจะมาเร็วกว่านี้ ลำบากแม่นางต้องรอนาน ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
สาวใช้โบกมือเป็นพัลวัน แก้คำพูดใหม่ “ไม่ๆๆ คุณชายมาได้ถูกโมงยามแล้ว หากมาเร็วไป ทางการยังไม่เปิดประตู พวกเราก็ดำเนินเรื่องไม่ได้อยู่ดี”
เมิ่งฉีได้ฟัง แสดงสีหน้าประหลาดใจระคนยินดี “แม่นางหมายความว่า คุณหนูของเจ้ายินยอมจะขายให้ข้าในราคานี้แล้ว”
สาวใช้พยักหน้า “คุณหนูของพวกเราบอกว่า ราคาที่ท่านให้น้อยไปบ้างก็จริง แต่ท่านซื้อร้านทั้งหมดในคราเดียว สมควรต้องให้ส่วนลดพิเศษกับท่าน”
เมิ่งฉีเปล่งน้ำเสียงปลื้มปริ่ม ทั้งเอ่ยคำยกยอพระชายารอง “ต้องขอบคุณคุณหนูของพวกเจ้าแล้ว ข้าเข้ามาทำการค้าในเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ก็ได้เจอคนดีเช่นคุณหนูพวกเจ้า ภายหน้าการค้าของข้าจะต้องเจริญรุ่งเรือง ต่อไปหากคุณหนูของพวกเจ้าต้องการสิ่งของใดในร้านค้า ให้มาได้ทุกเมื่อ ข้าจะขายให้พวกเจ้าในราคาทุนเลย”
เดิมสาวใช้เห็นพระชายารองยอมขายร้านค้าในราคาต่ำเช่นนี้ ก็ให้ปวดใจยิ่งนัก ทั้งนึกเคียดแค้นชิงชังเมิ่งฉี คิดว่าเขาฉวยโอกาสกดราคาจนต่ำ ตอนนี้ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ความรู้สึกขุ่นมัวในใจสลายไปทันที พยักหน้ายินดี “เช่นนั้นก็ดี ถึงตอนนั้นท่านอย่ากลับคำพูดเล่า”
เมิ่งฉีพูดรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ
สาวใช้พูดขึ้นอีกว่า “ทั้งห้าร้านมีสินค้าค่อนข้างมาก ต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันถึงจะย้ายออกหมด ไม่ทราบว่าคุณชายพอจะผ่อนปรนเวลาสักระยะหนึ่งได้หรือไม่”
เมิ่งฉีพูดอย่างเบิกบาน “ได้อยู่แล้ว สินค้าของข้ากว่าจะลำเลียงมาจากบ้านเกิดก็ต้องใช้เวลา ข้าจะให้เวลาแม่นางห้าวันก็แล้วกัน”
สาวใช้กล่าวขอบคุณด้วยความยินดี
ทั้งสองถึงเดินไปศาลาว่าการด้วยกัน
ชิงหลวนเว้นระยะตามหลังพวกเขาไป
ทั้งสองตกลงกันเรียบร้อย ไม่นานก็ดำเนินการโอนย้ายเสร็จ ต่างฝ่ายต่างประทับลายนิ้วมือลงในเอกสาร ร้านค้าทั้งห้าแห่งก็กลายเป็นของเมิ่งฉีอย่างสมบูรณ์
เมิ่งฉีล้วงตั๋วเงินออกมาจากอกเสื้ออย่างระวัง มอบให้สาวใช้
สาวใช้นับอย่างถี่ถ้วน แล้วแย้มยิ้มพูดว่า “ไม่มากไม่น้อย สองล้านตำลึงพอดี”
เมิ่งฉีพับโฉนดเป็นอย่างดี ใส่ไว้ในอกเสื้อ พูดอย่างห่วงใย “แม่นางถือตั๋วเงินจำนวนมากนี้คนเดียวเกรงจะไม่ปลอดภัย ให้ข้าไปส่งเจ้าเถอะ”
สาวใช้โบกมือ ยิ้มพูดว่า “ขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ รถม้าของที่บ้านอยู่ไม่ไกลออกไป ข้าเพียงกวักมือ คนรถก็จะรีบเข้ามาแล้ว”
เมิ่งฉีพยักหน้า
ทั้งสองเดินออกมาจากศาลาว่าการ ไม่ไกลออกไปมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่จริงๆ สาวใช้กวักมือเรียก คนรถก็บังคับรถม้าเข้ามา สาวใช้ขึ้นบนรถม้า กล่าวอำลาเมิ่งฉี แล้วเร่งเร้าให้คนรถรีบกลับจวน
เมิ่งฉีรอจนรถม้าจากไปไกล ถึงหุบยิ้มลง พยักหน้าให้ชิงหลวนที่อยู่ไม่ไกล เดินกลับไปตามทางเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านรถรอพวกเขานานแล้ว เห็นเมิ่งฉีกลับมา ใช้แววตาถามอย่างอดใจรอไม่ไหว
เมิ่งฉีส่งยิ้มเฉิดจรัสให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ทันทีว่าเรื่องสำเร็จแล้ว ให้ดีอกดีใจใหญ่
เมิ่งฉีขึ้นไปบนรถม้า ล้วงโฉนดห้าแผ่นออกมายื่นไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา มองดูอย่างถี่ถ้วน พบว่าล้วนแต่เป็นชื่อตนเอง ลอบขบคิด เอาไว้พอมีเวลา ค่อยเข้าไปเปลี่ยนชื่อที่ศาลาว่าการ ใส่ชื่อพี่น้องร้านละชื่อดีที่สุด
เมิ่งฉีไม่รู้ความคิดนาง เห็นนางไม่คัดค้าน ยังแอบลอบดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวดูเสร็จ ก็ยื่นโฉนดคืนให้เมิ่งฉี
เมิ่งฉีรับมา พับอย่างดีแล้วเก็บใส่อกเสื้อ
หลังจากเมิ่งฉีขึ้นมาบนรถม้า คนรถก็บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปเมืองฝั่งเหนือ เมิ่งเชี่ยนโยวพลันนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง สั่งการคนรถ “เจ้าไปช้าๆ หาร้านเครื่องประดับสักร้าน ข้าจะซื้อฉางมิ่งสั่วให้ม่อเอ๋อร์”
คนรถรับคำ ผ่อนความเร็วลง คอยมองหาร้านค้าข้างทางว่ามีร้านเครื่องประดับหรือไม่
เดินทางมาได้ระยะหนึ่งถึงหาเจอ คนรถจอดรถม้าหน้าร้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า ส่งสายตาให้ชิงหลวนและจูหลีรออยู่ด้านนอก จึงเดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับพร้อมเมิ่งฉี
พนักงานในร้านออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ถามด้วยความอ่อนน้อม “ทั้งสองท่านต้องการซื้อเครื่องประดับเช่นไรขอรับ”
“ข้าต้องการซื้อฉางมิ่งสั่วให้หลาน ไม่ทราบว่าร้านพวกท่านมีหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
พนักงานตอบกลับอย่างกระตือรือร้น “มีๆๆ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการซื้อแบบใด ทองคำหรือเงินแท้ขอรับ”
“เอาออกมาให้ข้าดูว่าจะชอบแบบใด”
“ได้ขอรับ” พนักงานรับคำด้วยความยินดี “ทั้งสองท่านนั่งรอที่เก้าอี้ก่อนนะขอรับ ข้าจะไปเอาทั้งหมดออกมาให้เดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีนั่งบนเก้าอี้ที่ทางร้านเตรียมไว้รองรับลูกค้า พนักงานอีกคนก็รีบยกชาสองถ้วยเข้ามา วางไว้ตรงหน้าพวกเขาคนละถ้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำชาขึ้น จิบหนึ่งคำ พนักงานวางฉางมิ่งสั่วทั้งหมดไว้บนถาด นำออกมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าคนทั้งสอง “ฉางมิ่งสั่วทั้งหมดของร้านเราอยู่ตรงนี้แล้ว ทั้งสองท่านค่อยๆ ดูนะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาในมือลง ดูฉางมิ่งสั่วไปทีละชิ้น สุดท้ายก็หยิบฉางมิ่งสั่วทองคำลวดลายประณีตชิ้นหนึ่งขึ้นมา ถามขึ้น “ข้าเอาชิ้นนี้ ราคาเท่าใด”
พนักงานเห็นนางเลือกฉางมิ่งสั่วชิ้นที่แพงที่สุดในร้าน พูดด้วยน้ำเสียงเจือแววปีติ “นี่เป็นแบบใหม่ล่าสุดที่พวกเราเพิ่งทำออกมา ใช้วัตถุดิบบริสุทธิ์ ฝีมือก็ประณีต ราคาแปดพันตำลึงขอรับ”
เป็นราคาที่เมิ่งเชี่ยนโยวคาดคิดไว้ ทว่านางก็ยังต่อรองออกไปว่า “ของกระจุ๋มกระจิ๋มสำหรับเด็กชิ้นหนึ่ง ราคาแปดพันตำลึงแพงเกินไป บอกราคาต่ำที่สุดมา หากเหมาะสมพวกเราก็จะซื้อ ถ้าไม่ได้พวกเราก็จะไปดูร้านอื่นต่อ”
พนักงานแสดงสีหน้าลำบากใจ พูดว่า “แม่นางก็เห็นแล้ว ฉางมิ่งสั่วชิ้นนี้ใช้ทองคำบริสุทธิ์ แค่ต้นทุนวัตถุดิบก็หลายพันตำลึงแล้ว บวกกับค่าแรงช่างฝีมือ พวกเราไม่ได้คิดเอากำไรเกินควรเลยขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยววางฉางมิ่งสั่วในมือลง ลุกขึ้นหันไปพูดกับเมิ่งฉีอย่างไม่แยแส “พี่รอง พวกเราไปดูเครื่องประดับร้านอื่นเถอะ”
เมิ่งฉีกำลังจะลุกขึ้น พนักงานก็เข้ามาขวางพวกเขา “อย่าๆๆ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน แม่นางพอจะให้ได้เท่าไรขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งไม่ขยับ พูดว่า “หกพันห้าร้อยตำลึง หากพวกท่านตกลง พวกเราจะจ่ายเงินให้ทันที”
พนักงานเริ่มกระสับกระส่าย ส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง พูดว่า “ไม่ได้ขอรับ หกพันห้าร้อยตำลึงไม่ได้เด็ดขาด”
“เช่นนั้นท่านบอกราคาที่ให้ได้มา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
พนักงานยื่นมือออกไปทำเป็นตัวเลข “เจ็ดพันห้าร้อยตำลึง น้อยกว่านี้ไม่ขาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งมองท้องฟ้าด้านนอกแวบหนึ่ง พูดว่า “พวกเรายังมีธุระด่วนต้องไปจัดการ ข้าจะเพิ่มให้พวกท่านอีกหน่อย หกพันแปดร้อยตำลึง หากได้ พวกเราก็จะเอาไปด้วย หากไม่ได้ก็ช่างเถอะ ท่านจะว่าอย่างไร”
พยักหน้าเห็นนางยืนกรานเด็ดขาด เหมือนมีธุระด่วนจริงๆ ไม่กล้ายืนหยัดราคาเดิมของตัวเอง “ราคานี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ พวกท่านรอสักครู่ ข้าจะไปถามหลงจู๊ก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ทำท่าทำทางรีบร้อน “รีบไปเถอะ พวกเราจะรอ”
พนักงานวิ่งแนบเข้าไปหลังร้าน ครู่ใหญ่ถึงวิ่งย้อนกลับออกมา พูดว่า “หลงจู๊บอกให้ขายให้พวกท่านขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจ ส่งสายตาให้เมิ่งฉีล้วงเงินออกมา
เมิ่งฉีล้วงตั๋วเงินออกมามอบให้พนักงาน พนักงานนับอย่างถี่ถ้วน แล้วบรรจุฉางมิ่งสั่วลงในกล่องงดงามใบหนึ่งต่อหน้าพวกเขา บรรจงมอบให้พวกเขา “แม่นาง พวกเราไม่ได้กำไรจากฉางมิ่งสั่วชิ้นนี้จากพวกท่านเลย ครั้งหน้าหากต้องการสิ่งใดจะต้องมาซื้อที่ร้านพวกเรานะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เครื่องประดับร้านพวกท่านเนื้องานประณีต เอาไว้ข้ามีเวลา จะมาเลือกกลับไปอีกสองสามชิ้น”
พนักงานได้ยินคำพูดตอบกลับของนาง ก็ให้ดีใจยกใหญ่ ออกมาส่งทั้งสองคนถึงหน้าประตู มองดูพวกเขาขึ้นรถม้าจากไปไกล ถึงหันหลังเดินกลับเข้าร้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งในรถม้า เปิดกล่องออกดูอย่างอดใจไม่ได้ ทั้งหยิบฉางมิ่งสั่วออกมาพินิจดูไม่วางตา
เมิ่งฉีเห็นนางชื่นชอบมาก พูดหยอกเย้านาง “เมื่อวานพวกเราเพิ่งจะซื้อโรงงานได้ในราคาต่ำ วันนี้เจ้ากลับจ่ายเงินจำนวนมากนี้เพื่อซื้อฉางมิ่งสั่ว ใต้เท้าเปาคงไม่คิดว่าพวกเราติดสินบนเขาดอกนะ”
“ไม่ดอกเจ้าค่ะ ใต้เท้าเปารู้ว่าข้ามีนิสัยเช่นไร เรื่องแบบนั้นข้าไม่เคยคิดจะทำ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบหนักแน่น
เมิ่งฉีเพียงคิดจะแหย่เย้านาง เห็นท่าทีแน่วแน่ จึงไม่พูดอะไรอีก หยิบฉางมิ่งสั่วในมือนางมาพินิจดู เป็นฉางมิ่งสั่วที่ประณีตมากจริงๆ จนอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ไม่รู้ว่าร้านพวกเขารับสั่งทำหรือไม่ เอาไว้ตอนข้ากลับไปจะสั่งทำให้ฮวนเอ๋อร์สักชิ้น”
เขาเพิ่งจะพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดสวนทันควัน “เรื่องนี้ข้าคิดไว้แล้ว อีกไม่กี่วันพอมีเวลาว่าง ข้าจะวาดแบบร่าง แล้วหาร้านเครื่องประดับสั่งทำให้ฮวนเอ๋อร์สักชุด ไม่เพียงมีฉางมิ่งสั่ว แต่จะทำกำไลข้อมือให้ด้วย”
ตอนที่เมิ่งเส้าเกิด เมิ่งเชี่ยนโยวก็วาดแบบร่าง ให้ร้านเครื่องประดับในตำบลทำตามแบบ บัดนี้ทั้งตำบลชิงซีไม่มีแบบใหม่แล้ว เมิ่งฉีได้ยินแบบนั้นก็ให้ปลื้มปริ่มใจ พูดด้วยความปีติ “เช่นนั้นก็ขอบใจเจ้าแทนฮวนเอ๋อร์แล้ว”
ระหว่างที่พูดคุยก็มาถึงเมืองฝั่งเหนือ คนรถร้องถาม “นายหญิงขอรับ พวกเราจะไปโรงงานหรือไปบ้านใต้เท้าเปาก่อนขอรับ”
“ไปบ้านใต้เท้าเปาก่อนเถอะ ข้าจะไปถามถึงราคาค่าแรงของคนงานค่อยไปโรงงาน”
คนรถรับคำ บังคับรถม้าตรงมาจวนเปา
พ่อบ้านรออยู่หน้าประตูแล้ว เห็นพวกเขาเข้ามา ก็ยกยิ้มเดินเข้ามาพูดทันทีว่า “ใต้เท้าบอกว่าแม่นางเมิ่งและคุณชายเมิ่งจะเข้ามา ให้ข้ามารอรับพวกท่านหน้าประตูขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีพยักหน้าให้พ่อบ้าน จากนั้นเดินตามเขาเข้าไปในจวน จนมาถึงห้องรับแขก
ฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยพาม่อเอ๋อร์เข้ามารออยู่แล้ว เห็นทั้งสองเข้ามา ซุนฮุ่ยแย้มยิ้มถาม “เหตุใดถึงมาสายเช่นนี้ ข้านึกว่าพอเจ้ากินข้าวเช้าเสร็จก็น่าจะเข้ามาเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “มีเรื่องต้องทำระหว่างทาง ทำให้มาช้า” ว่าแล้วก็ย่อตัวลงกวักมือเรียกม่อเอ๋อร์
ม่อเอ๋อร์วิ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวคนแปลกหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดกล่องในมือออก นำฉางมิ่งสั่วคล้องไว้ที่คอเขา แล้วยิ้มถาม “นี่เป็นของขวัญที่อาซื้อให้ม่อเอ๋อร์ ม่อเอ๋อร์ชอบหรือไม่”
ม่อเอ๋อร์ยังไม่ทันได้พูด เสียงตกใจของฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยก็ดังขึ้นพร้อมกัน “รับไว้ไม่ได้นะ ของขวัญนี้สูงค่าเกินไป”