ตอนที่ 451 แบบใหม่

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 451

แบบใหม่

“พี่สาวโดนลวนลาม?”ไป๋จูล่งถามพลางมองไปทางไป๋หลินด้วยท่าทีตกใจ หลังจากกลับมารวมตัวกันและขึ้นขี่หลังของไป๋ไป่เพื่อบินต่อไปยังอาณาจักรอู๋ จูล่งก็เห็นว่าพี่สาวของมันมีท่าทีไม่พอใจนักก็เลยถามชิงชิวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ใช่ เจ้านั่นเหมือนจะเป็นคนใหญ่คนโตของเมืองนี้ พอเห็นไป๋หลินเข้าก็รีบเข้ามาจับมือไป๋หลินเลย”ชิงชิวตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา

“แล้วพี่สาวเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ”จูล่งถามพลางมองไปทางพี่สาวด้วยท่าทีเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอก…”ชิงชิวยิ้มเจื่อนๆออกมา นางจะเป็นอะไรได้อย่างไร ที่นางอารมณ์เสียแบบนั้นเพราะชิงชิวเข้าไปห้ามตอนนางกำลังจะตบหน้าเจ้าคนใหญ่คนโตนั่นต่างหาก ขืนนางใช้กำลังระดับเจ้าสวรรค์ตบคนธรรมดามีหวังมันได้ตายแน่ๆ

“ก็มันน่าจะโดนสั่งสอนบ้างนี่นา อยู่ๆเข้ามาจับมือข้าได้อย่างไร”ไป๋หลินทำแก้มป่องพลางหลบสายตาชิงชิวไปช้าๆ จริงๆแล้วนางไม่ได้โกรธเรื่องโดนจับมือหรอกแต่เพราะตาแก่นั่นเข้ามาขวางบรรยากาศตัวนางกับชิงชิวที่กำลังเข้าได้เข้าเข็มกลับต้องชะงักลงเสียอย่างนั้น

“เจ้าก็จัดการลูกน้องของมันไปหมดแล้วไม่ใช่หรือไง”ชิงชิวว่าพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา พอเจ้านายจะโดนเล่นงานพวกลูกน้องก็แห่กันเข้ามาล้อมพวกชิงชิวเอาไว้ทันที แน่นอนว่าไป๋หลินที่กำลังของขึ้นไม่รอช้าจัดการพวกลูกน้องของเจ้าคนใหญ่คนโตนั่นไปทันที

“ได้ข่าวว่าตาแก่นั่นชอบบังคับขืนใจหญิงสาวเป็นประจำด้วย พี่ชิวท่านแน่ใจนะว่าเจ้าเมืองจะจัดการได้”ไป๋หลินถามพลางถอนหายใจออกมา ตอนไป๋หลินจัดการลูกน้องของตาแก่นั่นจนหมด คนรอบๆต่างก็มีท่าทีดีใจกันหมดไม่มีใครสงสารตาแก่นั่นเลย

“ข้าส่งจดหมายแนบไปด้วยแล้ว”ชิงชิวตอบพลางยิ้มบางๆออกมา ชิงชิวเองก็โลดแล่นในดินแดนต่างๆมามากมายทำให้มันเองก็มีเส้นสายไม่น้อย แค่จัดการคนใหญ่คนโตของเมืองเล็กๆชิงชิวก็สามารถทำได้ไม่ยากนักหรอก แต่ถึงพวกไป๋หลินจะจัดการตาแก่คนนั้นไปเพราะมันดันตาพร่ามัวเข้าหาไป๋หลินโดยไม่ดูว่าไป๋หลินนั้นเป็นใคร แต่ก็นับว่าไป๋หลินได้ช่วยชางซีนักร้องของคณะดนตรีเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี เพราะหลังจากนี้ตาแก่คนใหญ่คนโตนั่นคงไม่มีเวลาไปตามตัวชางซีและคณะดนตรีเสียแล้ว

.

.

การเดินทางต่อไปยังอาณาจักรอู๋นั้นไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร เพียงไป๋ไป่บินต่อไปโดยไม่พักสักสี่ห้าวันก็คงสามารถไปถึงได้อย่างไม่ยากเย็น เพียงแต่ครั้งนี้พวกไป๋หลินไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเดินทางเสียเท่าไหร่ นอกจากจะออกมาเที่ยวเล่นแล้ว ไป๋หลินยังอยากจะพาจูล่งไปเจอโลกภายนอกบ้างนั่นเอง

“พี่สาว ทำไมเราถึงมาที่เมืองนี้ละขอรับ”ไป๋จูล่งถามพลางมองเมืองที่พี่สาวของตนพามาลงจอด

“เราจะเปลี่ยนไปเดินทางด้วยรถไฟยังไงล่ะ”ไป๋หลินยิ้มพลางพาจูล่งเข้าไปในเมืองด้วยท่าทีอารมณ์ดี จูล่งอยู่ห่างจากอาณาจักรที่มีการต่อเส้นทางรถไฟไปมาก ท่าทางจูล่งจะไม่เคยเห็นรถไฟมาก่อนเลย เรียกได้ว่าไป๋หลินอยากจะอวดผลงานประดิษฐ์ชิ้นนี้ให้จูล่งได้รู้จักมากทีเดียว

“รถไฟคืออะไรหรือขอรับ”จูล่งถามพลางขมวดคิ้วงุนงง แน่นอนมันต้องไม่รู้จักอยู่แล้ว

“มันเป็นยานพาหนะที่เร็วมาก รับรองว่าเจ้าต้องประหลาดใจแน่ๆ”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มออกมา แม้จะเร็วไม่เท่าพวกอสูรระดับสูงๆแต่สำหรับคนธรรมดาแล้วรถไฟก็เป็นยานพาหนะความเร็วสูงที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า เรียกได้ว่าเพราะมีการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟไปยังอาณาจักรต่างๆทำให้โลกแคบลงก็ว่าได้

“ไม่ทราบว่าต้องการซื้อตั๋วชนิดไหนเจ้าคะ”หญิงสาวที่นั่งอยู่ที่จุดจำหน่ายตั๋วถามหลังจากไป๋หลินพาจูล่งเข้าไปซื้อตั๋ว แม้จะอยากอวดนักหนาแต่ตัวไป๋หลินก็ไม่ได้นั่งรถไฟมานานมากแล้ว ไม่รู้เลยว่ามีการแบ่งตั๋วเป็นแบบใดบ้าง

“รบกวนช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”ไป๋หลินยิ้มเจื่อนๆออกมาพลางมองตารางการซื้อตั๋วที่เขียนอยู่บนกระดาษบนโต๊ะเบื้องหน้านาง

“ตั๋วแบ่งออกเป็น 3 แบบเจ้าค่ะ ราคาถูกที่สุดเป็นตั๋วสำหรับรถไฟรุ่นเก่าเจ้าค่ะ ขบวนนี้จะความเร็วไม่สูงมากและใช้เวลานาน ส่วนราคากลางเป็นเครื่องรุ่นใหม่ที่ความเร็วสูงกว่ารุ่นเก่าค่ะ ส่วนราคาแพงที่สุดจะเป็นรถไฟความเร็วสูงที่พึ่งพัฒนาออกมาเจ้าค่ะ แม้จะเร็วมากแต่ก็ปลอดภัยมากเช่นกันเจ้าค่ะ”ได้ยินพี่สาวพนักงานอธิบายก็ทำเอาไป๋หลินกะพริบตาปริบๆทันที นี่นางมัวแต่ตามหาวิธีกำจัดพลังมารจนไม่ได้ตามข่าวเลยงั้นหรือ นี่รถไฟเปลี่ยนไปขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“เช่นนั้นก็ขอเป็นตั๋วแบบที่สามก็แล้วกันเจ้าค่ะ”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา

“ไม่ทราบว่าคุณหนูจะเดินทางไปที่ไหนเจ้าคะ”หญิงสาวพนักงานถามพลางยิ้มกว้าง แม้จะดูเหมือนไม่ค่อยรู้เรื่องรถไฟนัก แต่ไป๋หลินก็เลือกบัตรราคาแพงระยับอย่างไม่ลังเลทำให้พนักงานสาวรู้งานต้อนรับไป๋หลินอย่างนอบน้อมทันที

“พวกเราจะเดินทางไปอาณาจักรอู๋”ไป๋หลินตอบพลางมองไปด้านหลัง ตอนนี้กลุ่มของไป๋หลินมีกัน 4 คนกับอสูร 1 ตนรวมกับซาราอีก 1 ตนแล้วเป็น 6 พอดี แต่ตงฟางที่อยู่ในร่างขนาดเท่ากำไลข้อมือคงไม่ต้องนับ ไป๋หลินจึงเลือกซื้อตั๋วมา 5 ใบเท่านั้น

“เจ้าคงจะตกใจสินะ”ชิงชิวหัวเราะเพราะท่าทีเอ๋อๆของไป๋หลินเมื่อครู่

“ก็….ข้าแทบไม่ได้เดินทางด้วยรถไฟเลยนี่นา”ไป๋หลินตอบพลางทำแก้มป่องออกมา นางเดินทางกับไป๋ไป่ย่อมสะดวกสบายที่สุดแล้ว ก็เลยไม่ค่อยได้ลงมาใช้บริการรถไฟเสียเท่าไหร่

“ข้าเองก็ยังไม่เคยขึ้นรถรุ่นใหม่เหมือนกัน ท่าทางชิงจื่อกับจินจื่อจะทดสอบสำเร็จแล้ว”ชิงชิวว่าพลางหัวเราะออกมา แม้รูบี้จะกลับไปที่อาณาจักรไชน์แล้วแต่นางก็ยังส่งงานมาให้เสมอ นอกจากนี้ยังมีชิงจื่อและจินจื่อที่เข้าไปรับช่วงต่อของคนทั้งสองที่เริ่มจะอายุมากแล้ว แถมทั้งสองยังเก่งมากอีกด้วย สร้างสรรค์ผลงานต่อจากหลิวเซียนและรูบี้ได้มากมายทีเดียว ตัวชิงชิวที่ไม่ได้มีอสูรบินเอาไว้เดินทางเหมือนไป๋ไป่ก็เลยได้ลองใช้ของพวกนี้มาแล้ว

“ท่าทางข้าเองก็ต้องตามโลกให้ทันสินะ”ไป๋หลินถอนหายใจออกมา นี่นางกลายเป็นคนหลงยุคไปด้วยงั้นหรือ ตอนแรกว่าจะสอนจูล่งเสียหน่อยกลายเป็นตนเองก็ต้องศึกษาเพิ่มสินะ

“พอไม่มีสงคราม เวลาไม่กี่ปีก็พัฒนาอะไรต่อมิอะไรไปได้มากทีเดียว กลับไปอาณาจักรไป๋คราวนี้ท่านต้องตกใจแน่ๆ”ชิงชิวยิ้มออกมา ใครจะไปคิดว่าอาณาจักรล้าหลังอย่างอาณาจักรโฮ พอจักรพรรดิไป๋เข้ามาดูแลก็เริ่มพัฒนามากขึ้นๆจนน่าตกใจ ภายหลังมีโรงเรียนสอนเรื่องต่างๆมากมาย เด็กแบบชิงจื่อเพิ่มมากขึ้นจนตอนนี้มีคนคอยคิดวิทยาการใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาอยู่ตลอด แม้แต่ชิงชิวเองก็ไม่มั่นใจนักว่าตนเองกลับไปแล้วจะยังตามเทคโนโลยีของอาณาจักรไป๋ตอนนี้ทันหรือไม่

“แต่เส้นทางมันไม่ได้ผ่านอาณาจักรไป๋นะ”หยงเวยพูดพลางมองแผนที่ซึ่งติดตั้งอยู่บนกำแพงของสถานีรถไฟเอาไว้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าเส้นทางรถไฟไปยังอาณาจักรอู๋ของเมืองที่ไป๋หลินมาขึ้นนั้นจะอ้อมผ่านอาณาจักรชินแทน ไม่ได้ทะลุผ่านอาณาจักรไป๋แต่อย่างไร

“งั้นขากลับเราค่อยแวะไปอาณาจักรไป๋ดีหรือไม่ พี่ชิวเองก็คงอยากแวะไปชิงจื่อสินะเจ้าคะ”ไป๋หลินยิ้มพลางมองไปทางชิงชิว

“ถูกแล้ว ไป๋หลินเองก็กลับบ้านบ้างนานๆทีเถอะนะ”ชิงชิวหัวเราะออกมาเพราะไป๋หลินแทบจะไม่กลับไปอาณาจักรไป๋เลยนี่นะ

“บ้านอะไรหรือขอรับ”จูล่งถามพลางเดินตามไป๋หลินและชิงชิวเข้าไปในสถานีรถไฟเพื่อรอขบวนรถไฟมาถึง

“พวกเรามีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ในอาณาจักรไป๋นะสิ เอาไว้พี่สาวจะพาเจ้าไปดู”ไป๋หลินยิ้มออกมา แน่นอนว่านางไม่คิดจะพาไป๋จูล่งไปวังหลวงของอาณาจักรไป๋แต่อย่างไร ขืนพาไปท่านพ่อต้องตำหนินางแน่ๆ แต่ที่ๆไป๋หลินจะพาไปคือผาไร้ก้นต่างหาก ที่นั่นเหล่าภรรยาของท่านน้าต่างอาศัยอยู่ด้วยกัน รวมทั้งลูกๆของพวกท่านน้าด้วย แบบนั้นก็เหมือนการพาไป๋จูล่งไปเจอญาติๆเลยก็ว่าได้

“จริงหรือขอรับ”จูล่งมีท่าทีสนใจอย่างเห็นได้ชัด จะว่าไปพวกท่านน้าก็กลับบ้านไปหาลูกเมียนานๆครั้งเหมือนกัน แต่เพราะระยะทางมันไกลพวกท่านน้าเลยไม่พาจูล่งไปด้วยเลย ทำให้จูล่งอยากลองไปหาพวกภรรยาของท่านน้ามานานแล้ว

“จริงสิ”ไป๋หลินยิ้มอย่างเอ็นดู พลางพาจูล่งเดินขึ้นมาบนชั้นสองของสถานีรถไฟ เพราะราคาตั๋วของรถไฟขบวนใหม่นั้นแพงชนิดคนธรรมดาไม่อาจแตะต้องได้ทำให้ชานชาลาบนชั้นสองมีคนอยู่น้อยมาก

“ท่านหมอ เชิญทางนี้ขอรับ”ขณะที่จูล่งกำลังเดินตามไป๋หลินไปตรงที่นั่งรอรถไฟนั้น อยู่ๆที่ด้านข้างของจูล่งก็ปรากฏร่างของชายในชุดสีแดงเข้มจนเกือบดำร่วม 8 คนเดินแทรกเข้ามาภายในชานชาลา แม้บนชานชาลาจะมีคนอยู่น้อย แต่คนเหล่านั้นกลับมีท่าทีระแวดระวังอย่างมากถึงกับพาคนที่อยู่ตรงกลางไปนั่งอยู่ริมสุดของชานชาลาเลยทีเดียว

“….”จูล่งมองตามคนกลุ่มนั้นไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนคนพวกนั้นจะกำลังคุ้มกันคนสำคัญบางคนอยู่ และคาดเดาจากที่ชายคนหน้าสุดพูดคนที่อยู่ตรงกลางคงจะเป็นหมอแน่ๆ

“จูล่ง มีอะไรงั้นหรือ”ไป๋หลินถามพลางมองมาทางจูล่งด้วยท่าทีสงสัย

“เปล่าขอรับ”จูล่งส่ายหน้าช้าๆพลางเดินตามไป๋หลินไปนั่งตรงที่นั่งของตนเอง ดูเหมือนราคาตั๋วที่แพงระยับจะมาพร้อมบริการที่ดีไม่น้อยเลย เพราะทันทีที่พวกไป๋หลินไปนั่งก็มีพนักงานมาดูแลความเรียบร้อยทันที รวมทั้งนำเครื่องดื่มและของทานเล่นมาบริการให้อีกต่างหาก

หลังจากรอเพียงไม่กี่สิบนาที รถไฟที่พวกไป๋หลินจะขึ้นโดยสารก็มาถึงพอดี รูปร่างของรถไฟนั้นแปลกตาอย่างมาก คงเพราะวิทยาการณ์ที่สูงขึ้น วัสดุที่ใช้ก็ไม่เหมือนรถไฟรุ่นเก่าเลย มันดูผอมบางกว่ารถไฟรุ่นเก่าจนไป๋หลินอดประหลาดใจไม่ได้ถึงขั้นต้องใช้ดวงตาสีทองตรวจสอบวัสดุที่ใช้ภายนอก แต่ดูเหมือนว่าวัสดุชนิดที่ใช้จะแข็งแกร่งไม่เบาเลย แถมน้ำหนักยังเบากว่าของที่ใช้ทำรถไฟแบบเก่ามาก หรือว่าจะเป็นแร่ชนิดใหม่ที่จินจื่อหลอมขึ้นมา…

“ไวจริงๆด้วย”จูล่งเบิกตากว้างมองภาพที่ผ่านไปด้วยท่าทีประหลาดใจ ไม่ใช่แค่จูล่งเท่านั้น แม้แต่ไป๋หลินและคนอื่นๆเองก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ความเร็วระดับนี้อาจจะเหนือกว่าไป๋ไป่นิดหน่อยกระมัง บางทีอาจจะเร็วกว่าตงฟางหรือหลินหลินเสียอีก ท่าทางพวกหลิวเซียนจะพัฒนาของร้ายกาจขึ้นมาเสียแล้ว เกรงว่าคนที่จะใช้ความเร็วขึ้นนำขบวนรถไฟขบวนใหม่นี้ได้จะมีเพียงท่านน้าพยัคฆ์หรือไม่ก็ท่านลุงอู๋หมิงเสียแล้ว

“แบบนี้ก็ไม่เลวนะ”ไป๋ไป่ว่าพลางเอนตัวนั่งบนเบาะส่วนตัวที่ตั้งอยู่ในขบวน แบบนี้นางเองก็ไม่ต้องเหนื่อยแถมยังสบายอีกด้วย ท่าทางคนที่ติดใจรถไฟที่สุดคงเป็นไป๋ไป่นี่กระมัง