เหลียงหวังซุนเป็นแขกคนแรกของงานรุมกินโต๊ะ จากสถานะของเขา พละกำลัง รวมทั้งตำแหน่งในแวดวงบำเพ็ญเพียร ในยุทธภพ ในวิหาร เขามีคุณสมบัติพอที่จะเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงต้องฆ่าเขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าห่างชั้นกันมาก ก็ต้องฆ่า เช่นนี้จึงสามารถสร้างความหวาดกลัวไปทั่วเมืองสวินหยาง บวกกับตำแหน่งในนิกายหลวงของตน ทำให้ผู้คนไม่กล้าลงมือกับซูหลีอีก นี่ก็คือแผนของเฉินฉางเซิง ซึ่งมีเพียงการฆ่าคนเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยคนได้ มีเพียงการไม่พูดเหตุผลเท่านั้น จึงจะสามารถพูดเหตุผลได้
ถนนหน้าโรงเตี๊ยมสงบนิ่ง ทิวทัศน์อันสวยงามแตกกระจายอยู่ในฝุ่นผงที่เพิ่งร่วงหล่นลงบนพื้นถนน
เสียงของแตกดังขึ้นพร้อมๆ กับพริบตาที่เฉินฉางเซิงทลายหน้าต่างห้องกระโดดลงมา เศษกรวดหินดินทรายและเศษขี้เลื่อยปลิวว่อน
ราชรถของจวนเหลียงอ๋องสูงเท่าอาคารสองชั้น จอดอยู่หน้าโรงเตี๊ยม พอเฉินฉางเซิงทลายหน้าต่าง ก็กระโดดไปที่ราชรถ ขณะที่เท้าของเขายังไม่แตะตัวรถ กระบี่สั้นก็หลุดออกจากฝัก แทงเข้าที่หว่างคิ้วของเหลียงหวังซุน
กระบี่สั้นไร้เสียง ไม่มีพลังใดๆ และไม่รู้สึกว่ามีพลังปราณขนาดใหญ่เคลื่อนตัวอยู่ คล้ายเพียงเพิ่มความสว่างที่ไม่โดดเด่นให้กับทิวทัศน์อันสวยงาม แต่กลับทำให้ผู้คนตกใจมากมาย กระทั่งเหลียงหวังซุนเองก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา
เจตจำนงกระบี่ของเฉินฉางเซิงบริสุทธิ์อย่างยิ่ง และแข็งแกร่งอย่างยิ่ง คล้ายเกินกว่าการดำรงอยู่ของพลังกระบี่ ผู้คนบนท้องถนนที่เห็นกระบี่นี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่กล้ามาฆ่าซูหลี หรือนักบวชจากตำหนักศึกษาแห่งเมืองสวินหยาง หรือหน่วยกล้าตายจากจวนเหลียงอ๋องกับเด็กรับใช้ชายหญิงธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องการบำเพ็ญเพียรและวิถีกระบี่ ล้วนรู้สึกว่าตนเองปวดตา
แสงที่ทำให้ปวดตามาจากเจตจำนงกระบี่ของเฉินฉางเซิง เจตจำนงกระบี่คมกริบสุดจะเปรียบ พร้อมแรงกดดันแต่เก่าก่อน…กระบี่สั้นของเขาในตอนนี้คือกระบี่มังกรครวญยุคใหม่ คล้ายมังกรพุ่งออกจากมหาสมุทร สว่างไสวรอบทิศ เจิดจ้าจนมองตรงๆ ไม่ได้ ราวกับอาทิตย์หนึ่งดวง สว่างจนทุกคนต้องหรี่ตา
ผู้คนพากันตกตะลึง เพิ่งจะรู้ว่าเฉินฉางเซิงบำเพ็ญวิถีกระบี่ถึงขั้นนี้แล้ว ซึ่งมีเพียงผู้ที่เฉินฉางเซิงเคยประมือด้วยอย่างเซวียเหอกับเหลียงหงจวงเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจแต่แรก จึงไม่มีปฏิกิริยาอะไร
แม้ตอนนี้เฉินฉางเซิงมีชื่อเสียงแล้ว แต่ก็ถูกผู้คนมากมายดูแคลนว่า ยังเป็นรองชิวซานจวินกับสวีโหย่วหรง โดยจัดอยู่ในกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ แต่อย่างไรก็ยังไม่มีใครเห็นลำดับขั้นการบำเพ็ญเพียรของเขาด้วยตาตนเอง โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือของเมืองสวินหยาง
ผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่รู้แค่ว่าเขาไม่ธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มอย่างเขาจะบำเพ็ญเพียรถึงขั้นสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจี ที่น่ากลัวกว่าก็คือ เขารอบรู้วิถีกระบี่อย่างลึกซึ้ง ทำให้ผู้คนมากมายรวมทั้งหัวเจี้ยฟูมุขนายกเมืองสวินหยาง อดไม่ได้ที่จะคิดในเรื่องที่ปกติเป็นไปไม่ได้ นั่นก็คือ หรือกระบี่ของเฉินฉางเซิงสามารถทำอันตรายเหลียงหวังซุนได้จริงๆ?
เหลียงหวังซุนผู้นั่งอยู่ในราชรถและกำลังเผชิญหน้ากับคมกระบี่ ต้องรู้สึกถึงเจตจำนงกระบี่ของเฉินฉางเซิงได้ชัดเจนกว่าคนทั้งหมดบนท้องถนน แต่ที่ทำให้หลายคนไม่เข้าใจก็คือ เขาไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย
เขานั่งนิ่งๆ มองดูกระบี่ของเฉินฉางเซิง ด้วยแววตาที่เย็นชาและสงบนิ่ง พร้อมความรู้สึกอันสูงส่งที่ไม่มีใครเข้าถึง และแล้ววัชระทองในมือขวาของเขาพลันเปล่งรัศมีแสง กลืนกินแสงอันเจิดจ้าจากกระบี่ของเฉินฉางเซิงในพริบตา นี่ก็คืออาณาเขตแห่งดวงดาวที่เข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบหรือ? ขณะคิด เฉินฉางเซิงพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะ…
กระบี่ของเขาแทงเข้าไปในรัศมีแสงได้อย่างง่ายดาย
คนและกระบี่รวมเป็นหนึ่งเดียว ขณะกระบี่สั้นแทงเข้าไปในรัศมีแสง ร่างของเขาก็เข้าไปด้วย
เท้าทั้งสองข้างของเขาสัมผัสพื้นราชรถ แต่กระบี่ของเขากลับไม่ได้แทงเข้าที่หว่างคิ้วของเหลียงหวังซุน แต่ค้างอยู่ตรงหน้าหว่างคิ้ว
มือซ้ายที่อยู่ข้างตัวเหลียงหวังซุน ไม่รู้ถูกยกขึ้นมาขวางหน้ากระบี่สั้นของเฉินฉางเซิงแต่เมื่อไหร่ และใช้เพียงสองนิ้ว คีบกระบี่สั้นไว้ได้
สองนิ้วที่ดูบอบบาง กระทั่งเหมือนนิ้วสตรี แต่ความจริงแล้วคือยอดเขาสองลูกดีๆ นี่เอง
แม้กระบี่ของเฉินฉางเซิงเป็นมังกรจริงๆ ก็อาจถูกยอดเขาสองลูกนี้บีบจนขยับไปไหนไม่ได้
ก่อนที่จะทลายหน้าต่างและแทงกระบี่ออกนั้น เฉินฉางเซิงได้คิดคำนวณและสันนิษฐานถึงการต่อสู้ในครั้งนี้ไว้มากมาย โดยพุ่งไปที่ทำอย่างไรจึงจะหาจุดอ่อนหรือจุดบกพร่องในอาณาเขตดวงดาวของเหลียงหวังซุนได้ แต่ผิดคาด เหลียงหวังซุนไม่ยอมสำแดงอาณาเขตดวงดาวให้เห็น เพียงใช้สองนิ้วหยุดกระบี่ของตนไว้ นี่คือความดุดันและความเชื่อมั่นของผู้แข็งแกร่งแห่งประกาศเซียวเหยาหรือ?
ขณะมองตาที่ดุดันของเหลียงหวังซุน เฉินฉางเซิงพลันหนาวเย็นขึ้นมา…พละกำลังและการบำเพ็ญเพียรของคนผู้นี้ล้ำลึกยากหยั่งถึง แข็งแกร่งกว่าเขามาก…แต่ความรู้สึกหนาวเย็นมิได้มาจากความต่างของพละกำลัง เพราะเขายังมีวิธีการที่แอบซ่อนไว้อยู่ กระบี่ที่แท้จริงยังไม่ได้แทงออก ความรู้สึกหนาวเย็นจึงมาจากความรู้สึกคลุมเครือในหลายๆ อย่าง
ที่เหลียงหวังซุนมิได้สำแดงอาณาเขตดวงดาว ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจ หรือดูถูกเขา และไม่น่าคิดจะทำให้เขาอับอาย เนื่องจากการใช้พลังที่ไม่เหมาะกับสถานะของคู่ต่อสู้ มิใช่สิ่งที่ระดับผู้แข็งแกร่งจริงๆ พึงกระทำ แล้วเหลียงหวังซุนคิดทำอะไรกันแน่? ซึ่งในเวลาต่อมา ขณะที่เฉินฉางเซิงยังไม่ทันแทงกระบี่จริงๆ ออกไป เหลียงหวังซุนก็เคลื่อนไหว
จิตสัมผัสของเขาเคลื่อนไหว บนราชรถดอกไม้ดำปรากฏละอองดาวลอยฟุ้ง พลังปราณสายหนึ่งแบ่งโลกออกเป็นสองใบ
เหลียงหวังซุนสำแดงอาณาเขตดวงดาวของตนจนได้ ตอนนี้ เฉินฉางเซิงอยู่ตรงหน้าเขา และเข้ามาในอาณาเขตดวงดาวของเขาแล้ว พูดได้ว่าถูกขังอยู่ในนั้น ซึ่งสำหรับผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาว ประโยชน์สูงสุดของอาณาเขตดวงดาวก็คือ ใช้ป้องกันตนเองไม่ให้ถูกโจมตีจากภายนอก แล้วเหลียงหวังซุนทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? แต่เฉินฉางเซิงรู้ว่า คู่ต่อสู้ต้องมีนัยของการกระทำแน่ เพียงยังคิดไม่ออกในระยะเวลาอันสั้น แต่จิตใจกระบี่ของเขายังไม่สับสน เจตจำนงกระบี่ยังนิ่งเหมือนก่อน เท้าขวาของเขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พลังปราณในร่างสันดาปรุนแรงในพริบตา
ดวงตาของเหลียงหวังซุนกระจ่างขึ้น ดุดันขึ้น และจริงจังขึ้นด้วย ชัดเจนว่า เขารู้สึกถึงพลังปราณที่ระเบิดออกของเฉินฉางเซิง และสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิด โดยรู้ว่าเฉินฉางเซิงต้องแทงกระบี่ที่แท้จริงตามมา เพียงไม่รู้ว่ากระบี่ที่แท้จริงอย่างน้อยมีจำนวนนับพันเล่ม เขารู้แค่ว่า อีกสักพัก ซูหลีต้องตาย
ขอเวลาแค่สักพัก ถ้าเฉินฉางเซิงทำอะไรเหลียงหวงซุนไม่ได้ ซูหลีต้องตายแน่
ทว่าตอนนี้เฉินฉางเซิงรู้แล้วว่าตนไม่มีโอกาสรอให้ถึงเวลาสักพักนั่น
เพราะพอเริ่มต้น ก็มีหิมะโปรยปรายลงบนราชรถของจวนเหลียงอ๋อง
ซึ่งหิมะเหล่านี้ก็ตกลงรอบๆ โรงเตี๊ยมเช่นเดียวกัน
เมืองสวินหยางปลายฤดูใบไม้ผลิ พลันมีหิมะตก
ขณะมองตาเหลียงหวังซุน เฉินฉางเซิงเห็นความรู้สึกมากมายในนั้น แต่กลับไม่พบจิตสังหาร ทำให้เข้าใจแล้วว่า เหลียงหวังซุนไม่ได้คิดฆ่าเขา ถูกแล้ว บุคคลอย่างเหลียงหวังซุน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่คิดฆ่าเด็กหนุ่มของสำนักฝึกหลวงที่ใต้เท้าสังฆราชกับมุขนายกเหมยหลี่ซาไว้เนื้อเชื่อใจและเอ็นดูหรอก
ที่เขาเสี่ยงอันตรายแสดงอาณาเขตดวงดาว และขังเฉินฉางเซิงไว้บนราชรถ ก็เพราะไม่อยากให้เฉินฉางเซิงลงมือ ด้วยการต่อสู้ในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องระหว่างเขากับเฉินฉางเซิง
ผู้ที่ลงมือฆ่าซูหลีจริงๆ เป็นผู้อื่น
คนผู้นั้นคือใคร? งานรุมกินโต๊ะครั้งนี้ แขกคนสุดท้ายที่มาถึงคือใครกัน?
ทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
บนท้องฟ้าพลันมีคนผู้หนึ่งตกลงมา
เป็นคนประหลาดมีกระดาษขาวปิดหน้า บนกระดาษวาดรูปจมูกกับปากอย่างเรียบง่าย และเจาะรูสองข้างที่ตำแหน่งดวงตา
ดวงตาของท่านผู้นี้ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เย็นชาจนทำให้ผู้คนรู้สึกว่าโรคจิตสุดจะเปรียบ
เอวของคนประหลาดผูกไว้ด้วยเชือกเส้นหนึ่ง ซึ่งปลายเชือกผูกติดกับว่าวกระดาษขนาดมหึมาบนท้องฟ้า
ว่าวกระดาษนี้นี่เองที่โปรยเศษกระดาษลงมา
หาใช่หิมะไม่
หิมะที่ลอยล่องอยู่ในเมืองสวินหยางขณะนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเศษกระดาษ
คนประหลาดท่านนี้บำเพ็ญเพียรได้อย่างแข็งแกร่งจนน่ากลัว ขณะลอยตัวกลางอากาศห่างจากพื้นดินหลายสิบจั้ง พลังปราณที่ทั้งอหังการและคลุ้มคลั่งยังแผ่กระจายมาถึงถนน จนผู้บำเพ็ญเพียรที่อ่อนด้อยต้องปิดตาเกร็งพลังต้าน ส่วนคนธรรมดาต่างหมดสติไปตามๆ กัน
หลังคากระเบื้องสีดำคร่ำครึของโรงเตี๊ยมถูกบดขยี้จนกลายเป็นกรวดหินดินทรายในพริบตา ขณะเสียงทึบตันดังขึ้น หลังคาโรงเตี๊ยมทั้งหมดก็พังทลายลง ผนังแตกหัก เผยให้เห็นสภาพภายใน
ท่ามกลางฝุ่นตลบและละอองหิมะ ผู้คนคลับคล้ายเห็นของแต่งบ้านและเสาคานล้มระเนระนาดเต็มพื้น
ในซากปรักหักพัง มีเก้าอี้ตัวหนึ่ง
บนเก้าอี้มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ ในมือมีร่มกระดาษทองเก่าๆ คันหนึ่ง
รอบบริเวณเงียบกริบในทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้คนมากมายเห็นใบหน้าที่แท้จริงของซูหลี
ผู้ที่หล่นลงจากฟากฟ้า พุ่งหอกเหล็กหนึ่งด้ามไปที่ร่างของซูหลี
ตอนหอกเหล็กพุ่งออก หิมะกระดาษพลันฟุ้งกระจาย พร้อมลมพายุพัดรุนแรง!
ผู้คนพากันกรีดร้อง
“เซียวจาง!”
“ฮว่าเจี่ยเซียวจาง!”
มีคนขี่ว่าวมาฆ่าคนที่เมืองสวินหยาง
เขาโปรยหิมะที่ทำจากกระดาษลงมาก่อน เพื่อกรุยทางสู่ปรโลกให้กับผู้ที่เขาต้องการฆ่า
เพราะคิดว่า เมื่อตนมาถึงแล้ว คนผู้นี้ ต้องตายสถานเดียว
แม้คนผู้นี้เป็นซูหลีก็ตาม
เรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้ นอกจากผู้คลุ้มคลั่งอันดับสองแห่งประกาศเซียวเหยาแล้ว ยังจะมีใครทำได้อีก?
วิธีออกตัวแรงเช่นนี้ นอกจากฮว่าเจี่ยเซียวจางแล้ว ยังเป็นใครไปได้?
พอหอกเหล็กพุ่งออก เมืองสวินหยางก็เคลื่อนไหว!
นี่เป็นหอกเหล็กที่อหังการอย่างยิ่งของเซียวจาง แม้ซูหลีไม่ได้รับบาดเจ็บ และบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นสูงสุด ก็ยังต้องจัดการกับหอกเหล็กอย่างจริงจัง แต่ตอนนี้เขายังไม่หายจากอาการบาดเจ็บสาหัส จะจัดการอย่างไร?
ตอนนี้ เฉินฉางเซิงถูกเหลียงหวังซุนขังอยู่บนถนน แล้วใครจะจัดการหอกเหล็กแทนเขา?