ปรากฏว่าหลี่เหวินไม่ได้โกหกเย่เทียน
แม้จอห์นจะปากแข็งกว่าหลี่เหวิน แต่หลังจากได้รู้รสขุมนรกที่19 ในที่สุดเขาก็ยอมพูดออกมาแต่โดยดี
ไม่แตกต่างจากคำตอบของหลี่เหวินมากนัก รู้แค่ว่ารับงานมาจากเว็บมืด แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงการชีวิตของถังเหวินหลงนั้นไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
ความแตกต่างเดียวคือจอห์นบอกว่าอีกฝ่ายให้เงินเท่าไหร่
100ล้านเหรียญสหรัฐ!
แปลงเป็นเงินสกุลจีนถึงเกือบๆ700ล้าน!
เงินจำนวนนี้แม้แต่เย่เทียนก็ต้องใจเต้น ถ้าอยู่ตัวคนเดียวเหมือนชาติที่แล้ว บางทีเย่เทียนอาจจะลองดู
แม้มีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าทำสำเร็จจริงๆ ครึ่งชีวิตที่เหลือคงกินดีอยู่ดีไปทั้งชาติ!
แต่ถึงยังไง หลังจากได้คำตอบที่ต้องการจากปากจอห์น เย่เทียนก็ต่อยเขาจนสลบไปอีกรอบ หาเชือกมาเส้นหนึ่ง จากนั้นมัดจอห์นกับหลี่เหวินไว้อย่างแน่นหนา
เขารับปากกับจี้เยียนหรันไว้แล้วว่าจะเหลือให้รอดสัก2-3คน พวกลูกน้องของหลี่เหวินจัดการไปหมดแล้ว จะให้สองคนนี้ตายอีกไม่ได้
ยังไงเขาแค่รับปากหลี่เหวินไว้ว่าจะให้เขารอด ไม่ได้บอกว่าจะไม่ส่งเขาเข้าคุยหนิ?
เมื่อเย่เทียนลากปิดประตูโกดัง จี้เยียนหรันนำกองกำลังตรงมาทางด้านนี้พอดี พอเห็นเย่เทียนออกมาแบบปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความกังวลก็มลายหายไป
ทว่าจี้เยียนหรันกลับมีสีหน้าโกรธเคือง “เย่เทียน คุณมันนิสัยไม่ดี อยู่ดีๆไปถอดอุปกรณ์สื่อสารทำไม?”
“เมื่อครู่สู้กันค่อนข้างดุเดือด คงไม่ระวังแล้วทำมันหลุด! ”
เย่เทียนเสแสร้งคลำไปที่ใบหู ทำเหมือนเพิ่งรู้
เพียงแต่ว่า เมื่อเห็นความกังวลบนใบหน้าจี้เยียนหรันที่ปกปิดไม่มิด ดวงตาดำขลับของเย่เทียนเผยสายตาหยอกล้อออกมา
“เดี๋ยวนะ คุณจี้คนสวย ทำไมคุณดูเป็นห่วงผมจัง?”
“ฉันเป็นห่วงคุณกับผีนะสิ! ”
จี้เยียนหรันลนลาน จงใจชักสีหน้าทำเสียงชิชะ “ฉันกลัวคุณตายอยู่ด้านใน พอถึงตอนนั้นฉันไม่รู้จะบอกกับพี่เฉินยังไง”
“เป็นอย่างนั้นจริงเหรอ?”
เย่เทียนเบ้ปาก มองจี้เยียนหรันเหมือนยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ผมนึกว่าคุณหลงเสน่ห์ผม แล้วตกหลุมรักผมเสียอีก! ”
“ฉันขี้เกียจพูดไร้สาระกับคุณแล้ว”
จี้เยียนหรันหน้าแดง รีบเปลี่ยนเรื่องคุย:“พวกผู้ก่อการร้ายด้านในเป็นไงบ้าง?”
เย่เทียนพูดอย่างมั่นใจ:“ในเมื่อผมออกโรงด้วยตัวเอง แน่นอนว่าต้องจัดการได้แล้วสิ!”
เมื่อได้คำตอบยืนยัน จี้เยียนหรันก็ใจกระตุก มองเย่เทียนด้วยสายตาที่แปลกออกไป
ถึงยังไงด้านในนั้นล้วนเป็นผู้ก่อการร้าย แถมยังมีอาวุธร้ายแรง ทุกคนล้วนเป็นบุคคลอันตราย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีนักฆ่ามืออาชีพอย่างจอห์นด้วย!
แต่เย่เทียนกลับจัดการได้หมด ภายในเวลาไม่ถึง15นาที?
เพียงแต่เมื่อคิดๆดู จี้เยียนหรันจึงโล่งใจเบาๆ ทุกเรื่องที่เย่เทียนทำ มีเรื่องไหนบ้างที่เป็นเรื่องง่ายๆ?
คิดเช่นนั้น จี้เยียนหรันจึงกลอกตามองบนใส่เย่เทียนอย่างเอือมระอา แล้วรีบเข้าไปดูในโกดังว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ทว่าจี้เยียนหรันกลับรีบวิ่งออกมาจากโกดัง นั่งยองลงแล้วอ้วกออกมา
“แค่นี้ก็อ้วกแล้ว จริงๆเลย……”
เย่เทียนส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นว่าจัดการเรื่องที่นี่เสร็จแล้ว จึงไม่อยู่ที่นี่นานนัก บอกลาจี้เยียนหรันจึงโล่งใจเบาๆแล้วออกไปจากที่นี่ทันที
ระหว่างทาง เย่เทียนคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายกดโทรหาฉินเจิ้ง แล้วเรื่องทางนี้ให้เขาฟังคร่าวๆ ให้เขาช่วยบอกถังเหวินหลง
ยังไงความสัมพันธ์ของเย่เทียนกับถังเหวินหลงถือว่าค่อนข้างดี ยิ่งไปกว่านั้นสุดท้ายยังไงถังเหวินหลงก็ต้องรู้เรื่องนี้ ตนแค่บอกเขาก่อนล่วงหน้าก็แค่นั้น
……
ภูเขาเฟิ่งหวงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเจียงหนาน ทั้งภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยต้มอู๋ถง จากคำกล่าวที่ว่านกฟีนิกซ์อาศัยอยู่ในต้นฟีนิกซ์ มันจึงมีชื่อว่าภูเขาเฟิ่งหวง
บนยอดเขาภูเขาเฟิ่งหวง ณ ตอนนี้ มีดวงจันทร์สว่างไสวและดวงดาวรางๆ ลมเย็นพัดมา ทำให้รู้สึกสดชื่น
เย่เทียนนั่งข้างกองไฟอย่างเบื่อหน่าย ดวงตาสีเข้มมองไปที่สองสาวเฉินหวั่นชิงกับแซ่เจียข้างๆ ที่กำลังนั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนานด้วยสายตาขุ่นเคือง
พอเย่เทียนจัดการเรื่องกวนใจให้จี้เยียนหรันเสร็จ ขณะกำลังรีบกลับคฤหาสน์มาอย่างสบายใจ เฉินหวั่นชิงก็กลับมาอยู่เป็นเพื่อนแซ่เจียที่คฤหาสน์อยู่ก่อนแล้ว
แน่นอน เฉินหวั่นชิงพาว่านชิงเฟิงกับเหล่านักวิชาการแพทย์คนอื่นๆ เยี่ยมชมแผนกวิจัยของบริษัทแซ่เฉินเสร็จก่อนจึงค่อยกลับมา
เชื่อว่าอีกไม่กี่วัน เหล่านักวิชาการแพทย์ที่ได้รับคำเชิญให้เข้าเยี่ยมชมแผนกวิจัยจากว่านชิงเฟิง คงส่งบทความที่เฉินหวั่นชิงต้องการมาให้
สรุปคือเย่เทียนเพิ่งมาถึงคฤหาสน์ ยังไม่ทันได้หายใจหายคอ สองสาวเฉินหวั่นชิงกับแซ่เจียทำหน้าตากระดี๊กระด๊า ตัดสินใจไปตั้งแคมป์บนภูเขาเฟิ่งหวง!
แซ่เจียบอกว่า ยังไงเธอก็เป็นถึงดาราดัง ต้องหลีกเลี่ยงหลายสิ่งหลายอย่าง ตอนนี้ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสักไม่กี่วัน เธออยากดื่มด่ำให้เต็มที่
เฉินหวั่นชิงที่ถือว่าเป็นเพื่อนรักของแซ่เจีย แน่นอนว่าไม่ขัดอะไร ปกติเธอก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานเช่นกัน ครั้งนี้คิดเสียว่าได้ผ่อนคลายเสียหน่อย
ยังจัดการกับภัยคุกคามของแก๊งS.P.Lไม่ได้ แน่นอนว่าเย่เทียนต้องไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
แต่พอเฉินหวั่นชิงใช้ความรู้สึกและเหตุผลมาโน้มน้าว เย่เทียนจึงทำได้เพียงตกลงไปตั้งแคมป์ด้วยอย่างจนปัญญา
ส่วนที่เย่เทียนยอมเพราะประโยคที่เฉินหวั่นชิงพูดว่า‘ถ้าคืนนี้ไม่ไปตั้งแคมป์ คุณก็ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกซะ’ไหมนั้น มีแค่เย่เทียนที่รู้
สองสาวถึงขนาดเตรียมอุปกรณ์และอาหารที่จำเป็นต้องใช้ในการตั้งแคมป์ไว้ก่อนแล้ว ทำเอาเย่เทียนหาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!
ทว่าสถานะของแซ่เจียตกเป็นที่จับตามองได้ง่าย เฉินหวั่นชิงจึงเรียกให้ตี๋ต้าจื้อและคนอื่นๆที่เป็นเพื่อนร่วมแผนกในบริษัทแซ่เฉินมาด้วย เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น
พอทุกคนมากันครบ เย่เทียนถึงได้รู้ว่าเฉินหวั่นชิงกับแซ่เจียนั้นวางแผนกันไว้นานแล้ว เขาเป็นคนสุดท้ายที่รู้
บนภูเขาเฟิ่งหวงมีที่ตั้งแคมป์สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ นอกจากเย่เทียนและคนอื่นๆ ยังมีคนอีกไม่น้อยที่มาตั้งแคมป์
แม้ภูเขาเฟิ่งหวงตั้งอยู่ในเขตเมืองแต่ไม่มีตึกสูงรอบๆ เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนหนีจากความวุ่นวายมาดื่มด่ำกับธรรมชาติ
ทว่าสำหรับเย่เทียน นี่เป็นเรื่องที่เสียเวลาสิ้นดี!
แม้บนภูเขาเฟิ่งหวงมีชี่ทิพย์มากกว่าในเมืองมาก แต่เมื่อเทียบกับคฤหาสน์ที่เขาสร้างค่ายกลรวมจิตไว้ กลับต้องเพิ่มเข้าไปอีกจำนวนมาก นี่ไม่เรียกว่าเสียเวลาแล้วจะเรียกว่าอะไร ?
อย่างไรก็ตาม ตัวละครหลักที่เล่นสนุกจนถึงตี2อย่างเฉินหวั่นชิงกับแซ่เจีย ในที่สุดก็รู้สึกง่วงเสียที หลังจากบอกให้ทุกคนรีบพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น พวกเธอก็เข้าไปในเต็นท์
แน่นอนว่าเต็นท์ของเย่เทียนในค่ำคืนนี้ ไม่ใช่หลังที่สองสาวนั้นอยู่
เมื่อช่วยทุกคนเก็บกวาดขยะหลังจากที่สนุกสนานกันเสร็จ เย่เทียนจึงเดินวนไปวนมาบริเวณใกล้เคียงสองสามรอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติอะไร จึงเข้าไปในเต็นท์ตัวเอง
พอเห็นสภาพเสื่อมโทรมภายในเต็นท์ เย่เทียนก็ส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อนๆอย่างอดไม่ได้ จากนั้นถอนหายใจแล้วพูดขึ้น:“มิน่าคนอื่นถึงชอบปีนขึ้นไปด้านบน ดูเหมือนว่าผู้คนจะแยกจากสภาพแวดล้อมชีวิตที่สุขสบายไม่ได้นะ…