บทที่ 478 ข่าวคราว

บัลลังก์พญาหงส์

พระชายาองค์รัชทายาทหัวเราะแห้ง “ในเมื่อเสด็จแม่คิดดีแล้ว จะมาถามหม่อมฉันอีกทำไมเล่าเพคะ?”

 

 

ให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ กระทั่งต่อจากนี้ไปอาจไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก นี่เป็นจุดอ่อนของนาง ฮองเฮาจี้จุดนางตรงๆ เช่นนี้ ทำให้นางไม่มีแม้แต่คำพูดโต้ตอบ นางเป็นอะไร? ความพยามยามและความสามารถที่ผ่านมาหลายปีนี้ถือว่าเป็นอะไรกัน?

 

 

เพียงไม่นาน พระชายาองค์รัชทายาทก็รู้สึกท้อแท้ใจ

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทไม่ค่อยเกรงใจเท่าไร และยิ่งแสดงถึงความไม่เคารพ ฮองเฮาขมวดคิ้วน้อยๆ สุดท้ายก็ไม่ได้หาเรื่องอะไร กลับพูดปลอบเสียงอ่อนโยนว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นพระชายาองค์รัชทายาทที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต่อให้น้องสามของเจ้าเข้าวังหลวงมาก็เป็นได้เพียงชายารองเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจข้ามหน้าเจ้าไปได้ นางเป็นคนรู้ความ จะต้องเชื่อฟังเจ้าแน่นอน พวกเจ้าเป็นพี่น้องมารดาเดียวกัน ในอนาคตบุตรชายของนาง ก็เท่ากับบุตรชายของเจ้าไม่ใช่หรือ? แบบนี้เจ้าเองก็มีที่พึ่ง”

 

 

พอฮองเฮาพูดอธิบายและปลอบประโลมนางเช่นนี้ พระชายาองค์รัชทายาทก็ยังคงก้มหน้าไม่พูดไม่จา นางได้แต่ลอบหัวเราะเสียงเย็นในใจ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? จะเหมือนกันได้อย่างไร? เป็นหลานสาวเหมือนกัน นางก็แค่ได้เปรียบที่มาก่อนเท่านั้น แต่พอน้องสามให้กำเนิดบุตรชายกับองค์รัชทายาท เกรงว่าข้อได้เปรียบของนางก็คงไม่เหลือแล้ว! สุดท้ายท่านป้าแสนดีของนาง ก็ตัดใจทำนางได้ลงคอ

 

 

หากหวังดีกับนางจริง คงไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้มิใช่หรือ?

 

 

ฮองเฮาเห็นว่าพระชายาองค์รัชทายาทไม่พูดไม่จา ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าพระชายาองค์รัชทายาทคงไม่เข้าใจเรื่องนี้ จึงถอนหายใจพูดว่า “เรื่องนี้เจ้ากลับเอาไปคิดก่อนเถิด อย่างไรนั่นก็เป็นน้องสาวของเจ้า เจ้าทนมองนางโดดเข้าไปในกองเพลิงได้จริงหรือ?”

 

 

หลังจากพระชายาองค์รัชทายาทกลับไปแล้ว ฮองเฮาก็ส่ายหน้านวดหว่างคิ้วเล็กน้อย ก่อนเบนหน้าไปพูดกับกูกูที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายตนเอง “เจ้าดูซี นี่แหละคือสตรี”

 

 

กูกูครุ่นคิด แล้วจึงพูดแก้ตัวแทนพระชายาองค์รัชทายาทเล็กน้อย “พระชายาองค์รัชทายาทเป็นคนรู้ความมาตลอดเพคะ เรื่องนี้นางก็แค่ยังไม่เข้าใจ คิดว่านางจะต้องเข้าใจเรื่องนี้ได้ภายในเวลาอันเร็วแน่ และรู้ว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงหวังดีต่อนางเพคะ”

 

 

“ข้าไม่ได้หวังดีต่อนางหรืออย่างไร?” ฮองเฮาแค่นหัวเราะ “นางไม่มีบุตรชาย เรื่องนี้คนอื่นเอาไปพูดนินทาอยู่ตลอด เด็กที่เกิดจากสตรีคนอื่นจะสู้เด็กที่เจ้าสามคลอดออกมาได้อย่างไร? มีเพียงวิธีนี้จวนเหิงกั๋วโหวถึงจะเติบโตต่อไปได้อย่างยาวนาน สตรีนางนั้นไม่มีลูกไม้อะไร แล้วจะสั่นคลอนให้นางได้อย่างไร? จากที่ข้าดูแล้ว มีเพียงนางเท่านั้นที่เหมาะจะเป็นพระชายาองค์รัชทายาท และเป็นฮองเฮาในอนาคต”

 

 

ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็จบลงเช่นนี้แล้ว

 

 

หลังจากถาวจวินหลันได้รับข่าว ก็หัวเราะออกมา หันไปพูดกับหงหลัวว่า “เจ้าดูซี สุดท้ายแล้วก็จบเช่นนี้ คราวนี้ไม่รู้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทจะรู้สึกเช่นไร” หากเป็นนาง นางหวังให้เป็นผู้หญิงแปลกหน้าคนอื่นมากกว่า ไม่ใช่น้องสาวของตน

 

 

หงหลัวหยิบจอกชามารินน้ำชาให้ถาวจวินหลัน พลางพูดว่า “ท่านคิดเรื่องให้น้อยลงหน่อยเถิดเจ้าค่ะ นี่เป็นเรื่องของตระกูลเขา ไม่เกี่ยวกับพวกเรานะเจ้าคะ”

 

 

“ไม่เกี่ยวได้อย่างไร?” ถาวจวินหลันหมุนแหวนอัญมณีที่สวมอยู่บนนิ้วเล่น พูดออกมาเสียงเย็น “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าหยวนฉงหวาให้ข้อมูลอะไรกับข้า?”

 

 

มือของหงหลัวสั่น “ท่านจะบอกว่า…”

 

 

“คราวนี้ข้าต้องพบความลำบากมากมาย เบื้องหลังก็มีฝีมือของพระชายาองค์รัชทายาทอยู่ด้วย” ถาวจวินหลันหรี่ตาลงเล็กน้อย “ตอนนี้พระชายาองค์รัชทายาทเป็นมือซ้ายขวาของฮองเฮาแล้ว ฮองเฮาแก่ตัวลงเรื่อยๆ เรี่ยวแรงไม่สู้เมื่อก่อน เรื่องราวมากมายล้วนส่งต่อให้พระชายาองค์รัชทายาท”

 

 

“แต่ถ้าหยวนฉงหวาตั้งใจถ่ายทอดคำพูดเช่นนี้ เพราะอยากให้พวกเราต่อกรกับพระชายาองค์รัชทายาทเล่าเจ้าคะ?” หงหลัวคิดว่าคำพูดของหยวนฉงหวาไม่อาจเชื่อได้

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “หยวนซื่อไม่กล้าโกหกข้า นางรู้ดีแก่ใจ ข้าไม่ได้มีนางเป็นหูเป็นตาคนเดียว สิ่งที่นางยังต้องพึ่งพิงข้าอีกเยอะ”

 

 

หงหลัวตกอยู่ภวังค์ครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างลังเล “ถ้าเช่นนั้นความหมายของท่าน”

 

 

ถาวจวินหลันพูดคำหนึ่งอย่างเยียบเย็น “ย่อมต้องเป็นไปตามประเพณี นางให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับข้าขนาดนี้ ข้าย่อมต้องมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้นางเช่นกัน มิเช่นนั้นจะสมกับที่พระชายาองค์รัชทายาทระแวดระวังทุกเรื่องได้อย่างไร?”

 

 

หงหลัวไม่ได้ถามอะไรอีก แต่ก็เข้าใจเป็นอย่างดี ในเมื่อเจ้านายของตนเองพูดเช่นนี้ ฉะนั้นในใจย่อมต้องมีแผนแน่นอน

 

 

ถาวจวินหลันมีแผนแล้วจริง นางเบนหน้าหัวเราะพลางพูดว่า “อีกครู่ข้าจะเข้าไปในวังหลวงสักรอบหนึ่ง เจ้าไปบอกหยวนซื่อว่าข้าอยากพบนาง” นางมีเรื่องอยากไปกำชับหยวนฉงหวาด้วยตนเอง

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็ถามหงหลัวอีกว่า “เจ้าสืบมาชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ ว่าไทเฮาเรียกพบอันหย่วนโหวฮูหยินจริงหรือไม่ และจวนอันหย่วนโหวก็เอ่ยปฏิเสธคนที่ไปสู่ขอใช่หรือไม่?”

 

 

หงหลัวพยักหน้า “เป็นจริงตามนั้นเจ้าค่ะ ช่วงนี้อันหย่วนโหวฮูหยินเข้าวังหลวงบ่อยครั้ง และที่ปฏิเสธก็ไม่ใช่แค่เพียงสองสามคน”

 

 

ถาวจวินหลันตกอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ ถอนหายใจออกมา “ดูท่าทางไทเฮาตั้งใจแล้วจริงๆ เกรงว่าครั้งนี้จวนของพวกเราไม่เพียงแค่มีชายาเอกมาเพิ่มเท่านั้น แล้วยังมีนายหญิงอีกสองสามคน แต่ไม่รู้ว่าไทเฮาคิดจะให้กู้ซีเข้ามาในจวนเมื่อไร”

 

 

อย่างไรไทเฮาก็มาจากตระกูลกู้ จะลำเอียงไปทางตระกูลกู้ก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล และตอนนี้ตระกูลกู้ก็มีหญิงสาวเพียงแค่กู้ซีเท่านั้น คิดไปคิดมา เกรงว่าคงจะเหมือนสิ่งที่นางคิดมาก่อนหน้านี้นานแล้ว

 

 

แต่กู้ซีอ่อนแอเกินไป ไม่เหมาะมานั่งตำแหน่งนายหญิง ไม่รู้ว่าไทเฮาจะจัดการให้นางอยู่ในฐานะใด

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าถ้าไม่ผิดพลาดอะไร จะต้องเป็นตำแหน่งชายารองอย่างแน่นอน แม้จะบอกว่าชายารองมีสองคนแล้ว แต่สภาพของเจียงอวี้เหลียนตอนนี้ จะเพิ่มอีกสักคนก็ถือว่าสมเหตุสมผล

 

 

พูดตามจริง นางไม่อยากรับรู้เรื่องเหล่านี้ และยิ่งไม่อยากลืมตามองคนเหล่านี้ผ่านเข้ามาทางประตูใหญ่ของจวนตวนชินอ๋อง แต่นางจะมีวิธีอะไรอีก? นางไม่มีวิธีอะไรเลย นางห้ามไทเฮาหาพระชายาคนใหม่ให้หลี่เย่ไม่ได้ นางเองก็ขัดขวางไทเฮาเพิ่มคนให้หลี่เย่ไม่ได้อีก

 

 

บางทีหลี่เย่อาจจะปฏิเสธได้ แต่หลังจากปฏิเสธแล้วเล่า? ไทเฮาจะยิ่งรู้สึกว่านางพูดกรอกหูหลี่เย่ นี่ถือว่าตกเข้าไปอยู่ในวังวนปิดตาย ไทเฮาจะยิ่งคิดว่านางมีอิทธิพลต่อหลี่เย่ ยิ่งคิดหาวิธีเพิ่มคนเข้ามาให้เขาเพื่อเบนความโปรดปราน ให้หลี่เย่ไม่ใส่นางขนาดนี้

 

 

ดังนั้นไม่มีกู้ซีก็มีคนอื่น แค่ประโยคเดียว นางไม่อาจขัดขวางได้แม้แต่น้อย นางจะอิจฉาหรือไม่พอใจอย่างไร แต่ก็ไม่มีทางขัดได้มิใช่หรือ? สิ่งเดียวที่นางทำได้ก็คือสงบจิตสงบใจ พยายามให้ตนเองเป็นคนแรกที่รู้ เพื่อจะได้ไม่ให้ตนเองถึงขั้นถูกปิดหูปิดตา หรือไร้เดียงสามากเกินไป

 

 

แน่นอนว่านางไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้กับหลี่เย่ ช่วงนี้ซินพานกลับเข้ามาในราชสำนักอีกครั้ง หลี่เย่เองก็ยุ่งจนหาเวลาไม่ได้ ดังนั้นนางจึงไม่อยากนำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในจวนไปรบกวนสมาธิหลี่เย่อีก ไม่ว่าไทเฮาจะส่งใครเข้ามา นางก็เพียงแค่รอเท่านั้น

 

 

วันนี้ถาวจวินหลันไปเยี่ยมเฉินฮูหยินด้วยตนเอง จุดประสงค์ก็ด้วยเรื่องหลักฐานที่ตระกูลเฉินบอกว่าจะช่วยหา

 

 

พอเข้าไปในบ้านตระกูลเฉินแล้ว ทุกคนก็พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถาวจวินหลันก็พูดตรงๆ ว่า “เรื่องที่เฉินฮูหยินพูดครั้งที่แล้วว่าขาดเพียงพยานคนสำคัญคนเดียว ไม่ทราบว่าสุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะพยายามขจัดชื่อขุนนางนักโทษของตระกูลออกไป”

 

 

ตอนนี้ภายในห้องมีเพียงแค่เฉินฮูหยิน นาง และถาวซินหลันเท่านั้น ฉะนั้นนางถึงได้กล้าถามตรงๆ

 

 

แต่เดิมนางคิดว่าถามเช่นนี้ เฉินฮูหยินจะตอบว่าพยานอยู่ระหว่างทางแล้ว หรือว่ารอโอกาสอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อคำพูดของนางดังออกไป ใบหน้าของเฉินฮูหยินจะเผยแววลำบากใจ

 

 

แม้แต่สีหน้าของถาวซินหลันก็ผิดปกติเช่นเดียวกัน

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็นอะไรหรือเจ้าคะ? เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? เกิดเรื่องขึ้นกับพยานคนนั้นหรือเจ้าคะ?”

 

 

ก็ไม่แปลกที่นางจะคาดเดาเช่นนี้ หลักๆ เป็นเพราะท่าทีของเฉินฮูหยินและถาวซินหลันน่าสงสัย ทำให้นางอดคิดเลอะเทอะไม่ได้

 

 

เฉินฮูหยินถอนหายใจ มองไปทางถาวซินหลันทีหนึ่ง พูดว่า “เรื่องกลับตาลปัตรแล้ว เกรงว่าจะไม่ง่ายเช่นนั้น หลังจากข้าพูดกับเจ้า ระหว่างทางมานี่พยานคนนั้นก็ติดโรคระบาด ตายไปแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงไป เอ่ยปากพูดตอบโต้ตามสัญชาตญาณ “เป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ?”

 

 

เฉินฮูหยินถอนหายใจ “ข้าจะโกหกเจ้าทำไม? ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นายท่านของพวกเราเขียนฎีกาไว้เรียบร้อยแล้ว รอแเค่เพียงคนนั้นมาถึงเมืองหลวงก็รื้อคดีขึ้นมาได้ แต่คิดไม่ถึงว่า…”

 

 

ถาวจวินหลันเม้มริมฝีปาก รู้สึกผิดหวังอย่างพูดไม่ถูก แม้แต่สีหน้าก็ไม่น่ามอง แต่ตอนนี้เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้นางผิดหวังก็แก้ไขไม่ได้ ดังนั้นสุดท้ายจึงหัวเราะขมขื่น “สุดท้ายก็ยังไม่ถึงเวลา” ดังนั้นแม้แต่สวรรค์ก็ยังไม่ยอมให้โอกาสนี้แก่พวกเขา

 

 

เฉินฮูหยินถอนหายใจเบาๆ “ต่อจากนี้ไปจะต้องมีโอกาสเป็นแน่ แต่จะต้องรออีกหน่อย” ไม่ต้องพูดถึงถาวจวินหลัน นางเองก็รู้สึกผิดหวังเช่นเดียวกัน อย่างไรเรื่องนี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยคาดหวังอยู่นานแล้ว แต่ดันเกิดเรื่องเช่นนี้กะทันหัน ใครบ้างไม่ผิดหวัง?

 

 

เหมือนกับที่ถาวจวินหลันพูด นี่หมายความว่าเวลายังมาไม่ถึงเท่านั้น สวรรค์ลิขิตเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็จนปัญญา

 

 

แต่เฉินฮูหยินก็ยังคงรู้สึกผิดต่อถาวจวินหลัน มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงพูดว่าตนเองมีธุระ แล้วปล่อยให้พี่น้องสองคนพูดคุยกัน

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉับพลันก็เงยหน้ามองถาวซินหลัน “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมถึงปิดบังข้า?”

 

 

ถาวซินหลันไม่ได้ตอบ แต่หดคอลงด้วยความใจฝ่อ

 

 

ถาวจวินหลันเห็นนางเป็นเช่นนี้ไฉนเลยจะไม่เข้าใจ? พวกเขากลัวว่านางจะผิดหวัง ดังนั้นจึงตั้งใจปิดบัง ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้นางมาถาม ก็ไม่รู้ว่าจะปิดบังไปอีกนานเพียงใด

 

 

พอถอนหายใจแล้ว นางก็รู้ซึ้งถึงน้ำใจนี้ จึงไม่ได้พูดอะไรอีก

 

 

กลับเป็นถาวซินหลันกลัวว่านางจะคิดมาก จึงหาเรื่องมาพูดคุยอย่างล้มประดาตาย สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดเรื่องตระกูลข่ง “ท่านพี่ ท่านลองเดาดูว่าตอนนี้ตระกูลข่งเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่งถึงจะเข้าใจว่าตระกูลข่งที่ถาวซินหลันพูดถึงคือใคร ฉับพลันก็ขมวดคิ้ว พูดเสียงเย็น “พวกเขาจะเป็นเช่นไรแล้วเกี่ยวข้องกับพวกเราอย่างไร? อยู่ดีๆ พูดถึงพวกเขาทำไมกัน? ทำให้อารมณ์เสียเปล่าๆ”

 

 

ถาวจวินหลันไม่อยากฟังเรื่องตระกูลข่งนั่นอีก แล้วยิ่งไม่อยากรู้สถานการณ์ของตระกูลข่ง ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกการแต่งงานในตอนนั้น หรือว่าฝีมือสกปรกเจ้าเล่ห์หลังจากนั้นข่งอวี้ฮุยทำ ก็ทำให้นางนึกรังเกียจมาก