ตอนที่ 522 อยากกอดเขา / ตอนที่ 523 ความจริงทั้งหมด

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 522 อยากกอดเขา

 

 

           พอมั่วไป๋พูดมา ไป๋จิ่งก็หายใจลอยกลับมาทันที

 

 

           เขาก้มหน้ามองโจ๊กในมือ รีบหยิบช้อนขึ้นมา พร้อมรีบเอ่ย “จะกินแล้ว กินแล้ว นี่จะกินแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งก้มหน้าลงกินโจ๊ก ถอนหายใจในใจเล็กน้อย เขาจะบอกมั่วไป๋ไม่ได้ว่าตัวเองทำใจกินไม่ลง

 

 

           พูดอย่างนี้ออกไป มั่วไป๋รู้เข้า จะดูเหมือนตัวเองไม่มีความคืบหน้าเท่าไหร่

 

 

           ทั้งสองคนกินโจ๊กเสร็จ ก็เดินเล่นอยู่ข้างล่าง ถึงค่อยกลับมายังห้องพักผู้ป่วย

 

 

           ชีวิตในโรงพยาบาลเรียบง่ายมาก จนกระทั่งใช้คำว่า ‘น่าเบื่อ’ มาพูดได้ ไม่มีรายการบันเทิงใดๆ ทั้งสิ้น อยู่ข้างในทั้งวัน

 

 

           ตรวจอาการ กินข้าว นอนหลับ…

 

 

           นอกจากสามอย่างนี้ ก็หาเรื่องอื่นที่ทำได้ไม่เจอเลย

 

 

           ไป๋จิ่งไม่เคยมีประสบการณ์การใช้ชีวิตมาก่อน ตอนนี้หลังจากผ่านประสบการณ์มาแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้น่าเบื่อเกินไปแล้ว

 

 

           แต่มั่วไป๋กลับคุ้นชินมากถึงมากที่สุด เขากลับมาห้องพักผู้ป่วยก็หยิบกระดานวาดรูปขึ้นมาวาดรูปต่อทันที

 

 

           ไป๋จิ่งไข้ลดลงแล้ว จึงไม่ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา

 

 

           เขาค่อยๆ เดินไปอยู่ข้างหลังมั่วไป๋ เขามองมั่วไป๋พลางเอ่ยเสียงต่ำ “คุณทำอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ”

 

 

           พู่กันในมือมั่วไป๋หยุดชะงักเล็กน้อย เอ่ยขานรับไปตามที “อืม”

 

 

           เขา ‘อืม’ อย่างไม่ใส่ใจ แต่ในใจไป๋จิ่งกลับเมินไม่ลงมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งยังจำยามที่พวกเขาเพิ่งจะเจอหน้ากันได้ หลินฝานสดใสร่าเริงมาก เพียงแต่ว่าไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หลินฝานเงียบลงในทุกๆ วัน

 

 

ทีแรกไป๋จิ่งไม่ได้สนใจอะไร แต่กว่าที่เขาจะมีท่าทีตอบสนองกลับมา หลินฝานก็พูดน้อยลงมากแล้ว

 

 

ในความทรงจำของไป๋จิ่ง หลินฝานเป็นคนที่มองเขาด้วยความหวาดกลัวอยากพูดก็พูดไม่ออกแบบนี้เสมอ

 

 

แต่ตอนนี้มั่วไป๋ไม่ได้เหมือนหลินฝานในตอนนั้น มั่วไป๋ในตอนนี้มีความเย็นชาซึมซาบอยู่ทั่วร่าง ความเย็นชาแบบนั้นซึมซาบออกมาจากกระดูก

 

 

หนาวเหน็บเข้าถึงกระดูก

 

 

ตอนแรกที่เขาเจอกับมั่วไป๋ เขารู้สึกแค่เพียงว่าคนคนนี้เย็นชากว่าคนอื่นสักหน่อย

 

 

แต่ต่อมานับวันยิ่งอยู่ร่วมกัน เขาถึงได้เข้าใจ มั่วไป๋ไม่ได้เย็นชากว่าคนอื่นแค่นั้น แต่หนาวเหน็บลึกในกระดูก ยากจะเข้าใกล้ได้

 

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจูบจะกอดกัน ไป๋จิ่งก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองเดินเข้าไปไม่ถึงในใจของมั่วไป๋

 

 

ราวกับว่าข้างหลังมั่วไป๋มีกำแพงสูงกันไว้อย่างหนักแน่น ไม่มีทางที่จะเข้าใกล้ได้

 

 

ไป๋จิ่งไม่สนใจ เขารู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็วสักวันตัวเองจะทลายกำแพงนี้ลงได้

 

 

แต่หลังจากที่เรื่องราวได้เปิดเผย ไป๋จิ่งถึงได้พบว่าที่แท้กำแพงสูงที่ตั้งอยู่ในใจของมั่วไป๋เป็นเขาที่สร้างมันขึ้นมาด้วยมือของเขาเอง

 

 

ผสมกับเลือดแดงฉานของหลินฝานทีละนิดๆ จนตั้งตระหง่านอย่างไม่อาจล้มได้

 

 

ความเจ็บหน่วงฉายสะท้อนในแววตาของไป๋จิ่ง เขามองดูใบหน้าที่เย็นชาของมั่วไป๋ จู่ๆ ในใจก็พรั่งพรูความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้

 

 

เขาอยากโอบกอดคนคนนี้ไว้อย่างแนบแน่น

 

 

ออกแรงสลักเขาสู่ร่างกายของตัวเอง

 

 

ไป๋จิ่งคิดอย่างนี้ เขาก็จะทำอย่างนี้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าท่าทางที่เขากอดมั่วไป๋ไว้นั้นกลับคุมความรู้สึกไว้

 

 

เขากอดมั่วไป๋จากทางด้านหลัง เกยคางไว้บนไหล่ของมั่วไป๋

 

 

มั่วไป๋คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะกอดตัวเองแบบนี้ได้ เพียงชั่วขณะหนึ่งคนทั้งคนตะลึงงันอยู่บนโซฟา ใบหน้าเย็นชาของเขาปรากฏความไม่แน่ใจขึ้น

 

 

ราวกับว่าเวลานี้ไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าอารมณ์อะไรออกมา

 

 

มือไป๋จิ่งที่กอดมั่วไป๋ไว้สั่นเทาขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

ตัวเขาเองรู้ตัวแล้ว มั่วไป๋เองก็รู้สึกได้ ค่อยๆ กดเก็บความลังเลในใจอย่างช้าๆ มั่วไป๋อยากจะเอามือไป๋จิ่งออก

 

 

แต่ไป๋จิ่งไม่ปล่อยมืออยู่แล้ว เขากอดมั่วไป๋ไว้อย่างแนบแน่น เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ให้ผมกอดสักพัก แค่สักพักก็โอเคแล้ว”

 

 

ในน้ำเสียงเขาเจือความร้องขอ

 

 

มั่วไป๋รู้ว่าตัวเองควรจะเด็ดขาดดึงมือไป๋จิ่งออกไปทั้งอย่างนี้

 

 

แต่ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆ หัวใจที่สงบนิ่งดั่งน้ำก็เกิดระลอกคลื่นซัดสาดเข้ามาทีละนิด…ทีละหน่อย

 

 

 

 

 

ตอนที่ 523 ความจริงทั้งหมด

 

 

           สุดท้ายมั่วไป๋ก็ยังไม่ได้ดึงมือไป๋จิ่งออก ปล่อยให้เขากอดตามอำเภอใจ

 

 

           เวลาผ่านไปประมาณห้านาที ไป๋จิ่งถึงเพิ่งคลายมือลง ความรู้สึกของเขาจัดการเข้าที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “ผมจะออกไปสักหน่อย เดี๋ยวจะรีบกลับมา”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋เอ่ยขานรับ แล้วก้มหน้าถือพู่กันวาดรูปต่อไป

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่ได้พูดอะไร เดินอย่างเบามือเบาเท้าออกจากห้องพักผู้ป่วยไป แล้วปิดประตูให้เสร็จสรรพ

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้าลงเหมือนจะกำลังวาดรูป

 

 

           แต่ดูโดยละเอียดแล้ว แววตาไม่ได้จดจ่ออะไรมาตั้งแต่แรก มือที่ถือพู่กันอยู่นั้นก็ไม่ได้ทำอะไร

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว มั่วไป๋คลายพู่กันออก วางลงบนโต๊ะข้างๆ

 

 

           เขาสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ ปิดหน้าตัวเองไว้อย่างไร้ที่พึ่งพิง เวลาผ่านไปนานแล้วยังไม่เคยจะเงยหน้าขึ้นสักที

 

 

           ……

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกจากห้องพักผู้ป่วยมา เขาก็ลงไปซื้อบุหรี่ข้างใต้อาคาร ยืนสูบบุหรี่ในบริเวณที่ให้สูบบุหรี่ได้

 

 

           ท่ามกลางควันบุหรี่ สติปัญญาที่สั่นคลอนถึงค่อยสงบลงได้อย่างช้าๆ

 

 

           สูบบุหรี่จนหมดมวนเสร็จ ไป๋จิ่งถึงได้เอาบุหรี่ในมือโยนทิ้งลงทั้งขยะ เขาดูเวลา ตอนนี้เหยียนอวี้ควรจะยังไม่เลิกงาน

 

 

           เขาหันกลับไป พากลิ่นบุหรี่จางๆ ไปยังห้องทำงานของเหยียนอวี้

 

 

           เหยียนอวี้กำลังจัดการรายงานกรณีศึกษาของผู้ป่วยในมือ เพิ่งจะจัดการไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็มีคนมาเคาะประตูห้องทำงานแล้ว

 

 

           เหยียนอวี้หยุดชะงัก เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “เข้ามาได้ครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งผลักเปิดประตูเดินเข้ามา เหยียนอวี้เงยหน้าเห็นเขา ยังรู้สึกแปลกใจไม่เบา คิดว่ามั่วไป๋ไม่สบาย

 

 

           “คุณมาได้ยังไงครับ มั่วไป๋เป็นอะไรไปหรือเปล่า”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว “ไม่ใช่ครับ เขาไม่เป็นอะไร”

 

 

           ได้ยินไป๋จิ่งพูดแบบนี้ เหยียนอวี้ถึงได้วางใจ เขามองไป๋จิ่งด้วยความสงสัย “มั่วไป๋ไม่เป็นอะไร แล้วคุณมาหาผมทำไมกันครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้ตอบกลับไปทันที แต่เดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหยียนอวี้ เขาบีบแขนเก้าอี้ไว้ เตรียมตัวเตรียมใจให้ตัวเอง

 

 

           หลังจากผ่านไม่กี่นาที ไป๋จิ่งถึงได้สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยถาม “ผมเคยสืบมาว่าคุณเป็นหมอของมั่วไป๋ หมอเพียงคนเดียวเท่านั้น”

 

 

           เหยียนอวี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

 

 

           “ผม…ผมอยากรู้เรื่องราวในอดีตของมั่วไป๋” เขากลืนน้ำลายพลางพูดออกมาด้วยความยากลำบากเหลือเกิน “เรื่องราวในช่วงเวลาที่เขาได้รับบาดเจ็บครับ”

 

 

           มือเหยียนที่ถือรายงานกรณีศึกษาของผู้ป่วยหยุดชะงักไป เงยหน้ามองไป๋จิ่งเหมือนจะรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ไม่น้อย

 

 

           “มันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น คุณแน่ใจเหรอครับว่าจะอยากฟัง”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่เคยจะเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นนี้มาก่อน เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง ไม่ว่าเหยียนอวี้จะพูดอะไรออกมา เขาก็ต้องฟังต่อไป

 

 

           เหยียนอวี้เห็นท่าทีเขาแล้วก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ในเมื่อคุณต้องการจะรู้ให้ได้ งั้นผมก็จำเป็นต้องช่วยคุณเต็มที่แล้ว…

 

 

           …คุณอยากรู้เรื่องไหนครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ “ทั้งหมดครับ”

 

 

           เหยียนอวี้ครุ่นคิดแล้ว ตัดสินใจเริ่มต้นเล่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอมั่วไป๋

 

 

           “ครั้งแรกที่ผมเจอเขา ใบหน้าพันผ้าพันแผลมา คนทั้งคนสลบไสลไม่ได้สติ เจียงมู่เฉินเป็นติดต่อส่งคนมาที่โรงพยาบาลผม…

 

 

           …คุณอาจจะไม่เคยเห็นว่าบาดแผลของเขาสาหัสแค่ไหน มีรอยมีดกรีดอยู่บนใบหน้าเต็มๆ สิบแผล ผิวหนังฉีกขาด ถึงแม้ว่าจะเคยผ่านการทำแผลมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังดูรุนแรงมากอยู่ดี…

 

 

           …ตอนนั้นเขาอยู่ในสภาพหมดสติอยู่ตลอด” เหยียนอวี้เล่ามาถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรขึ้น จู่ๆ กินยิ้มหัวเราะออกมา “คุณก็รู้จักเจียงมู่เฉิน เขาเป็นคนที่ไม่แคร์ใคร ไม่เก็บอะไรมาใส่ใจทั้งนั้นมาเสมอ แต่วันนั้นวันที่ส่งตัวมั่วไป๋มา คุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้เย่อหยิ่งมาตลอดแอบตาแดง…

 

 

           …ผมหาคนที่มีอำนาจตัดสินใจที่สุดในโรงพยาบาลผ่านอาจารย์ของผม กำหนดแบบแผนการรักษาให้มั่วไป๋ ตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาครึ่งปี ทำการผ่าตัดเล็กใหญ่มาสามสิบกว่าครั้ง ค่อยๆ ซ่อมแซมใบหน้าของเขาทีละนิดๆ ให้หายดี”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินถึงตรงนี้ หัวใจก็เจ็บปวดจนรวดร้าวราวกับเลือดใกล้จะไหลซึมออกมา