บทที่ 479 กรรมตามสนอง

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวซินหลันกลับหัวเราะเสียงดัง “ท่านพี่ข่งอวี้ฮุยเขาตายแล้วเจ้าค่ะ! ติดโรคระบาดตาย! ตอนที่โรคระบาดแพร่กระจาย เขาบังเอิญออกไปนอกเมืองพอดี สรุปว่าติดโรคกลับมา ยังไม่ทันรอสูตรยาออกมา ข่งอวี้ฮุยก็ตายไปเสียแล้ว! ท่านว่านี่เป็นเพราะกรรมตามสนองหรือไม่เจ้าคะ!?”

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป แล้วก็หัวเราะเสียงเย็น “ย่อมต้องเป็นกรรมตามสนอง สมควรแล้ว” ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกสบายใจก็แผ่ซ่านมาจากก้นบึ้งใจ ทำให้นางโล่งใจมาก

 

 

พูดตามจริง นางเคยรังเกียจข่งอวี้ฮุยจนอยากให้ไปตาย แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าถ้านางตั้งใจเป็นปฏิปักษ์กับข่งอวี้ฮุย คงจะทำให้คนอื่นคิดว่าที่นางรังเกียจข่งอวี้ฮุยมากเช่นนี้เป็นเพราะความรัก ดังนั้นจึงไม่ได้จงใจทำอะไร คิดไม่ถึงว่าแม้แต่สวรรค์ก็ยังไม่ชอบหน้าข่งอวี้ฮุย ลิขิตว่าต้องจัดการเขา!

 

 

“ตระกูลข่งต้องพึ่งพิงข่งอวี้ฮุยทั้งนั้น เขาตายไปเช่นนี้ ภายในสิบปีตระกูลข่งอย่าได้คิดจะกลับตัวมาใหม่เลย” ถาวจวินหลันพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง รอยยิ้มนั้นเยียบเย็นอย่างบอกไม่ถูก “ลูกชายที่ซุนเฟยเฟยคลอดมาเพิ่งจะสองขวบเองมิใช่หรือ”

 

 

ตระกูลข่งต้องเสื่อมถอยเป็นเรื่องที่แน่นอน เป็นกรรมตามสนองอย่างที่คาดไว้ ตอนนั้นเพื่อเกียรติยศเงินทอง ตระกูลถึงทอดทิ้งตระกูลนาง ตอนนี้มีจุดจบเช่นนี้ถือว่าปักมีดบาดหัวใจของพวกเขาเอง           

 

 

แต่พวกนั้นก็สมควรโดนแล้ว

 

 

“ข้ากำชับเฉินฟู่ไปแล้ว ให้ดูแลพวกเขาให้ดี แม้จะบอกว่าพวกเขายังไม่ได้ออกจากราชสำนัก ไม่ได้มีเกียรติยศเป็นขุนนาง แต่พวกเขาก็ยังมีทรัพย์สินเงินทองไม่น้อย พอให้พวกเขามีชีวิตสุขสบาย ข้าอยากให้พวกเขาค่อยๆ ล่มจม ชดใช้สิ่งที่พวกเราเคยประสบมาก่อนเจ้าค่ะ” ถาวซินหลันพูดอย่างโหดเ**้ยม ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความรู้สึกของถาวซินหลัน ความจริงแล้วนางคิดว่าทำเช่นนี้ช่างเหมาะสมนัก จึงไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อม แต่กลับเตือนว่า “จักทำอะไรก็อย่าโจ่งแจ้งนัก อย่าทำให้พวกเราต้องเสียชื่อเสียง”

 

 

ถาวซินหลันหัวเราะน้อยๆ “ท่านพี่วางใจเถิดเจ้าค่ะ แม้เฉินฟู่จะไม่คล่องแคล่วในเรื่องนี้นัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พลาดไป อีกอย่างหนึ่งตัวเป็นลูกเขยของตระกูลถาว เขาก็ควรต้องออกแรงบ้าง เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพี่ใหญ่ มิเช่นนั้นพี่ใหญ่คงลงมือเอง เกรงว่ายามนั้นตระกูลข่งคงไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูกเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็เม้มปากหัวเราะ พลางส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ต้องบอกพี่ใหญ่ของเจ้าหรอก ตอนนี้ทางที่ดีอย่าให้เขาเสียสมาธิ อีกอย่างเรื่องเช่นนี้ไม่ควรให้เขาลงมือ ที่สำคัญที่สุดก็คือแค่ให้พวกเขาตายคงง่ายเกินไป”

 

 

ใช้ชีวิตอยู่อย่างทรมาน เหมือนตกนรกยิ่งกว่าตายไปสบายๆ นางอยากให้ตระกูลข่งมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อชดใช้กรรมที่ทำเอาไว้

 

 

ฉับพลันนั้น ถาวจวินหลันก็ใจกระตุกวูบ หรี่ตาลงพูดว่า “เจ้าว่า คนตระกูลข่งจะรู้เบื้องหลังหรือไม่? ตอนนั้นตระกูลข่งเปิดเผยท่านพ่อก็น่าจะเป็นเพราะมีคนชักใย หากเปิดปากคนตระกูลข่งได้ ก็อาจจะพลิกคดีได้เช่นกัน” เมื่อพูดเช่นนี้ตัวนางก็เริ่มตื่นเต้น

 

 

หากทำได้ ก็เท่ากับนางมีความหวังใหม่อีกครั้ง

 

 

ถาวซินหลันครุ่นคิด ใบหน้าเริ่มแสดงอาการตื่นเต้น “บางทีเรื่องนี้อาจเป็นไปได้เจ้าค่ะ พวกเราสามารถคิดหาวิธีได้”

 

 

ทั้งสองคนปรึกษาหารือเรื่องนี้อย่างรอบคอบ

 

 

ขณะที่ถาวจวินหลันผ่านถนนเส้นหนึ่งกลับจวน นางก็คิดบางอย่างออก จึงบอกชื่อถนนให้คนบังคับรถม้าอ้อมไป นางอยากจะไปดูสักหน่อย

 

 

ชื่อถนนที่นางบอกเป็นถนนที่บ้านตระกูลข่งตั้งอยู่ ไม่เพียงแค่ตระกูลข่ง ที่จริงแล้วบ้านเดิมของตระกูลถาวก็อาศัยอยู่บนถนนเส้นนั้น

 

 

รถม้าวิ่งตรงไปเรื่อยๆ ถาวจวินหลันก็เริ่มสับสนวุ่นวาย นานมาแล้วที่นางไม่ได้นึกถึงบ้านเดิมของตระกูลข่งและตระกูลถาว แต่เพราะคำพูดของถาวซินหลัน ความทรงจำในอดีตจึงพุ่งขึ้นเหมือนสายน้ำไหล

 

 

พอถึงจุดหมายปลายทาง ถาวจวินหลันไม่ได้ลงจากรถม้า เพียงแค่ให้จอดเอาไว้ข้างถนน ให้นางนั่งนิ่งๆ ครู่หนึ่ง

 

 

แม้ชุ่นฮุ่ยกับบ่าวรับใช้คนอื่นและคนบังคับม้าจะรู้สึกอึดอัดใจ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทุกคนดูออก ว่าถาวจวินหลันอารมณ์ไม่ค่อยดี

 

 

เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ถาวจวินหลันก็เปิดม่านเหลือบดูประตูใหญ่ของบ้านตระกูลข่งทีหนึ่ง เห็นบนประตูแขวนโคมไฟสีขาวเอาไว้ คำกลอนสีขาวที่แปะเอาไว้ก็ดูเลอะเลือน จึงรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย

 

 

มีความพอใจ มีความเหม่อลอย และยังมีความเศร้าอย่างแปลกประหลาด นางคิดไม่ถึงว่าข่งอวี้ฮุยจะตายง่ายแบบนี้ นางยังไม่ได้แก้แค้นอะไร เขาก็ตายไปเสียแล้ว ทำให้ความเกลียดในใจของนางยังไม่ได้ระบายออกมาแม้แต่น้อย

 

 

ตอนที่กำลังเหม่อลอย ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงร้องไห้ เมื่อหันหน้าไปดูก็พบว่าบริเวณหน้าประตูใหญ่ของบ้านตระกูลข่งมีสตรีกลุ่มหนึ่งนั่ง ขดตัวอยู่มุมหนึ่ง ร้องไห้เสียงเบา แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวและจนตรอก

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว สั่งชุนฮุ่ย “เจ้าไปถามดูว่าผู้หญิงพวกนั้นเป็นอะไร ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ร้องเสียใจขนาดนั้น”

 

 

ผ่านไปไม่นานชุนฮุ่ยก็กลับมา รายงานเสียงเบา “คนเหล่านั้นเป็นอนุภรรยาของตระกูลข่งเจ้าค่ะ เพราะว่านายท่านของบ้านตระกูลข่งเสียไปแล้ว นายหญิงของตระกูลข่งจึงไล่อนุภรรยาที่ไม่เคยตั้งครรภ์ออกมาทั้งหมด บอกว่าไม่เลี้ยงดูคนไม่มีหน้าที่เจ้าค่ะ”

 

 

“แค่ไล่ออกมาอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันยกริมฝีปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ข้าคิดว่าจากนิสัยของนางแล้ว จะขายคนไปเสียอีก คิดไม่ถึงว่าแค่ไล่ออกมาเท่านั้น ถือว่านางมีเมตตาแล้ว”

 

 

“ล้วนเคยรับใช้เจ้านายมาก่อน หากขายออกไปก็ดูไร้เยื่อใยไปหน่อยมิใช่หรือเจ้าคะ? ที่สำคัญที่สุดก็คือไล่ออกมาเช่นนี้ สำหรับข้างนอกนั้นยังพูดได้ว่าปล่อยคนออกมาเพื่อให้แต่งงานใหม่ ไม่ทำให้ผิดเรื่อง แล้วยังได้ชื่อเสียงดีนะเจ้าคะ” ชุนฮุ่ยเบะปากมีท่าทีดูหมิ่น “แต่ไล่คนออกมาเช่นนี้ แม้แต่เงินเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีให้ ช่างตระหนี่เสียเหลือเกิน ก่อนนี้ยังเป็นตระกูลขุนนางอยู่แท้ๆ”

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะ “แต่เดิมตระกูลข่งก็ไม่ใช่ตระกูลร่ำรวยอยู่แล้ว ยามนี้ซุยเฟยเฟยคงเก็บไฟโกรธอยู่ นางไม่พอใจก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะได้สบายใจ”

 

 

ซุนเฟยเฟยไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้น

 

 

“มีอี๋เหนียงคนหนึ่งบอกว่าตั้งครรภ์สองเดือนแล้วเจ้าค่ะ” ชุนฮุ่ยพูดเสียงเบา “ไม่รู้ว่าฮูหยินคนนั้นจงใจไม่อยากมีเด็กเพิ่มมาแบ่งสมบัติถึงตั้งใจทำเช่นนี้หรือไม่”

 

 

ถาวจวินกลันเลิกคิ้วเล็กน้อย ตั้งครรภ์หรือ? เช่นนั้นก็น่าสนใจยิ่ง

 

 

“ไป เอาเงินให้พวกนางทุกคน คนละสองตำลึง คนที่ตั้งครรภ์ให้ไปสิบสองตำลึง ให้ทางทำมาหากินกับพวกนาง” คิดอยู่ครู่หนึ่งถาวจวินหลันก็สั่งชุนฮุ่ย แม้จะบอกว่านางเห็นแก่ตัวอยู่ แต่ก็ถือว่าสั่งสมบุญ สตรีมากมายขนาดนั้น หากต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว แม้แต่อยากจะกินข้าวก็ยังยาก แม้นเงินสองตำลึงไม่นับว่าเยอะ แต่ก็พอผ่านช่วงยากลำบากไปได้ จัดการตนเองก่อน แล้วค่อยหาช่องทางทำมาหากิน ก็ถือว่ารอดไปได้แล้ว

 

 

คนที่ตั้งครรภ์ถึงเป็นความตั้งใจที่แท้จริงของนาง ตอนนี้สายเลือดของข่งอวี้ฮุยมีเพียงเด็กที่เกิดจากซุนเฟยเฟยเท่านั้น แต่ถ้าเพิ่มอีกคนหนึ่งเล่า? ตระกูลข่งจะใส่ใจหรือไม่?

 

 

ขอเพียงแค่เรื่องการตั้งครรภ์เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นตระกูลข่งจะต้องใส่ใจเป็นแน่ แล้วหากนางใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ตระกูลข่งเล่า? ตระกูลข่งจะเป็นเช่นไร?

 

 

นี่อาจเป็นวิธีสกปรกไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เห็นผล และเมื่อเด็กคนนี้คลอดออกมาจะต้องทำให้ซุนเฟยเฟยไม่พอใจแน่นอน

 

 

นางยังจำสิ่งที่ซุนเฟยเฟยปฏิบัติต่อนางได้ดี นางไม่จำเป็นต้องทำรุนแรงเกินไป เพียงแค่ทำให้ซุนเฟยเฟยอารมณ์เสียก็พอแล้ว

 

 

พอชุนฮุ่ยให้เงินเสร็จเดินกลับมาแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่รั้งอยู่อีก

 

 

กลับเป็นผู้หญิงที่ได้เงินไปสิบสองตำลึงนั้นวิ่งตามมาอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “ฮูหยินได้โปรดรอข้าก่อนเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันแต่เดิมไม่คิดสนใจ ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมแพ้ ด้วยกลัวว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปผู้หญิงคนนั้นจะแท้งลูก สุดท้ายแล้วนางจึงเรียกให้หยุดรถม้า

 

 

นางมองไปยังชุนฮุ่ย แสดงท่าทีให้ชุนฮุ่ยเปิดปากพูด

 

 

ชุนฮุ่ยเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงพูดออกมาว่า “ทำไมหรือ ให้เจ้าไปสิบสองตำลึงยังไม่รู้จักพออีกหรือไร คิดอยากได้มากกว่านี้อีกหรือ?” นางจงใจพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้คนลำบากใจจนยอมแพ้ไป

 

 

ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกลับคุกเข่าลงบนพื้น พูดเสียงดังว่า “ข้าไม่ต้องการเงิน ขอเพียงฮูหยินรับข้าไปดูแลสักสองสามเดือน รอจนข้าคลอดลูกออกมาก็พอแล้วเจ้าค่ะ! ไม่ว่าถึงตอนนั้นฮูหยินจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะไม่บ่นแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ!”

 

 

ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว พูดกระซิบข้างหูชุนฮุ่ยเล็กน้อย

 

 

ชุนฮุ่ยก็พูดไปว่า “คำพูดของเจ้าช่างน่าขันนัก ฮูหยินของข้ามีฐานะสูงส่ง จะวางแผนทำอะไรกับเจ้าได้?”

 

 

สตรีนางนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ฉับพลันก็พูดขึ้นว่า “ถ้าไม่มีแผนแล้วจะให้เงินข้ามากมายขนาดนี้ทำไมเล่าเจ้าคะ? แม้ข้าจะไม่รู้ว่าฮูหยินมีแผนอะไร แต่ไม่ว่าฮูหยินจะมีเรื่องอะไร ข้าก็ยินยอมทำให้ฮูหยินบรรลุจุดประสงค์เจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น ก็เลิกคิ้วมทันที นางคิดไม่ถึงว่าสตรีนางนั้นจะหัวไวเช่นนี้ เพียงแค่เงินจำนวนหนึ่งก็คาดเดาความตั้งใจของนางได้แล้ว

 

 

แต่นางไม่มีทางยอมรับอย่างง่ายดาย จึงสั่งชุนฮุ่ยอีกเล็กน้อย

 

 

ชุนฮุ่ยจึงลงจากรถม้ามาเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวสองสามคำ หลังจากถ่ายทอดคำพูดของถาวจวินหลันไปแล้ว ก็จัดการที่อยู่ให้กับผู้หญิงคนนั้น

 

 

พอกลับไปยังจวนตวนชินอ๋องแล้ว ชุนฮุ่ยก็พูดว่า “บ่าวพาตัวหญิงชราที่พึ่งพาได้มาคนหนึ่งเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ มีเรื่องอะไรก็ค่อยมาบอกข้า” แม้จะบอกว่ามีประโยชน์ แต่สุดท้ายก็ไม่ต้องเก็บมาคิดมากนัก

 

 

“คนนั้นดูแล้วรู้เรื่องดีมากเจ้าค่ะ” ชุนฮุ่ยคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะเชื่อใจตนเองง่ายดายเช่นนี้ จึงยิ้มอย่างตื่นตกใจ แล้วก็พูดว่า “ไม่ว่าจะจัดการให้นางทำอะไร พักที่ไหน ก็ไม่บ่นแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันเพียงแค่ยิ้มปล่อยผ่านไป สถานการณ์เช่นนี้ฝ่ายตรงข้ามยังต้องเรื่องมากอะไรอีก? หากไม่มีนางปกป้อง ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องพูดถึงคลอดลูก แม้แต่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อก็ยังยาก

 

 

ขณะพูด ก็คิดบางอย่างได้ จึงพูดว่า “เรื่องวันนี้ไม่ต้องบอกท่านอ๋อง”

 

 

ชุนฮุ่ยรับคำเสียงเบา แล้วถอยอกไป ถาวจวินหลันกลับไปดูหมิงจูและซวนเอ๋อร์ อยู่เล่นกับพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง รอจนหลี่เย่กลับมา ทั้งครอบครัวก็ร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันอย่างสนุกสนาน

 

 

แต่ไม่รู้ว่าทำไมถาวจวินหลันถึงได้รู้สึกว่าหลี่เย่ดูผิดปกติ เขาเหลือบมองนางบ่อยๆ ทำไมกัน?