เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า ไม่ตอบความแต่หรี่ตามองกลับ ถามเสียงเข้ม “เจ้าคือ…”
“ข้าเป็นสาวใช้ของสกุลฮั้วเมืองฝั่งตะวันออก หอเหวินเซียงเป็นทรัพย์สินของนายท่านของพวกเราเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
มาอยู่ที่นี่ได้สักพักใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวพอจะรู้จักกิจการร้านค้าที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง หอเหวินเซียงเป็นร้านเครื่องประทินโฉมชื่อดังของเมืองหลวง เครื่องประทินโฉมที่ผลิตออกมาไม่เพียงเป็นที่แก่งแย่งในหมู่คุณหนูฮูหยินขุนนางชั้นสูง แม้แต่เหนียงเหนียงพระสนมในวังหลวงก็สั่งให้คนออกมาซื้อหา นอกจากเครื่องประทินโฉมที่จะผลิตออกมาใหม่ทุกปี โดยแต่ละปีก็ยังผลิตสูตรใหม่ในปริมาณจำกัดออกมา ยิ่งทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งยังไม่รับการจอง ดังนั้นหอเหวินเซียงจึงมีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก
ได้ยินนางบอกสกุลต้นสังกัด เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งไม่เข้าใจ “ไม่ทราบว่าแม่นางมาหาเหวินเปียวทำไม”
ได้ยินนางเอ่ยชื่อเหวินเปียว สาวใช้ก็รู้ทันทีว่าตนเองมาถูกที่แล้ว และไม่ได้ตอบคำถามนาง สาวเท้าเดินกลับไปข้างรถม้า พูดกับคนด้านใน “คุณหนูเจ้าคะ นายน้อยอยู่ที่นี่จริงๆ เจ้าค่ะ”
ม่านรถถูกเปิดออก หญิงสาวรูปลักษณ์หมดจดพริ้มเพรานางหนึ่งยื่นศีรษะออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยปีติยินดี “จริงหรือ รีบประคองข้าลงไป!”
สาวใช้หยิบเก้าอี้เตี้ยที่วางบนคานด้านหน้ามาวางข้างรถม้า ประคองคุณหนูลงจากรถม้าอย่างระวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูคุณหนูอายุราวสิบแปดสิบเก้าปี ใบหน้าสะสวย แต่งกายเรียบร้อยหมดจด ทุกท่วงท่ากิริยาแสดงถึงความเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ให้ขมวดคิ้วมุ่น
สาวใช้ประคองคุณหนูเดินมาถึงเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว คุณหนูย่อตัวคำนับทั้งสองคน พูดอย่างสง่าผึ่งผาย “ข้าคือฮั้วเซียงหลิง นายน้อยสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนเป็นผู้มีคุณช่วยชีวิตข้า หลายวันก่อนข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องกับเขา จึงรู้ว่าเขากลับเมืองหลวงมาแล้ว หลังจากสืบเสาะถาม ถึงได้รู้ที่แห่งนี้ หากท่านสะดวกขอข้าพบหน้าเขาสักครั้งได้หรือไม่”
ฮั้วเซียงหลิงกล่าวด้วยวาจาราบเรียบ ทว่าสีหน้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น ในความคาดหวังเจือแววกระสับกระส่าย
เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดถึงความหมายแฝงในคำพูดนาง ไม่ตอบรับทันที แต่พูดบอกปัดว่า “หลายวันก่อนเหวินเปียวได้รับบาดเจ็บ ค่อนข้างสาหัส เกรงจะมาพบคุณหนูไม่ได้ หากมีสิ่งใดก็พูดกับข้าเถอะ ข้าเป็นนายหญิงของเขา จะนำความไปบอกเขาเอง”
ฮั้วเซียงหลิงได้ฟังใบหน้ายิ่งแสดงอาการว้าวุ่นใจ “เพราะข้าได้ยินว่าผู้มีคุณได้รับบาดเจ็บ ถึงร้อนรนสืบถามความตรงมาที่นี่ ข้ายังนำสมุนไพรชั้นดีจำนวนมากมาด้วย” ว่าแล้วก็สะบัดมือไปข้างรถม้า
บ่าวที่รออยู่ข้างรถม้ารีบหยิบกล่องห้าหกใบออกมาจากในรถม้า เดินเข้ามา
“นี่เป็นสมุนไพรบำรุงร่างกายชั้นดีที่นำมามอบให้ผู้มีคุณ แม่นางพอจะให้ข้าพบเขาสักครั้งได้หรือไม่” ฮั้วเซียงหลิงชี้กล่องใบงามหลายกล่องในอ้อมกอดบ่าว พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างร้อนใจ
ต่อให้มีบุญคุณช่วยชีวิต การที่คุณหนูสูงศักดิ์มาขอพบบุรุษอย่างเปิดเผยเอิกเกริกเช่นนี้อย่างไรก็ไม่เหมาะสม อีกทั้งเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เคยได้ยินเหวินเปียวเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน ยิ่งเพิ่มความระแวดระวัง พูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยินดีให้ท่านเข้าไป แต่ตอนนี้เหวินเปียวได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจพบคนนอกได้ รบกวนคุณหนูค่อยมาใหม่ภายหลังเถอะ”
ฮั้วเซียงหลิงที่ดูเหมือนบอบบางอ่อนแอ กลับมีนิสัยดื้อรั้นหัวแข็งมาก แสดงท่าทีหากวันนี้ไม่ได้พบเหวินเปียวก็จะไม่ยอมเลิกรา พูดว่า “ข้ารู้ว่าผู้มีคุณได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าจะไม่พูดอะไรมาก หลังจากกล่าวขอบคุณที่เคยช่วยชีวิตข้า ก็จะรีบไปทันที”
พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หากเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ตกลงก็ดูจะแล้งน้ำใจเกินไป จำต้องสั่งการคนเฝ้าประตู “เจ้าจงไปบอกเหวินเปียว ว่าคุณหนูฮั้วเข้ามาขอบคุณที่ช่วยชีวิต ถามเขาว่าต้องการพบหน้าหรือไม่”
คนเฝ้าประตูรับคำ หันหลังหมายจะเข้าไปรายงาน
ฮั้วเซียงหลิงก็พูดขึ้นทันควัน “ผู้มีคุณไม่ทราบว่าข้าเป็นคุณหนูสกุลฮั้ว เจ้าบอกเขาว่าเป็นสตรีสองนางที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้กลางดึกเมื่อห้าปีก่อน”
คนเฝ้าประตูรับคำอีกครั้ง แล้ววิ่งแนบเข้าไป ไม่นานก็วิ่งกลับมา พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “นายท่าน เหวินเปียวบอกว่า นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ให้แม่นางท่านนี้ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ตอนนี้เขายังบาดเจ็บ ไม่ขอพบหน้าใคร ส่วนสมุนไพรก็ให้นำกลับไปขอรับ”
ฮั้วเซียงหลิงได้ฟังให้ร้อนรุ่มใจ พูดพรวดว่า “จะเป็นเรื่องเล็กได้อย่างไร หากไม่เพราะนายน้อยยื่นมือเข้าช่วย พวกเรานายบ่าวคงได้ป่นปี้อยู่ในเงื้อมมือของเดรัจฉานเฮ่อเหลี่ยนไปแล้ว”
ได้ยินนางเอ่ยถึงเฮ่อเหลี่ยน สะกิดใจเมิ่งเชี่ยนโยว เกิดความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในสมอง กลับคำพูดทันควัน “เมื่อคุณหนูฮั้วเข้ามาขอบคุณด้วยใจจริง เหวินเปียวไม่มีเหตุผลที่จะไม่พบท่าน เจ้าไปบอกเขาก่อน ให้เขาจัดการตัวเองแล้วไปเจอกันที่ห้องรับแขก ข้าและแม่นางฮั้วจะรอเขาอยู่ที่นั่น”
คนเฝ้าประตูรับวิ่งแนบเข้าไป
ฮั้วเซียงหลิงเห็นนางยินยอมแล้ว ดีอกดีใจ กล่าวขอบคุณไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “แม่นางฮั้ว เชิญข้างในเถอะ”
ฮั้วเซียงหลิงพยักหน้า เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไป สาวใช้เดินตามหลัง บ่าวที่หอบกล่องสมุนไพรเดินรั้งท้ายตามเข้าไป
เมิ่งฉีไม่รู้ว่าเหตุใดเมิ่งเชี่ยนโยวถึงเปลี่ยนความคิดกะทันหัน ยอมให้ฮั้วเซียงหลิงเข้าไป ครั้นคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง พอเข้ามาในจวนก็บอกลาเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วเดินกลับไปยังเรือนของตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวพาฮั้วเซียงหลิงเข้ามานั่งในห้องรับแขก สั่งสาวใช้ในเรือนไปชงชาเข้ามา เหวินเปียวที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วเดินสวนเข้ามา กำลังจะแสดงความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยว ฮั้วเซียงหลิงกลับยกชายกระโปรงขึ้นคุกเข่าให้เขาเสียงดัง “พลั่ก” สาวใช้ก็คุกเข่าตามไปด้วย
เหวินเปียวตกใจสะดุ้งโหยง คิดจะเข้าไปประคองพวกนางลุกขึ้น กลับได้สติว่าไม่เหมาะสม รีบพูดเสียงหลง “คุณหนู ทำอะไรของท่าน รีบลุกขึ้นเถอะ!”
ฮั้วเซียงหลิงยังคงคุกเข่า เงยหน้าขึ้น ให้เหวินเปียวได้เห็นใบหน้าชัดเจน ถามเสียงกระเส่า “ผู้มีคุณ ท่านจำข้าได้หรือไม่”
เหวินเปียวไฉนเลยจะมีอารมณ์พินิจมอง รีบร้อนพูด “แม่นางลุกขึ้นก่อนเถิด มีเรื่องอะไรค่อยว่ากัน”
ฮั้วเซียงหลิงดื้อรั้นไม่ยอมขยับ พูดว่า “ข้าไม่มีหน้าลุกขึ้น ผู้มีคุณต้องไปอยู่ชนบท ล้วนเป็นเพราะข้าทำให้ท่านต้องเดือดร้อน”
เหวินเปียวนิ่งค้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง รู้ว่าตนเองเดาถูกต้องแล้ว
เหวินเปียวกลับงุนงง ถามอย่างไม่เชื่อ “เรื่องสำนักคุ้มภัยของพวกเราจะเกี่ยวข้องกับแม่นางได้อย่างไร”
ฮั้วเซียงหลิงพูดว่า “ผู้มีคุณยังจำเรื่องเมื่อห้าปีก่อนได้หรือไม่”
เหวินเปียวพยักหน้า “จำได้ กลางดึกคืนหนึ่ง เพราะว่ามีผู้คุ้มกันในสำนักไข้ขึ้นกลางดึกเฉียบพลัน ข้าจึงออกไปซื้อยาให้เขา ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของสตรีสองนาง จึงตรงเข้าไปดู พบคนจำนวนหนึ่งกำลังล้อมกระทำการบัดสีสตรีสองนางนั้น ข้าจึงเข้าไปจัดการพวกเขาหนีไป”
ฮั้วเซียงหลิงแหงนหน้าถาม “ผู้มีคุณทราบหรือไม่ว่ากลุ่มคนที่ล้อมพวกเราไว้วันนั้นเป็นคนของใคร”
เหวินเปียวส่ายหน้า “ไม่ทราบ”
ฮั้วเซียงหลิงกัดฟันตอบความ “เป็นคนของเดรัจฉานเฮ่อเหลี่ยนส่งมา หากวันนั้นไม่ได้ผู้มีคุณยื่นมือเข้าช่วย บางทีตอนนี้ข้าอาจจะตายเป็นผีเร่ร่อนไปแล้วก็ได้”
เหวินเปียวไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “แม่นางฮั้ว มีอะไรค่อยพูดค่อยจาเถอะ”
เหวินเปียวก็ได้สติกลับมาแล้ว รีบร้อนพูด “ใช่ๆๆ แม่นางลุกขึ้นก่อนเถอะ”
สาวใช้เป็นห่วงฮั้วเซียงหลิง ได้ยินทั้งสองพูดเช่นนี้ รีบเข้าไปประคองนางขึ้น
สาวใช้ประคองฮั้วเซียงหลิงมานั่งบนเก้าอี้ ฮั้วเซียงหลิงกำลังจะพูดต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นว่า “แม่นางฮั้ว ดื่มชาปรับสภาพจิตใจ ค่อยพูดเถอะ”
ฮั้วเซียงหลิงที่พอเห็นว่าเหวินเปียว คิดย้อนถึงเรื่องที่สำนักคุ้มภัยทั้งสำนักต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง ตอนที่นายท่านสำนักคุ้มภัยได้รู้ว่าสำนักคุ้มภัยต้องมีจุดจบเช่นนี้ ก็โมโหจนกระอักเลือดตาย ส่วนเหวินเปียวนายน้อยสำนักคุ้มภัยรวมถึงพี่น้องครอบครัวต่างถูกตัดสินให้เป็นทาสหลวง ขับไล่ไปอยู่ชนบท ตอนที่นางได้รับทราบข่าวบอกบิดา ให้เขาหาทางส่งคนไปช่วยนั้น คนทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าถูกคุมตัวไปแห่งหนใดแล้ว โชคดีที่บิดาของนางรู้จักคนในราชสำนัก จ่ายเงินไปจำนวนไม่น้อย ซื้อตัวเหล่าผู้คุ้มภัยที่ถูกส่งตัวไปยังที่ทุรกันดารกลับมาได้ ทั้งจัดหาบ้านเรือนแห่งหนึ่งในเมืองหลวงให้พวกเขา บัดนี้เห็นเหวินเปียวปลอดภัยครบสามสิบสอง ยิ่งให้ตื้นตันใจจนพูดไม่ออก
ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว มือสั่นระริกของฮั้วเซียงหลิงยกถ้วยน้ำชาขึ้น จิบหนึ่งคำ ผ่อนคลายความรู้สึกลงถึงพูดต่อ “ตอนนั้นข้าอายุสิบสามปี มีวันหนึ่งข้าติดตามบิดาไปตรวจหอเหวินเซียง เจ้าเดรัจฉานเฮ่อเหลี่ยนพาฮูหยินมาซื้อเครื่องประทินโฉมเช่นกัน พอเขาเห็นข้าก็จับจ้องไม่วางตา ข้ารู้สึกแล้วว่าไม่ดี จึงหลบไปหลังร้าน เขาสอบถามสถานะของข้าจากพนักงานในร้าน แล้วส่งคนมาสู่ขอข้า บอกว่าจะแต่งข้าไปเป็นอนุภายในสามวัน บิดามีข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ย่อมไม่ยินดีให้ข้าแต่งไปเป็นอนุ จึงปฏิเสธอย่างรักษาน้ำใจไป เขารู้ว่าบิดาข้ารู้จักขุนนางชนชั้นสูงไม่น้อย จึงไม่กล้าบังคับขู่เข็ญ พวกเราต่างนึกว่าเรื่องจะจบเพียงเท่านี้ ไม่คิดว่า เขาจะคอยส่งคนมาเฝ้าดูทุกการกระทำของข้า กระทั่งวันนั้นข้าไปบ้านท่านป้า ด้วยท่านป้ารบเร้าให้ข้าต้องกินอาหารค่ำก่อนถึงกลับบ้านได้ ดังนั้นข้าถึงได้ปรากฏตัวอยู่บนถนนในเวลานั้น ความจริงมิได้มีแค่พวกเรานายบ่าวสองคน แต่ยังมีคนรถและคนคุ้มกัน แต่ทว่าถูกพวกเขาฆ่าตายหมด ตอนนั้นข้าและสาวใช้ฉวยโอกาสที่คนคุ้มกันขวางไว้ วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงออกมา แต่ก็ถูกพวกมันตามมาทัน พวกเราจึงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ นายน้อยผ่านมาช่วยพวกเราไว้ได้พอดี เฮ่อเหลี่ยนที่ลงมือไม่สำเร็จ คับแค้นใจ จึงวางแผนทำลายสำนักคุ้มภัย”
สิ้นเสียงนาง ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งห้องรับแขก
เหวินเปียวไม่คิดเลยว่าเพราะการเป็นผู้กล้าเพียงครั้งเดียวของตนเอง จะทำให้สำนักคุ้มภัยต้องล่มสลาย
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับขมวดคิ้วถาม “คุณหนูฮั้วทราบได้อย่างไรว่าสำนักคุ้มภัยถูกสั่งปิดเพราะเหวินเปียวเข้าช่วยเจ้า”
ฮั้วเซียงหลิงกัดฟันพูดว่า “เพราะเขาเคยพูดกับบิดาข้า ขอเพียงเป็นหญิงที่เขาต้องการไม่มีวันจะไม่ได้มาครอบครอง หากมีใครกล้ามาขวาง เขาจะทำให้คนผู้นั้นบ้านแตกสาแหรกขาด ตายไม่มีดินกลบหน้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ยังสงบนิ่ง พูดว่า “นี่เป็นเพียงการคาดเดาของแม่นางฮั้วเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับสำนักคุ้มภัยมีสาเหตุมาจากท่านจริงๆ”
ฮั้วเซียงหลิงโบกมือพัลวัน “ไม่ๆๆ เป็นเพราะข้าจริงๆ พวกท่านยังไม่รู้จักคนอย่างเฮ่อเหลี่ยน บิดาข้าบอกว่าเขาเป็นคนต่ำช้าจิตใจคับแคบ ทั้งเจ้าคิดเจ้าแค้น นายน้อยเข้ามาขวางทางเขา เขาจะไม่แก้แค้นได้อย่างไร”
เหวินเปียวราวกับยังตกอยู่ในภวังค์ ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา
ฮั้วเซียงหลิงละอายใจอย่างสุดซึ้ง “นายน้อย ขอโทษนะเจ้าค่ะ ข้าทำให้สำนักคุ้มภัยต้องเดือดร้อน ทำให้พวกท่านถูกเฮ่อเหลี่ยนเล่นงาน สำนักคุ้มภัยต้องมีจุดจบอย่างน่าอนาถ ทว่า ในตอนนั้นบิดาข้าได้ฝากฝังคนให้แอบช่วยเหล่าผู้คุ้มภัยที่ถูกเนรเทศไปอยู่ดินแดนทุรกันดารกลับมา ทั้งจัดหาที่อยู่ให้พวกเขาไปเป็นชาวนาอยู่นอกเมืองหลวง หากนายน้อยคิดถึงพวกเขา ข้าจะพาท่านไปเดี๋ยวนี้”
เหวินเปียวพลันเงยหน้ามองนาง นัยน์ตาฉายแววยินดีระคนไม่อยากเชื่อ ริมฝีปากสั่นระริกเป็นนาน ถึงถามด้วยความปลื้มปริ่ม “ที่แม่นางพูดมาเป็นความจริง พี่น้องของข้ายังมีชีวิตอยู่”
ฮั้วเซียงหลิงพยักหน้า “ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เป็นชาวนาอยู่นอกเมือง”
เหวินเปียวยิ่งให้ปริ่มเปรมใจ ชายกำยำอกสามศอกกลับหลั่งน้ำตาแห่งความอิ่มเอม พูดงึมงำ “มีชีวิตอยู่ก็ดี มีชีวิตอยู่ก็ดี”
ฮั้วเซียงหลิงรู้ว่าเขาก็คิดถึงเหล่าผู้คุ้มกันมาก ถามขึ้น “หากผู้มีคุณต้องการไปหาพวกเขา ข้าสามารถพาท่านไปตอนนี้ได้เลย”
เหวินเปียวกำลังจะพูด กลับถูกเมิ่งเชี่ยนโยวชิงพูดเตือนขึ้น “ครั้งนี้เฮ่อเหลี่ยนโดนเอาคืนหนัก จะต้องไม่ยอมยุติโดยง่าย หากเจ้าไปหาพวกเขาตอนนี้ อาจจะถูกเขาจับจุดอ่อน ถึงขั้นเกิดอันตรายถึงชีวิตพวกเขาก็เป็นได้ เมื่อรู้ว่าพวกเขาต่างสุขสบายดี ไยต้องด่วนพบหน้าตอนนี้เล่า”
ได้ฟังคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว เหวินเปียวค่อยผ่อนคลายอารมณ์ทุรนทุรายใจลง สมองเริ่มมีสติมากขึ้น พูดว่า “แม่นางกล่าวถูกต้อง ตอนนี้ข้ายังไม่เหมาะไปพบพวกเขาจริงๆ” ว่าแล้วก็หันไปกำชับฮั้วเซียงหลิง “ขอแม่นางฮั้วก็อย่าบอกพวกเขาว่าข้ากลับมาเมืองหลวงแล้ว เลี่ยงไม่ให้พวกเขาอดใจไม่ไหวเข้ามาหาข้า กลายเป็นความเดือดร้อนที่คาดไม่ถึง”
ฮั้วเซียงหลิงพยักหน้า “เช่นนั้นผู้มีคุณอยากไปพบพวกเขาเมื่อใดก็แจ้งข่าวบอกข้า ข้าจะเข้ามาพาท่านไปด้วยตัวเอง”
เหวินเปียวส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว ขอบคุณในความปรารถนาดีของแม่นางฮั้ว บางทีชีวิตนี้พวกเราอาจจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว”
ฮั้วเซียงหลิงเผยอปาก ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดว่า “ก็ไม่แน่ดอก จะต้องมีสักวันที่ความจริงปรากฏ ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะได้ล้างมลทิน คนทั้งสำนักคุ้มภัยก็จะได้พบหน้ากัน”
เหวินเปียวทอดถอนใจสิ้นหวัง “หากมหาเสนาบดียังมีชีวิตอยู่ พวกเราก็คงไม่ได้มีวันนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด
ฮั้วเซียงหลิงยิ่งตำหนิตัวเอง “นายน้อย ข้าขออภัยท่านจริงๆ เพราะข้าทำให้สำนักคุ้มภัยต้องเดือดร้อน”
เหวินเปียวโบกมือ “ทุกสิ่งฟ้ากำหนด ไม่เกี่ยวกับท่านดอก แม่นางฮั้วไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเองแล้ว”
ฮั้วเซียงหลิงยิ่งให้ละอายใจ พูดว่า “เช่นนั้นตอนนี้นายน้อยมีสิ่งใดจะให้ข้าช่วยหรือไม่ ขอเพียงท่านพูดออกมา ข้าจะต้องทำให้จงได้”
เหวินเปียวส่ายหน้า “ขอบคุณแม่นางฮั้ว ข้าไม่มีอะไรต้องให้คุณหนูช่วย”
ฮั้วเซียงหลิงมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง รบเร้าถาม “อยากให้ข้าช่วยไถ่ตัวพวกท่านหรือไม่”
เหวินเปียวเงยหน้าอย่างตกตะลึง
ฮั้วเซียงหลิงนึกว่าเขาต้องการจะเป็นอิสระ ไม่รอให้เขาตอบ ก็รีบหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้าต้องการไถ่ตัวนายน้อยรวมถึงคนในครอบครัวเขา จะคิดเงินเท่าใดก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร
เหวินเปียวกลับเปล่งเสียงดังลั่น ร้อนรนพูด “แม่นางฮั้ว ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้ต้องการให้ท่านมาไถ่ตัวข้า แม่นางของพวกเราดีต่อพวกเรามาก นับแต่ที่นางซื้อพวกเราทั้งครอบครัวไว้ข้าก็สาบานว่า จะติดตามนางผู้เดียวไปทั้งชีวิต”
ฮั้วเซียงหลิงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ น้ำเสียงกระวนกระวาย “ไม่ว่านางจะดีกับพวกท่านเพียงใด สถานะของพวกท่านก็จะต้องเป็นทาสตลอดไป”
“แม่นางฮั้ว!” เหวินเปียวปรับเสียงสูง “ในสายตาแม่นางของพวกเรา พวกเราไม่ใช่ทาส แต่เป็นคนในครอบครัว”
ฮั้วเซียงหลิงที่เกิดมาในครอบครัวชั้นสูง มีระบบธรรมเนียมเคร่งครัด นายก็คือนาย บ่าวก็คือบ่าว ไม่เข้าใจในคำพูดของเหวินเปียว ตะลึงค้างมองเขาและเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้น จิบอย่างเอื่อยเฉื่อยคำหนึ่ง ถึงพูดว่า “แม่นางฮั้วคงยังไม่ทราบ ข้าเกิดในชนบท ในสายตาข้าทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครสูงส่งกว่าใคร”
ฮั้วเซียงหลิงยังไม่เข้าใจ เบิกตาโตถาม “อะไรคือเท่าเทียม”
สองมือที่ประคองถ้วยชาสั่นไหวเล็กน้อย แล้วกลับคืนสภาพเดิมโดยไวยิ้มพูดว่า “ก็คือทุกคนมีสถานะเหมือนกัน ไม่มีการแบ่งแยกว่านายหรือบ่าว”
ฮั้วเซียงหลิงเข้าใจพลัน ถามอย่างไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้อย่างไร บ่าวก็คือบ่าว นายก็คือนาย จะไม่แบ่งแยกได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อาจอธิบายให้นางเข้าใจได้ จำต้องเบี่ยงเบนเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้แม่นางฮั้วมาเยี่ยมเหวินเปียว โดยแอบมาลำพัง หรือได้บอกกับคนที่บ้านไว้”
“ข้าบอกท่านพ่อไว้ เดิมเขาก็คิดจะตามมาด้วย แต่เกิดเรื่องที่โรงงานเครื่องหอมกะทันหัน เขาปลีกตัวมาไม่ได้ ข้าทนรอจะมากล่าวขอบคุณนายน้อยไม่ไหว จึงเข้ามาโดยลำพัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดแฝงความนัย “คุณหนูฮั้วสถานะสูงส่ง การที่ท่านมาด้วยตนเองเช่นนี้ เห็นได้ถึงใจจริงในคำขอบคุณของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ สมุนไพรที่ท่านนำมาให้ข้ารับไว้แทนเหวินเปียวเอง แต่ภายหน้า ขอคุณหนูฮั้วอย่าได้มาที่นี่อีก เมื่อครู่ท่านพูดเองว่าที่ตอนนี้สำนักคุ้มภัยต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านนำความเดือดร้อนมาให้ เช่นนั้นหากตอนนี้มีคนเฝ้าดูพฤติกรรมของเหวินเปียว จะต้องเห็นท่านด้วย หากเขานำความไปบอกเฮ่อเหลี่ยน เกรงว่าต่อไปพวกเราคงไม่ได้อยู่เป็นสุขเป็นแน่”
ฮั้วเซียงหลิงเข้าใจความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยว พยักหน้าพูดทันควัน “ได้ ข้าทราบแล้ว ข้าจะเชื่อแม่นาง ต่อไปจะไม่เข้ามาอีก ข้าจะทิ้งที่อยู่ของข้าไว้ให้พวกเจ้า หากวันหน้ามีอะไรต้องการให้ข้าช่วย ให้คนแจ้งข่าวมาก็พอ”