เล่มที่ 18 เล่มที่ 18 ตอนที่ 511 อธิบายเหตุผลให้ข้าฟัง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ผิวขาวกระจ่างใสราวเกล็ดหิมะ ไร้เสื้อผ้าปกปิดอีกต่อไป ท่ามกลางแสงไฟสลัวเผยให้เห็นได้อย่างชัดเจน

ซูจิ่นซีตกใจกลัว พยายามดิ้นรนสุดชีวิต

“มู่หรงเฟิง ท่านบ้าไปแล้ว ท่านปล่อยข้า ท่านบ้าไปแล้ว ท่านปล่อยข้า!”

มู่หรงเฟิงเอามือทั้งสองของซูจิ่นซีพาดไว้บนศีรษะของนาง บีบคางของซูจิ่นซีไว้แน่น

“ข้าขอเตือนเจ้า ที่นี่คือวังหลวง เป็นตำหนักจื่อเฉินของข้า ต่อให้เจ้าจะร้องตะโกนให้คอแตกก็ไม่มีผู้ใดมาช่วยเจ้าได้ ฉะนั้นเจ้าเองก็ทำตัวให้ดีอย่าคิดเล่นตุกติกกับข้า ข้าอาจจะเห็นท่าทีที่น่าสงสารของเจ้า ยอมอ่อนข้อให้เจ้าบ้าง”

ดวงตาซูจิ่นซีแดงก่ำ กัดริมฝีปากแน่นไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรดี

นางไม่ยอมรับชะตากรรม ไม่ยินยอมแน่นอน!

ทว่ามือของมู่หรงเฟิงโบกมาอีกครั้ง

ขณะที่ซูจิ่นซีคิดว่ามือขนาดใหญ่ราวปีศาจที่น่าขยะแขยงยื่นเข้าไปในเสื้อผ้าของนาง ร่างของตัวเองถูกมู่หรงเฟิงยกหมุนตัวราวกับลูกนก

‘แคว๊ก’

เสียงเสื้อผ้าฉีกขาดดังชัดเจน เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นบนร่างกายซูจิ่นซีที่เหลือเพียงชิ้นเดียวถูกมู่หรงเฟิงฉีกกระชากจนขาดออก เมื่อเขาสะบัดมือเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ลอยไปในอากาศเหมือนดั่งผี้เสื้อที่กำลังโบยบิน

ซูจิ่นซีไม่มีทางนิ่งนอนใจได้อีกแล้ว ภายในใจเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ทั้งตกประหม่า หวาดกลัว โกรธเคือง ความอัปยศ… ในขณะนี้ในความคิดของนางมีเพียงคำเพียงสี่คำคือ ต่อต้าน หลบหนี

นางพยายามใช้กำลังทั้งหมดที่มี ไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะหสวิธีหลบหนี

ขณะที่ดวงตาของมู่หรงเฟิงตกตะลึง โดยไม่ทราบสาเหตุ ซูจิ่นซีรีบลุกขึ้น กระโดดลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว ดึงเสื้อผ้าที่ฉีกขาดขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเอง รีบเดินออกไปนอกประตู

ทว่านางเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว มู่หรงเฟิงกระชากผมด้านหลังนางอย่างรุนแรง

ซูจิ่นซีส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด น้ำตาแทบจะไหลออกมา

มู่หรงเฟิงอุ้มซูจิ่นซีเหมือนดั่งนักล่าที่ถือเหยื่อไว้ในมือ จากนั้นโยนนางไปนอนบนเตียง

ซูจิ่นซีฉวยโอกาสลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ถูกมู่หรงเฟิงลุกไล่เข้ามาใกล้ผลักและกดไปที่ร่างของนางอย่างรุนแรง

“มู่หรงเฟิงท่านปล่อยข้าเถิด!”

เสียงของซูจิ่นซีนั้นเบาและเศร้าโศกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ชาติก่อนและชาตินี้นางเคยสาบานไว้ ไม่ว่าจะพบกับความยากลำบากมากเพียงใด นางจะไม่เคยใช้น้ำเสียงร้อง

ขอความเมตตาที่อ่อนแอเช่นนี้ออกมา

ทว่าวันนี้นางต้องเผชิญหน้ากับมู่หรงเฟิง นางหวาดกลัวมาก กลัวมากจริงๆ

“มู่หรงเฟิง ท่านปล่อยข้าไปเถิด!”

ซูจิ่นซีส่งเสียงอ้อนวอนเบาๆ อีกครั้ง

ทว่ามู่หรงเฟิงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงอ้อนวอน จับตัวซูจิ่นซีพลิกกลับมาให้หน้าของนางชิดติดกับเตียง ขณะเดียว กันมัดมือทั้งสองของนางไขว้ไว้ด้านหลัง

ขณะที่ซูจิ่นซีคิดว่ามู่หรงเฟิงกำลังต้องการเปลี่ยนวิธีการจัดการกับนาง ด้านหลังพลันมีเสียงคำรามที่ตื่นเต้นและขุ่นเคืองเล็กน้อยของมู่หรงเฟิงดังขึ้น

“เจ้าพูดว่าเจ้าไม่ใช่นาง เช่นนั้นนี่คือสิ่งใด?”

ซูจิ่นซีชะงักอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่ามู่หรงเฟิงมีท่าทีแปลกไปเล็กน้อย จึงไม่ดิ้นรนต่อสู้ ค่อยๆ หันศีรษะไปมองมู่หรงเฟิงที่อยู่ด้านหลัง

เห็นอารมณ์ของมู่หรงเฟิงนั้นสับสน ตกใจ มีความสุข อีกทั้งยังปรากฏอารมณ์โศกเศร้าขึ้นเล็กน้อย และยังมีอาการสั่นที่แทบจะมองไม่เห็น

ซูจิ่นซีเห็นเช่นนั้น จึงออกแรงเล็กน้อย ร่างก็เหินออกมาหลุดจากการควบคุมของมู่หรงเฟิง กลิ้งลงไปที่ปลายเตียงอย่างรวดเร็ว ใช้ผ้าห่มห่อร่างของตนเองไว้แน่น

ซูจิ่นซีตกประหม่าและเขินอายอยู่เล็กน้อย ไม่กล้าเงยหน้าไปมองมู่หรงเฟิง

นางหวาดกลัวมากจริงๆ ว่ามู่หรงเฟิงจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง

เวลานี้นางไม่เหลือที่ว่างให้ต่อต้านมู่หรงเฟิงคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ ซึ่งเหมือนดั่งเนื้อที่วางอยู่บนเขียง ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน หากเขาคลุ้มคลั่งอยากจะกระทำอะไรบางอย่างขึ้นจริงๆ เช่นนั้นนางก็คงแย่แล้วจริงๆ

ทว่ามู่หรงเฟิงยังกวาดสายตาที่เย็นชามอง ร่างของเขาเอนเข้าไปหาซูจิ่นซีเล็กน้อย คว้าแขนซูจิ่นซีที่โผล่ออกจากผ้าห่ม ดวงตาทั้งคู่จ้องมองซูจิ่นซีเหมือนดั่งเปลวไฟ

“ซีจือ เป็นเจ้า เจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่?เจ้าบอกข้า เจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่?”

ซูจิ่นซีตกตะลึงทันที

ซีจือ?

ที่แท้หญิงลึกลับบนภาพวาดที่ตำหนักฉินเจิ้งคือมารดาของนาง จงซีจือ

ที่แท้ผู้ที่มีใบหน้าเหมือนนางและหลิงเซียวจวิ้นจู่นั้นคือมารดาของนาง จงซีจือ

ซูจิ่นซีไม่ทันคิดว่ามู่หรงเฟิงและมารดาของตนเองนั้นมีความเกี่ยวข้องอันใดกันแน่ จึงพยายามดิ้นรนต่อสู้จากการควบคุมของมู่หรงเฟิงเหมือนไฟฟ้าสะท้อนกลับ

“มู่หรงเฟิง เจ้าจำคนผิดแล้ว ข้าไม่ใช่จงซีจือ ข้าไม่ใช่ เจ้าปล่อยไปเถิด ปล่อยไปเถิด!”

มู่หรงเฟิง กระชากซูจิ่นซีกลับขึ้นมาบนเตียงอย่างรุนแรง พยายามดึงผ้าห่มที่ห่อหุ้มร่างซูจิ่นซีออก

“เจ้าพูดว่าเจ้าไม่ใช่นาง แล้วรอยสักกิเลนคู่บริเวณก้นกบของเจ้ามาได้อย่างไร?เจ้าต้องอธิบายให้ข้าฟัง เจ้าต้องบอกเหตุผลให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้!”

รอยสักกิเลนคู่?

ในที่สุดซูจิ่นซีก็เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่มู่หรงเฟิงจึงได้เกิดอารมณ์ที่สับสนได้ขนาดนั้น

ที่แท้ ตอนที่เขาเห็นรอยสักนั้นจึงคิดว่านางเป็นมารดาของนาง

“เจ้าพูดออกมาสิ!”

มู่หรงเฟิงดึงตัวซูจิ่นซีเข้ามาใกล้กับตัวเอง ดวงตาทั้งคู่ยังคงจ้องมองซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ที่มาของรอยสักนั้นนางเองก็ไม่รู้ชัดเจนนัก จะอธิบายให้มู่หรงเฟิงฟังได้อย่างไร?

ในขณะเดียวกัน ด้านนอกประตูมีเสียงดังขึ้น

มีเสียงที่เคร่งขรึมของคนบางคนดังขึ้น “ฉีอ๋อง ท่านไม่สามารถเข้าไปได้ มหาอุปราชกำลังทำภารกิจสำคัญอยู่ด้านในขอรับ”

“ข้ามาหาเสด็จลุง ก็มีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับเขา ถอยออกไป!”

“ฉีอ๋อง ท่านเข้าใจกฎของตำหนักจื่อเฉิน อย่าบังคับให้ข้าน้อยต้องลงมือกับท่านเลย”

“ผู้ใดขวางข้า ฆ่าไม่ละเว้น!”

หลังสิ้นเสียงคำพูดที่ทรงอำนาจของมู่หรงฉี จากนั้นมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น ต่อมาประตูของตำหนักถูกคนใช้เท้าถีบให้เปิดออก มู่หรงฉีที่อยู่ในชุดสีขาวนวลจันทร์ ถือกระบี่ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูตำหนัก

“เสด็จลุง อย่างไรเสียซูอวิ๋นคายก็เป็นคนของหลาน คนทั้งเมืองเย่หลินต่างรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ท่านฉวยโอกาสที่ หลานได้รับบาดเจ็บ แย่งชิงคนของหลานอย่างโจ่งแจ้ง คงไม่เป็นการดีกระมัง?”

“ฮึ ข้าทำเรื่องใด สนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ?ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็ดี ใช้โอกาสนี้ดื่มสุรางานอภิเษกกับเสด็จลุงและเสด็จป้าของเจ้า องครักษ์ เชิญฉีอ๋องให้ออกไป”

หลังสิ้นเสียงพูดของมู่หรงเฟิง ชายชุดดำหลายคนรวมกลุ่มกันเข้ามาล้อมตัวมู่หรงเฟิงไว้อย่างแน่นหนา

เดิมทีเห็นมู่หรงฉีปรากฏตัวขึ้น ในที่สุดดวงตาที่มืดมนของซูจิ่นซีเริ่มมีความหวัง เหมือนผู้ช่วยให้รอดมาแล้ว

ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์ตอนนี้ ดวงตาที่เต้มไปด้วยความหวังที่น่าสงสาร ค่อยๆ เลือนหายไป

ก่อนหน้านี้ ขณะการประลองในลานสวนดอกไม้วังหลวง มู่หรงฉีถูกวางยาพิษจากแผนการร้ายของจงเนี่ย แม้สารพิษจะถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ทว่าตอนนี้ร่างกายยังฟื้นตัวไม่ดีเท่าไรนัก

เขาสามารถปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้นั้น เขาใช้พละกำลังถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้ว จะรับมือกับนักฆ่าจำนวนหลายคนของมู่หรงเฟิงและชิงตัวนางออกไปได้อย่างไร?

นี่มันเป็นการรนหาที่ตายมิใช่หรือ?