บทที่ 480 รอบคอบ

บัลลังก์พญาหงส์

ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้มีไปจนถึงตอนดึกหลังจากกล่อมเด็กทั้งสองคนหลับ และทั้งสองคนไปอาบน้ำขึ้นเตียงนอนแล้ว ถาวจวินหลันคิดว่าไม่ถามคงดีกว่า แต่คิดไปมาก็เอ่ยปากพูดว่า “วันนี้ท่านเป็นอะไรหรือ? ทำไมถึงมองข้าบ่อยๆ เล่า? หรือว่ามีดอกไม้ติดหน้าข้า?”

 

 

หลี่เย่ไอออกมาเบาๆ คล้ายอยากหัวเราะเพราะคำพูดติดตลกของนาง แล้วก็ได้ยินนางพูดว่า “ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าไปบ้านตระกูลเฉินอย่างนั้นหรือ? เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเขาถามเช่นนั้น ก็เข้าใจทันที เกรงว่าเขาคงรู้แล้วว่าเรื่องพลิกคดีต้องล่าช้าออกไปอีก กังวลว่านางจะรู้สึกผิดหวังใช่หรือไม่?

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ ก็อธิบายการกระทำเหลือบมองนางบ่อยๆ ของหลี่เย่ได้แล้ว นางพลันรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่าน จึงยิ้มและพูดว่า “เพคะ ไปที่ตระกูลเฉินมารอบหนึ่ง ไปถามเรื่องพยาน ใครจะรู้ว่าคนนั้นติดโรคระบาดเสียชีวิต ช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน ข้าผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็จนปัญญาเพคะ”

 

 

หลี่เย่นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดปลอบว่า “ต้องมีโอกาสอีกแน่นอน”

 

 

ถาวจวินหลันรับคำ “เพคะ” แต่กลับเขยิบเข้าไปใกล้หลี่เย่มากขึ้น พูดตามจริง ความรอบคอบละเอียดอ่อนของหลี่เย่ที่คิดถึงนาง ก็ให้นางมีความสุขมาก ถ้าเทียบกับคู่สามีภรรยาที่ตื่นเช้ามาวาดคิ้ว เทียบกับคู่สามีภรรยาที่ลุกขึ้นมามวยผมแบบที่นิยมกัน นางกลับรู้สึกว่าหลี่เย่เอาใส่ใจนางขนาดนี้มีความสุขกว่าสิ่งเหล่านั้นหลายเท่า

 

 

“ไม่มีเรื่องอื่นแล้วใช่หรือไม่?” หลี่เย่โอบถาวจวินหลันไว้ในอ้อมกอด และตบไหล่เบาๆ

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป ตอบว่า “จะมีเรื่องอะไรได้อีก ไม่มีอะไรแล้วเพคะ” พอพูดออกไปแล้ว นางพลันคิดถึงเรื่องที่วันนี้ไปถนนบ้านตระกูลข่งมา ฉับพลันก็เริ่มใจฝ่อ หรือว่าที่หลี่เย่ถามคือเรื่องนี้? เขารู้แล้วอย่างนั้นหรือ?

 

 

แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว นางคิดว่าเป็นไปไม่ได้ นางสั่งทุกคนแล้วว่าไม่ให้พูดออกไป หลี่เย่น่าจะไม่รู้เรื่อง และเรื่องเล็กเช่นนี้ก็ไม่ควรค่าแก่ความสนใจของเขา

 

 

ถาวจวินหลันไม่เคยคิดว่าหลี่เย่จะหึงหวง หลี่เย่เองก็เป็นผู้ชาย มีนิสัยแบบผู้ชาย นั่นก็คือคาดหวังให้ผู้หญิงของตนเองรักเดียวใจเดียว ไม่ต้องพูดถึงพบหน้าหรือไปดู แค่คิดก็ไม่อยากให้คิดถึงชายอื่น

 

 

หลังจากนั้นหลี่เย่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ผ่านไปนานก็พูดเสียงเบาว่า “นอนเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว”

 

 

เพียงไม่นาน ทั้งสองก็ไม่พูดจากัน จนหลับไปอย่างเงียบๆ แต่ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าที่จริงแล้วผ่านไปนานหลี่เย่ก็ยังนอนไม่หลับ ลืมตามองเพดานมุ้งกว่าค่อนคืน

 

 

เรื่องการพลิกคดีต้องไร้ความหวังอีกแล้ว แม้ถาวจวินหลันจะผิดหวัง แต่ก็เก็บความรู้สึกนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจ ที่จริงแล้วที่นางผิดหวังไม่ใช่เพียงเพราะยังพ้นโทษขุนนางนักโทษไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งก็เพราะนางสูญเสียคุณสมบัติเข้าถึงตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋องไปโดยสิ้นเชิง

 

 

นางย่อมเข้าใจเหตุผลว่าไม่อาจไปบีบบังคับได้ ดังนั้นแม้จะผิดหวังเสียใจ ก็ยังต้องปรับสมดุลท่าทีให้เร็วที่สุด แล้วเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่เรื่องอื่น

 

 

ถาวจวินหลันอยากจะพบหยวนฉงหวา ดังนั้นวันนี้จึงพาซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวงมาทำความเคารพไทเฮา แต่นางไม่ได้พาหมิงจูมาด้วย ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว นางกลัวว่าหมิงจูร่างกายอ่อนแอจะรับไม่ไหว

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะซวนเอ๋อร์ผ่านเรื่องราวมามากมาย จึงเข้าใจเรื่องราวมากกว่าคนอื่นอยู่หลายส่วน และเชื่อฟังนางเป็นพิเศษ ขอแค่มีนางอยู่ เขาเองก็ชอบอยู่ติดนาง

 

 

มีบางครั้งที่ถาวจวินหลันคิดแล้วเจ็บปวดใจ บางทีอาจเพราะซวนเอ๋อร์กลัวว่านางจะส่งเขาออกไปอีก

 

 

“ซวนเอ๋อร์ อีกครู่หนึ่งจะไปพบเสด็จทวด เจ้าจะเสียงดังไม่ได้ ตอนนี้ท่านสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ไปแล้วเจ้าก็จะต้องให้นางกินยา แล้วค่อยเอาลูกอมถั่วของเจ้าให้เสด็จทวดกินดีหรือไม่?” ตอนนี้นางอุ้มซวนเอ๋อร์ไม่ไหวแล้ว ยังดีที่ขาของซวนเอ๋อร์มีแรงเดินมาพร้อมนางได้ ตอนนี้นางจูงซวนเอ๋อร์ พลางพูดสอนเขา

 

 

สองวันมานี้ไทเฮาไม่สบาย ตอนนี้ก็ยังไม่หาย อย่างแรกเป็นเพราะว่าไทเฮาบอกว่ายาขมจึงไม่กิน อย่างที่สองเพราะอายุมากแล้วร่างกายไม่เหมือนเมื่อก่อน

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าหากให้ซวนเอ๋อร์ไปเกลี้ยกล่อมไทเฮา ไทเฮาอาจจะยอมฟังบ้าง อีกทั้งซวนเอ๋อร์ยังอายุน้อย พูดไปแล้วก็ไม่ทำให้ไทเฮาเสียหน้ามิใช่หรืออย่างไร?

 

 

เมื่อเข้าไปในวังหย่งโซ่ว ถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่าอี้เฟยและอี๋เฟยต่างมาวังหย่งโซ่วเพื่อเยี่ยมดูไทเฮา

 

 

จางหมัวหมัวออกมาต้อนรับถาวจวินหลันด้วยตนเอง แล้วเอ่ยเตือนเสียงเบา “ภายในนั้นอย่าเสนอตัว อีกครู่หนึ่งชายารองอย่าพูดอะไรนะเจ้าคะ”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า หันไปขอบคุณจางหมัวหมัว “ขอบคุณหมัวหมัวที่เอ่ยเตือน”

 

 

จางหมัวหมัวหัวเราะ ถามอีกว่า “ซินหลัน เจ้าเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

“เมื่อวานนี้ข้าไปบ้านตระกูลเฉินมารอบหนึ่ง ดูท่าทางใช้ได้เลยทีเดียว แม่สามีเอ็นดูนางมาก ข้าว่านางมีความสุขแล้ว” ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะตอบ ในใจนั้นรำพันอีกครั้งหนึ่ง จางหมัวหมัวเอ็นดูซินหลันมาก เพราะเรื่องนี้ตัวนางเองก็พลอยโชคดีไปด้วย เช่นในวันนี้ที่จางหมัวหมัวเอ่ยเตือนนาง พูดตรงๆ แล้วนอกจากไว้หน้าซวนเอ๋อร์แล้ว ก็เป็นการคำนึงถึงหน้าตาของถาวซินหลันด้วยเช่นกัน

 

 

เมื่อเข้าไปภายในห้อง ถาวจวินหลันก็เห็นอี๋เฟยที่สวมกระโปรงลายใบเฟิงสีแดงและอี้เฟยที่สวมกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเล ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสีสันแยงสายตาเกินไปบ้าง ไทเฮายังป่วยอยู่ พวกนางกลับใช้ชุดสีสันสดใสเช่นนี้แล้ว ไม่ผิดกาลเทศะไปหน่อยหรือ?

 

 

พอดึงสายตากลับมา ถาวจวินหลันก็หันไปทำความเคารพไทเฮาอย่างเรียบร้อย แล้วก็หันไปพยักหน้าทักทายอี๋เฟยและอี้เฟย “อี๋เฟยเหนียงเหนียง อี้เฟยเหนียงเหนียง”

 

 

อี้เฟยเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้ว แต่เป็นอี๋เฟยที่กระตือรือร้น “ชายารองถาวพาซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวงมาอีกแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันฟังคำพูดนี้แล้วรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็เพียงยิ้มน้อยๆ เท่านั้น จูงมือซวนเอ๋อร์ไปหน้าเตียงของไทเฮาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

ซวนเอ๋อร์เรียกเสียงเบา “เสด็จทวด”

 

 

แม้จะบอกว่าไทเฮาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงนัก แต่ก็ยังยิ้มพลางตอบรับออกมาเสียงดัง และถามซวนเอ๋อร์ว่า “ด้านนอกหนาวหรือไม่?”

 

 

ซวนเอ๋อร์ส่ายหน้า “ด้านนอกมีดอกไม้บานเต็มเลย เสด็จทวดรีบไปดูเร็วเข้า”

 

 

ที่ซวนเอ๋อร์พูดถึงคือดอกเบญจมาศ ในตอนนี้แม้ว่าจะเข้าสู่เทศกาลฉงหยาง* แล้ว แต่ดอกเบญจมาศก็ไม่มีท่าทีจะร่วงโรย ออกดอกเป็นอย่างดี ภายในวังของไทเฮามีประดับเอาไว้ไม่น้อย

 

 

ไทเฮาหัวเราะตอบรับ “ดี” พลางแสดงท่าทีให้จางหมัวหมัวพาซวนเอ๋อร์ขึ้นมานั่งบนเตียง

 

 

ซวนเอ๋อร์เรียนกฎเกณฑ์มาไม่น้อย นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างถูกต้องตามระเบียบ ใบหน้าเคร่งขรึม “ได้ยินว่าเสด็จทวดไม่ทานยา เพราะว่ากลัว?”

 

 

นี่ไม่เหมือนกับที่ถาวจวินหลันสอนเอาไว้ ถาวจวินหลันพลันก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิดว่าคนอื่นคงคิดว่านางพูดกับซวนเอ๋อร์ว่าไทเฮาไม่ยอมกินยา

 

 

ไทเฮาเหลือบมองนางอย่างคาดไว้ แต่สายตาไม่ถือว่าตำหนิ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ถาวจวินหลันก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี

 

 

ซวนเอ๋อร์ไม่รอให้ไทเฮาตอบ ก็ควักถั่วหวานเม็ดหนึ่งมาจากในกระเป๋าพก เอียงตัวยื่นเข้าไปข้างปากของไทเฮา ยิ้มหรี่ตาพลางพูดว่า “ท่านแม่ทำให้ หวานมาก กินอันนี้แล้วไม่ต้องกลัวขม”

 

 

ซวนเอ๋อร์ยิ้มอย่างจริงใจ ไทเฮาเองก็ไว้หน้ามาก อ้าปากอมเอาไว้ โอบซวนเอ๋อร์พลางหัวเราะพูดว่า “เด็กน้อย กตัญญูเสียจริง”

 

 

ซวนเอ๋อร์ถูกชมทำให้รอยยิ้มสดใสมากกว่าเดิม และยิ่งมีชีวชีวาขึ้นมา เขาเอ่ยปากสั่งว่า “เอาถาดมา”

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะทำอะไร จางหมัวหมัวคิดแล้วจึงหยิบถาดที่มีของว่างไปให้ ภายในนั้นยังมีขนมอยู่สองชิ้น

 

 

ซวนเอ๋อร์มองถาดทีหนึ่ง จากนั้นก็หยิบขนมขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ ชิ้นหนึ่งส่งเข้าปากตนเอง อีกชิ้นหนึ่งยื่นไปข้างปากไทเฮา “ทาน”

 

 

ไทเฮาเห็นว่าซวนเอ๋อร์คิดแบ่งให้นางชิ้นหนึ่ง ก็หัวเราะอ้าปากรับขนมเอาไว้ ขนมภายในวังหลวงแต่ละชนิดทำอย่าประดิดประดอย ขนมสองชิ้นนี้ขนาดเล็กพอๆ กับฝ่ามือของหมิงจู ก็เพื่อให้กินได้หมดภายในคำเดียว

 

 

หลังจากถาดว่างแล้ว ซวนเอ๋อร์ก็พยายามออกแรงหยิบกระเป๋าพกออกมา และเปิดปากกระเป๋า หยิบถั่วหวานออกมาวางบนถาดทีละเม็ด พอหยิบครบสิบเม็ดแล้ว ก็ไม่หยิบออกมาอีก ยิ้มพลางพูดว่า “ทานยาแล้วก็ทานลูกอม”

 

 

ทุกคนเข้าใจทันที ที่จริงแล้วถาดเอามาเพื่อใส่ลูกอมถั่ว ไม่ได้กินของหวาน

 

 

แม้แต่ถาวจวินหลันก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เด็กน้อย ทำอะไรกับดูวางท่าวางทาง ช่างน่าขันเสียจริง

 

 

ไทเฮาหัวเราะ จากนั้นก็โอบซวนเอ๋อร์เอาไว้ไม่ปล่อย “เจ้าเอาใจเช่นนี้ ข้าจะทำใจให้เจ้ากลับไปได้อย่างไร! อยู่เป็นเพื่อนทวดเลยดีกว่า“

 

 

แล้วซวนเอ๋อร์ก็เริ่มลังเล มองดูถาวจวินหลัน ก่อนส่ายหน้าอย่างมุ่งมั่น

 

 

ไทเฮาขมวดคิ้ว “หืม ทำไมซวนเอ๋อร์ถึงไม่อยู่กับทวดเล่า? ทำไมหรือ?”

 

 

ซวนเอ๋อร์โอบไทเฮา พูดเสียงเบาว่า “กลับไปดูน้องพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันส่งเสียงหัวเราะ “ตอนนี้ซวนเอ๋อร์ไปเล่นกับน้องทุกวันเพคะ เพิ่งจะโตได้ไม่เท่าไรก็รู้ว่าจะต้องเฝ้าหมิงจูนอน ไม่ให้ยุงมากัดน้องเพคะ”

 

 

ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “ตอนที่อยู่ในวังหลวงสองสามวันนั้นข้าเองก็สังเกตเห็นแล้ว นี่เป็นเรื่องดี ซวนเอ๋อร์เอ็นดูน้องสาว บอกได้ว่าเขาเป็นคนมีเมตตา และมีความรับผิดชอบ”

 

 

ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก ซวนเอ๋อร์เป็นลูกชายของนาง คนอื่นชื่นชมได้ แต่หากนางชมก็เหมือนกับว่าอัฐิยายซื้อขนมยาย

 

 

กลับเป็นอี๋เฟยที่รับคำ หัวเราะและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นในอนาคตพอองค์ชายเก้าโตแล้ว ก็ให้ซวนเอ๋อร์พาเขาไปเล่น”

 

 

ไทเฮามองไปทางอี๋เฟย “รอองค์ชายเก้าเดินได้วิ่งได้ ซวนเอ๋อร์ก็คงจะเรียนหนังสือแล้ว อีกอย่างไม่ได้อยู่ที่เดียวกันแล้วจะมาเล่นด้วยกันได้อย่างไร”

 

 

ไทเฮาบอกเป็นนัยว่าไม่ยินยอมให้ซวนเอ๋อร์เล่นกับองค์ชายเก้า ถึงได้จงใจพูดเช่นนั้น

 

 

อี๋เฟยเห็นว่าไทเฮาไม่พอใจ ฉับพลันนั้นก็เงียบไม่พูดอะไร

 

 

ในเวลาจู่ๆ อี้เฟยก็หัวเราะ “ซวนเอ๋อร์น่ารักเสียจริง ไม่ต้องเป็นองค์ไทเฮา แม้แต่ข้าเองก็ทำใจให้ซวนเอ๋อร์ไปไม่ได้ ซวนเอ๋อร์กล่อมให้ไทเฮาเสวยโอสถได้ ข้าว่าอยู่ในวังหลวงไปก่อนคงดีกว่า หากไม่มีคนกล่อม ไทเฮาคงไม่ยอมเสวยโอสถอีก ข้าเชื่อว่า ซวนเอ๋อร์คอยอยู่ข้างๆ ไทเฮาจะต้องเสวยโอสถเป็นแน่”

 

 

ท่าทีของไทเฮาที่มีต่ออี้เฟยนั้นดีกว่ามาก เมื่ออี้เฟยพูดหยอกเย้า ไทเฮาก็หัวเราะกล่าวว่า “เจ้าคนเจ้าเล่ห์”

 

 

ตอนที่กำลังพูดคุยกัน นางกำนัลที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามารายงาน “ฮ่องเต้เสด็จมาเพคะ”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ถาวจวินหลันก็เข้าใจทันทีว่าทำไมมาเยี่ยมไข้แท้ๆ แต่ทั้งสองคนกลับแต่งกายมีสีสันนัก

 

 

*เทศกาลฉงหยาง (重阳节) เทศกาลที่ตัดขึ้นในวันที่9 เดือน 9