ในโลกนี้เหตุใดจึงมีผู้ที่เล่นพิณได้เศร้าสร้อยถึงเพียงนี้?
ซูจิ่นซีหยุดฝีเท้าด้วยความตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นในสมองก็ปรากฏฉากในอดีตชาติที่เป็นการจากกันไปตลอดกาลของมารดาซึ่งอยู่ที่ตึกผู้ป่วยที่เต็มไปด้วยน้ำเกลือ ความรู้สึกเจ็บปวดที่น่าเศร้าผุดขึ้นทันที
นางไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับอาคมกำไลปี่อั้นที่ข้อมือข้างขวาของนาง เหมือนจะตอบสนองต่อเสียงพิณจึงมีสัญญาณที่ปั่นป่วน
ซูจิ่นซีรีบกดไปที่อาคมกำไลปี่อั้น เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดของมัน
มีเสียง ‘เอี๊ยด อ๊าด’ ดังขึ้น ทันใดนั้นประตูด้านหน้าเปิดออก ไม่มีผู้ใดเปิดมัน แต่กลับไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีก
เมื่อเสียงพิณหยุดลง แสงเทียนในห้องก็สว่างไสวขึ้นทันที ทั้งตำหนักก็สว่างราวกับกลางวัน
“ซูอวิ๋นคาย ในที่สุดเจ้าก็มา ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงที่เกียจคร้านของมู่หรงเฟิงดังออกมาจากภายในห้อง
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจ เสียงพิณนั้นทำให้รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นในใจและอารมณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น นางก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักทีละก้าว
ไม่รู้ว่าเวลาใด มู่หรงเฟิงได้เปลี่ยนชุดคลุมสีม่วงที่สูงส่งงามสง่ายืนอยู่ท่ามกลางแสงเทียนระยิบระยับ แสงเทียนทำให้เดิมทีท่าทางที่สูงส่งและงามสง่าของเขานั้น ยิ่งงดงามยิ่งขึ้นไปอีก
เขายืนมือไขว้หลัง หันหลังให้กับซูจิ่นซี ร่างกายเหยียดตรง เชิดศีรษะขึ้นเล็กน้อย ยังคงมีลักษณะที่มีความภาคภูมิใจดั่งนกยูงแบบเดียวกับตอนที่เจอกับซูจิ่นซีครั้งแรก
มีพิณหางหงส์เครื่องหนึ่งวางอยู่ข้างกาย
เสียงพิณเมื่อครู่ คงจะเป็นมู่หรงเฟิงใช้พิณตัวนี้ บรรเลงออกมา
“ซูอวิ๋นคาย ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
“ท่านอ๋อง คาดการณ์ไว้แล้วว่าข้าต้องมาหรือ?”
“ข้ากลับชื่นชมในความกล้าหาญและความรู้ที่ไม่ธรรรมดาของเจ้า”
“หากข้าเต็มใจเปลี่ยนชุดอภิเษกที่มหาอุปราชให้คนจัดเตรียมไว้ รองานอภิเษกอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า เกรงว่าอาจทำให้มหาอุปราชท่านไม่สบายใจ!”
“หากเป็นอย่างนั้น ในคืนวันอภิเษกของข้ากับเจ้า เจ้าจะเตรียมสิ่งใดให้ข้า?มีดสั้น?ยาพิษ?เข็มเงิน?ยังมีสุรางานอภิเษกที่ใส่ยาพิษถ้วยหนึ่งกระมัง?”
ทันใดนั้นมู่หรงเฟิงหันหลังกลับเงยหน้าอย่างภาคภูมิใจ เดินเข้าไปหาซูจิ่นซีทีละก้าว
ซูจิ่นซีไม่ได้ขยับตัวสบตาที่แสนเย็นชาของมู่หรงเฟิงด้วยแววตามั่นคงกล้าหาญ มองเขาเดินเข้ามาหาทีละก้าว
จากนั้น ขณะที่ร่างของมู่หรงเฟิงกำลังจะชนร่างซูจิ่นซีซูจิ่นซีเอ่ยปากออกมาได้ทันเวลา
“ไม่แน่ว่า……อาจจะมีทั้งหมดก็ได้!”
มู่หรงเฟิงจ้องมองซูจิ่นซีด้วยแววตาที่เป็นประกายอยู่นาน ทันใดนั้นยกมุมปากขึ้น
“ข้าจำได้ว่าที่เป่ยเจียงในแคว้นหนานหลีมีแมลงชนิดหนึ่ง แม้มองแล้วก็ไม่โดดเด่น ทว่าทนทานความหนาวเย็น มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง ในฤดูร้อนไม่ได้ต่อสู้กับบรรดาแมลงอื่นๆ ได้ยินว่าร่างกายของมันหยั่งรากไปในดิน เจริญเติบโตออกดอกเล็กๆ ชนิดหนึ่งอย่างสง่างาม ในฤดูหนาวแมลงอื่นๆ ตายไปหมด มันกลับสามารถกลายเป็นแมลง เติบโตเต็มที่อย่างแข็งแรงในท่ามกลางน้ำแข็งและหิมะ”
ดวงตาซูจิ่นซีเปล่งประกาย
“อ๋อ?เป็นเรื่องที่อัศจรรย์จริงๆ ?ข้ากลับโง่เขลามาก ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย หากอนาคตมีโอกาส จะต้องเห็นสักครั้ง”
“เจ้าไม่รู้สึกว่าแมลงนี้เหมือนเจ้าหรือ?”
“อ๋อ?” ซูจิ่นซีคิ้วกระตุก “เช่นนั้นข้า ต้องขอบพระทัยมหาอุปราชที่ชื่นชมใช่หรือไม่?”
มู่หรงเฟิงไม่ได้พูดมากอันใด กวาดตามองที่ใบหน้าของซูจิ่นซี หันเดินไปข้างตั่งผ้ารองนั่ง เปิดผ้าสีดำที่อยู่บนถาดออก
“สิ่งที่เจ้าต้องการอยู่ที่นี่ สามารถนำกลับไปได้หรือไม่ ต้องดูความสามารถของเจ้าในคืนนี้
ดอกไม้ปีศาจ ตอนที่ซูจิ่นซีเข้าประตูนั้น ระบบถอนพิษได้แจ้งเตือนออกมาก่อนแล้ว
นางยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“ดูเหมือนคืนนี้ข้าจะถูกลิขิตไว้ดั่งแมลงตายไปแล้ว แต่ยังมีพลังไว้ต่อสู้กับมหาอุปราชสักครั้งหนึ่ง”
“ซูอวิ๋นคาย ความจริงเจ้าไม่ต้องทุ่มเทขนาดนั้น ขอเพียงเจ้ายอมเป็นพระชายาของข้า ทุกสิ่งที่ข้ามีล้วนเป็นของเจ้า รวมถึงมันด้วย!”
“น่าเสียดาย มู่หรงเฟิง เจ้ามองผิดคนแล้ว ทว่าเหมือนกันเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่ใช่นาง”
“ใช่หรือไม่?”
มู่หรงเฟิงขมวดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ดูเหมือนพระชายาของข้าผู้นี้จะดุเกินไป ยังต้องให้ข้าอบรมสั่งสอนสักหน่อย”
พูดพลาง มู่หรงเฟิงยกแขนเสื้อขนาดใหญ่ นิ้วมือทั้งห้ากลายเป็นกรงเล็บ โจมตีไปที่เอวที่บอบบางของซูจิ่นซีอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีมีการป้องกันไว้ก่อนแล้ว ดวงตาของนางเบิกกว้าง กระโดดขึ้นกลางอากาศ พลิกฝ่ามือสาดเข็มเงินออกไป
มู่หรงเฟิงหยุดฝีเท้าลง ยกแขนเสื้อที่กว้างใหญ่ขึ้นกวาดทุกอย่างลงไป
“ลูกไม้ตื้นๆ ยังกล้ามาอวดดีต่อหน้าข้า รนหาที่ตาย!”
ซูจิ่นซีไม่กล้ามองข้ามมู่หรงเฟิง เมื่อกระบวนท่าแรกใช้การไม่ได้ จึงรีบเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าที่สอง
ต่อสู้เช่นนั้นกว่าสิบกระบวนท่า ซูจิ่นซียังไม่สามารถชิงความได้เปรียบจากมู่หรงเฟิง ทว่ามู่หรงเฟิงนั้นหมดความอดทนไปนานแล้ว
“เล่นพอแล้วหรือยัง?หากเล่นพอแล้วก็หยุดเถิด ข้าไม่มีอารมณ์ที่จะเล่นกับเจ้าต่อไปแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ ยังไม่ทันรอให้ซูจิ่นซีโต้ตอบ ร่างของเขาเคลื่อนที่จากระยะที่ห่างไกล เข้ามาอยู่ด้านหลังซูจิ่นซีอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ มือหนึ่งบีบมือทั้งสองของซูจิ่นซีไว้ อีกมือหนึ่งบีบคอของซูจิ่นซีจากด้านหลัง
ร่างของซูจิ่นซีเริ่มขยับ เสียงเตือนเย็นชาของมู่หรงเฟิงก็ดังขึ้น
“ข้าเตือนเจ้า อย่าทำตัวงี่เง่าเลยดีกว่า ข้าไม่ใช่ จงเนี่ย ยิ่งไม่ใช่หลิงเซียวเด็กน้อยผู้นั้น อย่าคิดว่าข้ามองความสามารถของเจ้าไม่ออก หากยังกล้าเจ้าเล่ห์ เล่นลูกไม้กับข้า ข้ารับรองว่า…จะต้องหักคอเจ้าอย่างแน่นอน”
เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด ซูจิ่นซียังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มู่หรงเฟิงออกแรงไปที่มือเพื่อเป็นการตักเตือน ได้ยินเสียงเสียงดัง กึก ซูจิ่นซีแทบจะหายใจไม่ออก คอและแก้มแดงระเรื่อ ไม่กล้าเคลื่อนไหวร่างกายอีก
มู่หรงเฟิงยับยั้งซูจิ่นซีใช้มือจับไปที่เสื้อของนาง บอกเป็นนัยให้ซูจิ่นซีไปทางเตียง
ซูจิ่นซีไม่กล้าล้อเล่นกับชีวิตของตนเอง เพียงทำตามความต้องการของมู่หรงเฟิง ทว่านางไม่เคยยอมแพ้ที่จะต่อต้านแม้แต่ชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อเดินไปถึงที่วางเท้าข้างเตียงนอน เท้าของซูจิ่นซียกขึ้น ทันใดนั้น ‘สะดุด’ ที่วางเท้าข้างเตียงร่างกายพุ่งไปข้างหน้าทันที ร่างกายมู่หรงเฟิงที่อยู่ด้านหลังเอียงตามไปพร้อมร่างของซูจิ่นซี
ในช่องว่างระหว่างนี้ จู่ๆ ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับไป ริมฝีปากที่น่าดึงดูดใจเปิดขึ้นเล็กน้อยเข็มเงินสองอันส่องประกายสีขาวน้ำหนักเบาราวกับงูวิเศษ ออกมาจากปากซูจิ่นซี พุ่งไปยังลำคอของมู่หรงเฟิง
ระยะห่างใกล้มาก มือสองข้างของมู่หรงเฟิงกำลังยื้อยุดอยู่ที่ตัวซูจิ่นซีพอดี จึงไม่อาจต้านทานได้ พูดกันตามเหตุผลแล้ว การลอบโจมตีครั้งนี้ของซูจิ่นซีต้องประสบความสำเร็จ ทว่าซูจิ่นซีไม่มีทางคาดคิดได้เลย มู่หรงเฟิงเพียงแค่ส่ายหัวเบาๆ ก็สามารถหลบหลีกเข็มเงินของนางได้อย่างง่ายดาย
ดวงตาซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความผิดหวัง
มู่หรงเฟิงพลิกร่างของซูจิ่นซีกลับมาบีบคอของนางอย่างแรง
“ซูอวิ๋นคาย ความอดทนของข้านั้นจำกัด สามารถอดทนเจ้าได้ครั้งหรือสองครั้ง และไม่ได้หมายความว่าจะอดทนเจ้าต่อไป การยั่วยุของเจ้านี้กำลังทดสอบความอดทนขั้นสุดของข้า”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ซูจิ่นซีเข้าใจความเหลื่อมล้ำของพลังระว่างนางกับมู่หรงเฟิงอย่างชัดเจน
ต่อให้นางจะพยายามเต็มที่แล้ว ก็ไม่อาจเอาชนะมู่หรงเฟิงได้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะหาจุดที่ได้เปรียบมู่หรงเฟิงเลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดนางจึงต้องทำตัวเองให้ลำบากด้วย?
แขนและลำคอซูจิ่นซีแดงก่ำเพราะขาดออกซิเจนและกำลังจะหายใจไม่ออก อีกทั้งดวงตายังแดงราวกับเปลวไฟ
“มู่หรงเฟิง เจ้ามันบ้าไปแล้ว เจ้ามองให้ชัดๆ ข้าคือซูอวิ๋นคาย ไม่ใช่นาง!”
มู่หรงเฟิงหรี่ตา ทันใดนั้นยกมือขึ้น ฉีกเสื้อผ้าซูจิ่นซี
“ใช่หรือไม่ใช่นาง ข้าตรวจดูเองก็รู้”