การตะโกนบอกที่ซ่อนของซูหลี บีบให้ผู้คนและเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในเงามืดทั้งหมดปรากฏต่อหน้าสาธารณชน เฉินฉางเซิงมิได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เขาทำไปตามความรู้สึก หรือทำตามที่หัวใจเรียกร้อง แต่ก่อนที่จะทำเช่นนี้ เขาย่อมคิดถึงผลที่ตามมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จนรู้สึกว่าน่าจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย ซึ่งก็เป็นอย่างที่เหลียงหวังซุนตัดพ้อเรื่องการตัดรอนของเขา
นี่เป็นกลอุบายอย่างหนึ่ง และเป็นการคิดคำนวณอย่างหนึ่ง ตลอดการเดินทางลงใต้ วิชาต่างๆ ที่ซูหลีสอน เช่นยุทธวิธีการรบและเพลงกระบี่ ล้วนถูกเขานำออกมาใช้ พูดอีกอย่างก็คือ เหล่าคำพูดที่เขาตะโกนใส่ทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองสวินหยางนั้น ก็เหมือนการกรีดเพลงกระบี่รอบรู้ใส่ค่ำคืนอันมืดมิด จนเห็นเส้นทางซึ่งนำไปสู่ความสว่าง
ทว่าพอเขาเห็นเหลียงหวังซุนกับตา ก็พบว่าข้อสันนิษฐานของตนมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ปัญหาที่ว่าไม่ใช่สู้ไม่ได้ก็ต้องหนีอย่างที่เคยพูดไว้ แต่เป็นเพราะเขาไม่คิดว่าเหลียงหวังซุนจะปรากฏตัวขึ้น โดยไม่สนใจฐานะผู้สืบทอดจวนอ๋อง ไม่สนใจมติมหาชน กล้ามาฆ่าซูหลีในที่สาธารณะ นี่เป็นเพราะอะไร?
“เพราะอะไร?” เฉินฉางเซิงถามพลางจ้องมองซูหลี
“เพราะพวกเขาล้วนแซ่เหลียง” ซูหลีตอบ
เหลียงเสี้ยวเซียว เหลียงหงจวง เหลียงหวังซุน…ผู้ซึ่งแสดงเจตนารมณ์ว่าอยากให้ซูหลีตายมากสุดล้วนแซ่เหลียง ทั้งสามสืบสายโลหิตของเหลียงอ๋องหรือ? ซูหลีกับจวนเหลียงอ๋องแค้นฝังหุ่นอะไรกันนักหนา?
“คนเคยเป็นจักรพรรดิมาก่อน ไหนเลยยอมเป็นอ๋องตลอดไปเล่า?” ซูหลีมองไปที่เงาตะคุ่มๆ ของราชรถบัวดำนอกหน้าต่างคันนั้น พลางว่า “เรื่องที่เจ้าเหนือหัวราชวงศ์ก่อนของจวนเหลียงอ๋องอยากทำมากที่สุด ก็คือการกลับจิงตูไปครองราชย์อีกครั้ง เพียงแต่พวกเขาไม่มีโอกาสแล้ว จวบจนเมื่อสิบกว่าปีก่อน การเกิดสงครามในจิงตู ทำให้พวกเขาเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้”
เฉินฉางเซิงฟังซูหลีเล่าเรื่องราวในอดีต พลางมีบางอย่างไม่เข้าใจจึงถาม “ตอนนั้นผู้ที่คิดก่อเรื่องคือพรรคฉางเซิงมิใช่หรือ?”
“อยากครองแผ่นดิน ต้องคิดให้ลึก จวนเหลียงอ๋องเริ่มแทรกซึมเข้าไปในพรรคฉางเซิงตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน และเมื่อสิบกว่าปีก่อนพรรคฉางเซิงก็ทำการยุแหย่ให้เหนือใต้ทำสงครามกัน ซึ่งได้ผลเป็นอย่างยิ่ง”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ ตอนนั้นผู้อาวุโสของพรรคฉางเซิงทั้งหมดถูกซูหลีฆ่าตาย แผนการที่จวนเหลียงอ๋องซุกซ่อนไว้หลายร้อยปีจึงถูกเปิดเผย สมควรแค้นใจก็จริง แต่เหตุใดถึงต้องแค้นซูหลีเข้ากระดูกดำเช่นนี้?
“หนึ่งในผู้อาวุโสเหล่านั้นมีคนแซ่เหลียง น่าจะเป็นรุ่นปู่ของเหลียงเสี้ยวเซียว ส่วนเหตุที่เหลียงหวังซุนกับเหลียงหงจวงแค้นข้านั้น อาจเป็นเพราะหลังจากที่ข้าฆ่าคนในพรรคฉางเซิงแล้ว ก็แวะมาที่เมืองสวินหยาง ฆ่าพวกผู้เฒ่าทั้งหมดในจวนเหลียงอ๋องอีก”
เฉินฉางเซิงพูดไม่ออก คิดในใจ แบบนี้ก็เท่ากับฆ่าคนทั้งบ้าน หนี้แค้นทะเลโลหิตฝังลึกนี่เอง มิน่าเล่าคนรุ่นหลังของเหลียงอ๋องถึงได้เกลียดชังซูหลีมาก ขนาดที่เหลียงเสี้ยวเซียวยอมสมคบคิดกับพวกมารอย่างไม่เสียดายชีวิต
เสียงสนทนาระหว่างเหลียงหวังซุนกับมุขนายกเมืองสวินหยางดังแว่วๆ อยู่นอกหน้าต่าง
หลังฟังอย่างเงียบๆ เฉินฉางเซิงก็ถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ต้อง…ฆ่าคนมากมายเช่นนี้จริงๆ หรือ?”
ซูหลีแสดงสีหน้าประชดประชัน พลางว่า “เตรียมตักเตือนข้าอีกแล้วรึ?”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าไปมา แล้วว่า “แค่รู้สึกว่าเรื่องนี้จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องหลั่งโลหิตมากมายเช่นนี้”
ซูหลีไม่ได้ตอบตรงๆ เพียงเล่าว่า “ตอนนั้น พรรคฉางเซิงกับจวนเหลียงอ๋องตั้งใจที่จะให้เหนือกับใต้รบกันจริงๆ บวกกับจิงตูวุ่นวายภายใน ราชสำนักกับนิกายหลวงแตกแยกกัน ปัญหาเดียวที่คนใต้จัดการไม่ได้และถือเป็นปัญหาใหญ่สุดก็คือ การดำรงอยู่ของเทียนไห่ ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็หาวิธีแก้ปัญหานี้จนได้”
“วิธีอะไรหรือ?”
“พวกเขาต้องการให้ข้าไปจิงตูฆ่าเทียนไห่ และแม้ข้าฆ่าเทียนไห่ไม่ได้ พวกเขาก็เชื่อว่าอย่างไรเทียนไห่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส”
“ผู้อาวุโส ท่านไปจริงๆ หรือ?” พอเฉินฉางเซิงถามออกไป ถึงได้รู้ว่าตนถามคำถามไร้สาระ
ซูหลีย่อมไม่ได้ไปจิงตูฆ่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ มิเช่นนั้นก็คงไม่มีวันนี้หรอก และแน่นอนว่า ซูหลีกำลังมองเขาเหมือนเขาโง่เขลาเบาปัญญา พลางว่า “ข้าเหมือนคนสติไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือ?”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ คนทางใต้กลุ่มนั้นต่างหากที่สติไม่ดี ถึงได้คิดวิธีที่เป็นไปไม่ได้เช่นนี้ออกมา จึงถาม “ตอนนั้นพวกเขาเกลี้ยกล่อมท่านอย่างไร?”
“พวกเขาจับลูกเมียข้า ไปขังไว้ในสระเยือกเย็นของพรรคฉางเซิง แล้วใช้ความชอบธรรมอันยิ่งใหญ่เกลี้ยกล่อมข้า”
ใบหน้าซูหลีไม่มีความรู้สึกใดๆ ขณะพูดถึงเรื่องนี้ ทว่าแม้ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว เฉินฉางเซิงเหมือนยังรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นของเขา
“ไม่มีใครชอบฆ่าคนหรอก ข้าก็ไม่ชอบ”
สุดท้ายซูหลีจึงว่า “โลหิตหลั่งมามากแล้ว การล้างกระบี่ให้สะอาดเป็นเรื่องยุ่งยากมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้า ดังนั้นข้าก็ไม่ชอบการหลั่งโลหิต แต่บางครั้ง คนต้องฆ่า โลหิตต้องหลั่ง”
เฉินฉางเซิงเข้าใจแล้ว เรื่องที่เขาเคยได้ยินมา วันนี้ถูกเติมเต็มจนครบถ้วน ซูหลีอยากบอกเหตุผลง่ายๆ เหตุผลหนึ่งให้เขาฟังผ่านเรื่องราวเหล่านี้ ขณะเดียวกันก็ไม่อยากฟังคำตักเตือนจากเขา
การดำรงชีวิตอยู่บนโลก คิดอยู่อย่างอิสรเสรี คิดปกป้องคนรักไม่ให้มีอันตราย ท่านต้องแข็งแกร่งมากพอ รวมทั้งทำให้โลกยอมรับด้วยว่าท่านแข็งแกร่ง และเกรงกลัวความแข็งแกร่งของท่าน แล้วทำอย่างไรจึงจะพิสูจน์ให้โลกรู้ ทำอย่างไรจึงจะทำให้โลกยอมรับในจุดนี้? ท่านต้องกล้าฆ่าคน กล้าให้โลกทั้งใบหลั่งโลหิต
ซูหลีทำเช่นนี้ เขาฆ่าผู้เฒ่าในพรรคฉางเซิงจนหมด และเกือบฆ่าล้างจวนเหลียงอ๋อง ทำให้ต้าลู่หลั่งโลหิตดั่งสายน้ำ แม้เขาไม่สามารถช่วยชีวิตภรรยาตนเอง แต่สิบกว่าปีให้หลังก็ไม่มีใครกล้าข่มขู่หรือหลอกใช้เขาอีก และไม่มีใครกล้าคุกคามลูกสาวของเขาด้วย
เฉินฉางเซิงเข้าใจ แต่ไม่ได้แปลว่ายอมรับ เขาจึงไม่สามารถพูดอะไรกับซูหลีอีก ควรไปพูดกับผู้อื่นจะดีกว่า เขาจึงเดินไปผลักหน้าต่างออก มองไปยังเหลียงหวังซุนที่นั่งอยู่บนราชรถบัวดำ พลางพูดง่ายๆ “ข้าต้องการปกป้องเขา”
ใบหน้าอันหล่อเหลาสง่างามของเหลียงหวังซุนเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ “หลายคนคิดว่าเจ้าตายในสวนโจว คิดไม่ถึงว่า เจ้ากลับมาตายในเมืองสวินหยาง”
คำพูดของเฉินฉางเซิงเรียบง่ายมาก คำตอบของเหลียงหวังซุนก็เรียบง่ายเช่นกัน เมื่อเขาคิดฆ่าซูหลีต่อหน้าสาธารณชน ก็หมายความว่า เขาไม่สนใจการข่มขู่จากใคร แม้นิกายหลวงเองก็ตาม
“ปีนั้นผู้อาวุโสมิได้ฆ่าเจ้า มิได้ฆ่าเหลียงหงจวง และมิได้ฆ่าเหลียงเสี้ยวเซียว”
เฉินฉางเซิงพูดต่อ “เขาไว้ชีวิตคนรุ่นหลังของจวนเหลียงอ๋อง จวนเหลียงอ๋องก็ควรไว้ชีวิตเขาบ้าง”
“แต่ผู้ที่รอดชีวิตในปีนั้นเหลือน้อยมาก อีกอย่างเจ้าคิดว่านั่นเป็นชีวิตที่คนรุ่นหลังอยากได้หรือ? ไม่ สิ่งที่จวนเหลียงอ๋องสูญเสียไป ก็คือความหวังหลายร้อยปีของผู้คนมากมาย แต่…ข้าจะไว้ชีวิตเขาก็ย่อมได้” เหลียงหวังซุนพูดอย่างเย็นชาต่อ “เจ้าให้ข้าตัดแขนตัดขา ตัดเส้นชีพจรของเขาก่อน แล้วข้าจะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ”
เฉินฉางเซิงเงียบไปสักพัก แล้วว่า “นี่ไม่ยุติธรรม”
เหลียงหวังซุนว่า “ใช้เลือดล้างเลือด ใช้ความตายชดใช้ความตาย ยุติธรรมที่สุดแล้ว”
“ผู้อาวุโสไปที่ราบหิมะเพื่อมวลมนุษย์ จึงถูกพวกมารจู่โจมจนบาดเจ็บสาหัส มิฉะนั้นแล้วพวกท่านไม่มีทางฆ่าเขาได้หรอก ดังนั้นเขาจึงไม่ควรตายด้วยน้ำมือมนุษย์ อย่างน้อยก็ไม่ควรเป็นครั้งนี้ อย่างน้อยก็ไม่ควรตายเช่นนี้ ไม่ว่าเขาเคยฆ่าคนมามากน้อยเท่าไร หรือไม่ใช่คนดีจริงๆ ก็ตาม”
พอได้ยินคำพูดนี้ นักบวชรอบๆ โรงเตี๊ยมกับหน่วยกล้าตายของจวนเหลียงอ๋องพลันเปลี่ยนความรู้สึก
เหลียงหวังซุนมองเฉินฉางเซิง พลางพูดอย่างสงบนิ่ง “เจ้าพูดมีเหตุผล ถ้าตำนานแห่งยุคต้องตายไปเช่นนี้ ผู้ที่ฆ่าเขาเช่นข้าคงต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นแค่โจรกระจอก แต่…ข้าไม่สนใจ โลกนี้ก็ไม่มีใครสนใจ เพราะนี่เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถฆ่าเขาได้ และทุกคนในโลกก็อยากฆ่าเขา”
เฉินฉางเซิงถาม “แต่นี่ก็เท่ากับว่าท่านสมคบคิดกับพวกมารมิใช่หรือ?”
“นี่เป็นการฆ่าที่ไร้ยางอาย อย่าว่าแต่สมคบคิดกับพวกมารเลย ต่อให้ติดต่อกับพวกมาร แล้วอย่างไร?”
สิ้นเสียงเขา ห้องหับรอบๆ โรงเตี๊ยมก็ทยอยกันพังลง เงาร่างของผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น
แม้ประตูเมืองสวินหยางปิดลงแล้ว แต่จะขวางกลุ่มคนที่คิดฆ่าซูหลีได้อย่างไรกัน?
แสงสีแดงเพลิงสายหนึ่งวาบขึ้นบนท้องฟ้า อุณหภูมิสูงขึ้น ลมพัดแรง กิเลนเมฆแดงตัวหนึ่งพุ่งมาหยุดยืนที่หัวถนน โดยมีเซวียเหอนั่งอยู่ด้านบน ชุดเกราะของเขายังหลงเหลือคราบโลหิตของวันนั้นอยู่ ตามด้วยเหลียงหงจวงในชุดระบำก็ปรากฏตัวขึ้นที่หัวถนนอีกฝั่งหนึ่ง ใบหน้าทรงเสน่ห์ของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นสีเทา และบาดแผลกระบี่บนร่างยังชัดเจน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขายืนหยัดรีบเร่งมาที่นี่ได้อย่างไร
หัวเจี้ยฟูขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองดูเหลียงหงจวง ด้วยวันนั้นเป็นเขาเองที่แอบบอกร่องรอยของซูหลีให้เหลียงหงจวง
“เจ้าดู ขนาดนิกายหลวงก็ยังอยากให้เขาตายเหมือนกัน” เหลียงหวังซุนมองเฉินฉางเซิงพลางว่า “แล้วเจ้าจะต้านคนทั้งโลกอย่างไรไหว?”
เฉินฉางเซิงมองดูเงาร่างรอบๆ โรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยบนถนน เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร มีชื่อเสียงเป็นอย่างไรในตอนเหนือของต้าลู่ เป็นคนของสำนักหรือพรรคไหน เพียงรู้สึกได้จากพลังปราณ รู้สึกถึงความน่ากลัวของคนเหล่านี้ ซึ่งทั้งหมดล้วนมาฆ่าซูหลี
เซวียเหอเป็นขุนพลเทพของต้าโจว น่าจะไม่ลงมือ เหลียงหงจวงน่าจะไม่มีแรงลงมือ แต่คนที่เหลือต้องลงมือแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีนักฆ่าชื่อดังหลิวชิงที่เร้นกายอยู่ในความมืดมาโดยตลอดอีก การต่อสู้ในวันนี้ นอกจากเหลียงหวังซุนแล้ว ที่น่ากลัวสุดก็น่าจะเป็นคนเหล่านี้
ซูหลีบาดเจ็บสาหัส จึงออกเทียบเชิญให้แขกเหรื่อทั้งต้าลู่มารุมกินโต๊ะ และพอพวกเขามากันพร้อมหน้า ก็ใช้กระบี่ต่างตะเกียบ เตรียมดื่มสุราเลิศรสที่ปรุงด้วยโลหิต ลิ้มรสเนื้อมนุษย์จานใหญ่ เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่างานรุมกินโต๊ะในครั้งนี้จะมีแขกเหรื่อมาเพิ่มอีกหรือไม่ แต่เขาอยากลองคว่ำโต๊ะดู
เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง มองเหลียงหวังซุนในราชรถบัวดำอย่างสงบนิ่ง พลังปราณแท้ค่อยๆ เคลื่อนที่ จิตสัมผัสเข้าไปในฝักกระบี่ ติดต่อกับวิญญาณมังกรดำ ปลุกเหล่ากระบี่ที่หลับลึกมานานหลายวันให้ตื่นขึ้น
กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน
เขาเริ่มคำนวณและสันนิษฐาน เตรียมสันดาปพลังปราณแท้ เตรียมปล่อยหมื่นกระบี่ออกพร้อมๆ กัน
เพลงกระบี่รอบรู้ เพลงกระบี่สันดาป เหล่านี้เป็นเพลงกระบี่ที่ซูหลีสอนเขา ส่วนหมื่นกระบี่เป็นกระบี่ของเขา เขาอยากทดสอบดูว่าสามารถใช้วิถีกระบี่ที่ปรับปรุงแล้วเสริมเติมเจตจำนงหมื่นกระบี่ที่ถูกกัดกินไปตามกาลเวลาได้หรือไม่ ให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าสุสานโจวเกิดขึ้นอีกครั้ง จากนั้นค่อยฆ่าเหลียงหวังซุนในทีเดียว
เฉินฉางเซิงเป็นเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ในขั้นทะลวงอเวจี ส่วนเหลียงหวังซุนเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงบนประกาศเซียวเหยา ไม่ว่าใครมาเห็น กระทั่งตัวเขาเองก็ชัดเจนว่าพละกำลังทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหว
แต่เขายังคิดทดสอบดูว่าจะสามารถฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่
เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่า เขาต้องฆ่าเหลียงหวังซุนสถานเดียว ซูหลีจึงจะรอดชีวิต
นี่… อาจเป็นเหตุผลใหม่ล่าสุดที่เขาเรียนรู้จากซูหลี