ตอนที่ 520 ช่างเหมาะสมคู่ควรกันจริงๆ / ตอนที่ 521 เล่นละครต้องเล่นให้จบ

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 520 ช่างเหมาะสมคู่ควรกันจริงๆ 

 

 

           ด้วยเหตุนี้หมอจึงยื่นมือไปหยิบปรอทวัดไข้จากไป๋จิ่งมาเงียบๆ หลังจากดูเสร็จก็พบว่าไข้ของไป๋จิ่งลดลงแล้ว เสียงต่ำถึงได้เอ่ยขึ้น “พักผ่อนดีๆ อย่าไปไหนโดยพลการอีกนะคะ” 

 

 

            แน่นอนว่าประโยคข้างหลังนี้มีการเน้นหนักในน้ำเสียงเพิ่มขึ้น 

 

 

           ถึงอย่างไรไป๋จิ่งก็เป็นคนมีประวัติ ไม่มีความน่าเชื่ออะไร 

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งได้ยินก็ไม่คิดจะละอายในการกระทำของตัวเอง ถึงอย่างไรก็มีความสุข มั่วไป๋อยู่ที่นี่ เขาจะไปไหนได้ล่ะ 

 

 

           หลังจากหมอออกไปแล้ว ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋อยู่ไม่ไกลนัก เขาก็เตรียมจะลงจากเตียงไป 

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินความเคลื่อนไหว ก็รู้ว่าเจ้าหมอนี่คิดไม่ซื่อ 

 

 

           หมอเพิ่งจะออกไป เขาก็เตรียมจะลงไปเดินเล่นแล้ว 

 

 

           มั่วไป๋กระแอมไอขึ้นมาเฉพาะหน้า มือไป๋จิ่งที่ดึงผ้าห่มออกหยุดชะงักไปในทันใด 

 

 

           คนทั้งคนตะลึงค้าง นั่งอยู่ที่เดิมด้วยอาการเลิ่กลั่กประมาณหนึ่ง 

 

 

           เขาแอบมองมั่วไป๋แวบหนึ่ง เห็นเขาก้มหน้า ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร 

 

 

           ไป๋จิ่งคิดเงียบๆ ว่าเขาคงจะยังไม่รู้ตัว 

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงบังอาจลงจากเตียงมา มั่วไป๋เห็นเค้าลางก็ไอเตือน 

 

 

           เป็นอย่างนี้ไปๆ มาๆ อยู่หลายครั้ง มั่วไป๋ชักจะรำคาญ ไป๋จิ่งทำเสียงรบกวนเขาจนทำให้เขาใกล้จะสงบจิตใจวาดรูปต่อไม่ลงแล้ว 

 

 

           เพราะแบบนี้จึงเอ่ยปากขึ้นมาเสียเลย “นายทำเสียงรบกวนขนาดนี้ ฉันจะให้หมอย้ายนายไปห้องอื่น” 

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ว่าจะเปลี่ยนห้อง ก็หยุดการกระทำนี้ลงทันที 

 

 

           ‘อะไรก็ได้ แต่ย้ายห้องไม่ได้ เขาจะย้ายห้องได้ยังไง… 

 

 

           …เปลี่ยนห้อง เขาก็อยู่ไกลจากมั่วไป๋สิ ไม่ไป ไม่ไป ตีให้ตายยังไงก็ไม่ไป’ 

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงทำตัวไม่ดื้อทันที นอนบนเตียงอย่างว่าง่าย เหมือนทั้งร่างพันผ้าพันแผลแบบปิดตาย 

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาสงบลงได้เสียที เวลานี้ถึงได้เบนสายตากลับมายังภาพที่ตัวเองวาด 

 

 

           เขามีลูกค้าที่สั่งจองรูปวาดกับเขาสามรูป ราคาที่ให้สูงมาก 

 

 

           ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ค่อยขาดเงินใช้ แต่ว่าเงินที่ควรจะแลกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็ยังต้องแลกมาอยู่ 

 

 

           ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นคนที่ใช้เงินทุกวัน 

 

 

           ในห้องเงียบลงอีกครั้ง ไป๋จิ่งนอนอยู่บนเตียงไม่กล้าขยับ กลัวมั่วไป๋ต้องการจะให้เขาออกไป 

 

 

           แต่ว่านอนเฉยๆ ไม่ขยับแบบนี้ น่าเบื่อไม่เบาจริงๆ 

 

 

           ด้วยเหตุนี้ดวงตาของไป๋จิ่งจึงเปลี่ยนมาจดจ้องมั่วไป๋แทน 

 

 

           มั่วไป๋นั่งเอียงตัววาดรูปอยู่บนเตียง เขาถือพู่กันตวัดวาดไปมา มีสมาธิจดจ่อมากๆ 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแล้ว หัวใจก็หลุดลอยไป รู้สึกว่ามั่วไป๋ในมาดแบบนี้ สวยเกินไปแล้วจริงๆ 

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงจ้องมองมั่วไป๋อย่างซื่อๆ เห็นเขาบางทีจิ้มคิ้ว บางทีครุ่นคิด  

 

 

           คนทั้งคนตกอยู่ในโลกของตัวเอง 

 

 

           ไป๋จิ่งจ้องมองมั่วไป๋ เขาเทียบกับเมื่อสองปีก่อน ไม่ค่อยจะเหมือนกันจริงๆ 

 

 

           หลินฝานในความทรงจำเมื่อก่อน น่าเอ็นดูมาก วนเวียนอยู่รอบตัวเขาทั้งวัน 

 

 

           ตอนนี้ไป๋จิ่งมาคิดดู ถึงได้พบว่าเขาไม่เข้าใจในตัวหลินฝานเลยสักนิด ไม่รู้ว่าหลินฝานทำอะไร ไม่รู้ว่าหลินฝานชอบอะไร 

 

 

           นอกจากมาอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว ไป๋จิ่งก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง 

 

 

           เวลาที่มั่วไป๋วาดรูปนั้นดูจริงจังเป็นพิเศษ ไม่ได้สนใจถึงสภาพรอบข้างอยู่แล้ว 

 

 

           จึงไม่รู้ว่าไป๋จิ่งกำลังมองเขาอยู่ตลอดเวลาไปโดยปริยาย 

 

 

           กว่ามั่วไป๋จะหยุดวาด ท้องฟ้าก็มืดลงพอประมาณแล้ว 

 

 

           มั่วไป๋ยืดเหยียดเอว วางของลงด้านข้าง ประจวบเหมาะพอดีกับที่เหยียนอวี้เปิดประตูห้องเข้ามา 

 

 

           ทันทีที่เขาเห็นกระดานวาดรูปที่มั่วไป๋วางลง เขาก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ 

 

 

           “นายเป็นผู้ป่วย ช่วงที่ไม่สบายอยู่ช่วยพักรักษาอาการดีๆ หน่อยจะได้ไหม อย่าเพิ่งคิดหาเงินเลย” 

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สนใจ “ฉันก็ไม่ได้ทำอะไร มันเบื่อไม่มีอะไรทำไม่ใช่เหรอ ก็ถือโอกาสหาเงินพอดี” 

 

 

           เหยียนอวี้ย่นจมูกหัวเราะใส่ หลังจากนั้นก็หันหน้าไปมองไป๋จิ่งที่แกล้งตายอยู่ข้างๆ 

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ รู้สึกว่าสองคนนี้ช่างเหมาะสมคู่ควรกันจริงๆ ขาดคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้ทั้งนั้น 

 

 

             

 

 

      ตอนที่ 521 เล่นละครต้องเล่นให้จบ 

 

 

           ช่างเถอะ เขาหมอเหยียนคนนี้ก็รู้จักวางตัวอยู่บ้าง ไม่รบกวนพวกเขาแล้ว 

 

 

           ด้วยเหตุนี้หมอเหยียนจึงหันหน้าเดินออกไปด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง 

 

 

           มั่วไป๋มองอีกฝ่ายแวบหนึ่งด้วยความเห็นแปลกจนไม่แปลกแล้ว เขาหันหน้ามามองไป๋จิ่งที่แกล้งนอนอยู่บนเตียง 

 

 

           “นอนพอหรือยัง” 

 

 

           ทันทีที่ไป๋จิ่งได้ยินมั่วไป๋เอ่ยเรียกตัวเอง ในใจก็มีคลื่นซัดมา แทบอยากจะทิ้งผ้าห่มพุ่งไปอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋แล้วขานรับทันที 

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ ตอนนี้เขาคือคนที่เพิ่งจะตื่นนอน 

 

 

           ถึงแม้ว่าบางทีมั่วไป๋อาจจะรู้แต่แรกว่าเขากำลังแกล้งหลับ 

 

 

           แต่ว่าเล่นละครต้องเล่นให้จบ จะเปิดโปงแบบนี้ได้อย่างไรกัน 

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงแกล้งทำหน้าง่วงดึงผ้าห่มออกมา หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาที่หรี่ลงอยู่ขึ้นอย่างช้าๆ เอ่ยขานรับด้วยอาการง่วงนอน “เพิ่งจะตื่นเอง” 

 

 

            มั่วไป๋เห็นฝีมือการแสดงของเขา แค่พื้นฐานก็ขึ้นไปรับรางวัลออสการ์ได้แล้ว 

 

 

           เขาลุกขึ้น​มาจากโซฟา ยกมุมปากขึ้นเงียบๆ “งั้นนายก็นอนต่ออีกหน่อยสิ” 

 

 

           พูดจบก็เดินออกจากห้องไปทันที 

 

 

           พอไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋เดินออกจากห้อง มีหรือจะยังมาสนเล่นละครอะไรอีก เขารีบดึงผ้าห่มออก ใส่รองเท้าลวกๆ แล้วพุ่งตัวออกไป 

 

 

           ขณะที่เขาพุ่งตัวออกไป มั่วไป๋ยืนอยู่นอกประตูพอดี 

 

 

           เขาเอียงหน้าเลิกคิ้วมองไป๋จิ่ง “พึ่งจะตื่นเองไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าเวลานี้ตัวเองควรจะต้องเลิ่กลั่ก แต่ยังไม่ทันได้รอเขาเลิ่กลั่ก ก็ยิ้มหัวเราะอย่างหน้าไม่อายออกมาแล้ว “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ตื่นตั้งนานแล้ว” 

 

 

           “หึ” มั่วไป๋ทำเสียงพ่นลมหายใจออกมา เวลานี้ถึงได้เดินออกไป 

 

 

           ไป๋จิ่งเดินตามเขาไป ทั้งสองคนออกจากห้องพักผู้ป่วย ลงไปชั้นหนึ่ง 

 

 

           “มั่ว…มั่วไป๋…คุณจะไปไหน” 

 

 

           “ไปกินข้าว” 

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงัน ฝีเท้าที่เดินตามหลังมั่วไป๋ชะงักไปในทันใด 

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกได้ในพริบตา เขาหันกลับมามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง “ถ้านายไม่ยินดี ก็กลับไปได้นะ” 

 

 

           “ยินดี ยินดี ต้องยินดีอยู่แล้ว” 

 

 

           เขาดีใจและแปลกใจมากล้น ไป๋จิ่งรู้สึกว่าสองวันนี้ก้าวหน้าไปเร็วมากเกินไปแล้ว 

 

 

           เมื่อคืนได้นอนบนโซฟาในห้องของมั่วไป๋ วันนี้เปลี่ยนจากโซฟามาเป็นเตียง 

 

 

           ‘เฮ้อ…ถึงแม้ว่าจะเป็นคนละเตียงกันก็ตาม’ แต่ว่าเขามีความเชื่อมั่นว่าไม่ช้าก็เร็วจะพอทำให้มั่วไป๋ยอมให้เขานอนร่วมเตียงได้ 

 

 

            ตอนนี้มั่วไป๋ยังพาเขาไปกินข้าวด้วยกันอีก 

 

 

           โบนัสที่ได้รับนี้ดีกว่านั่งยองๆ อย่างน่าเวทนาอยู่หน้าประตูห้องมากเกินไปแล้ว 

 

 

           ไป๋จิ่งก้มหน้าเห็นมือมั่วไป๋ที่ตกลงอยู่ข้างตัว เขากัดฟัน ชักอยากจะจูงมือ 

 

 

           แต่ไป๋จิ่งก็ได้แค่คิด ไม่ได้ยื่นมือออกไป 

 

 

           รอต่อไปก่อน รอมีสักวันที่มั่วไป๋ให้อภัยเขาได้แล้วจริงๆ เขาจะต้องจูงมือที่ช่วงเวลานี้ไม่ได้จูงไว้กลับมาให้ได้ 

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงปลอบใจตัวเองอยู่นานสองนาน ในที่สุดไป๋จิ่งเก็บกดหัวใจที่อยากจะใกล้ชิดมั่วไป๋ไว้ เดินอยู่ข้างมั่วไป๋ รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยตลอด 

 

 

           ทั้งสองคนหาเป็นร้านโจ๊กร้านหนึ่ง ทั้งคู่ยังเป็นคนป่วย ต้องกินอาหารอ่อนๆ เป็นธรรมดา 

 

 

           หาตำแหน่งที่นั่งตรงมุมหนึ่งได้แล้ว มั่วไป๋นั่งตรงข้ามกับไป๋จิ่ง คนสองคนนั่งประจันหน้ากัน ไป๋จิ่งรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยอย่างน่าประหลาดใจ 

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยถามเสียงต่ำ “อยากกินอะไร” 

 

 

           “ผมได้หมด” 

 

 

           มั่วไป๋มองดูเมนูแวบหนึ่ง “กินโจ๊กสักหน่อยแล้วกัน เบาท้องดี” 

 

 

           ไป๋จิ่งได้รับการใส่ใจจนน่าตกใจ ตื่นเต้นทั้งเนื้อทั้งตัว แม้แต่จะพูดก็พูดไม่ออก 

 

 

           ‘นี่มั่วไป๋กำลังห่วงใยเขาอยู่ใช่ไหม’ 

 

 

           ดังนั้นจึงตั้งใจพาเขามาที่นี่ แล้วยังสั่งโจ๊กให้เขาด้วย 

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าหัวใจตัวเองใกล้จะร้อนจนละลายแล้ว ขอเพียงแต่มั่วไป๋เติมความหวานให้เขานิดๆ หน่อยๆ เขาก็ดีใจไปทั้งวันแล้ว 

 

 

           ท่ามกลางความไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัวนั้น มั่วไป๋ได้ครอบครองพื้นที่หัวใจทั้งดวงของเขาไปเรียบร้อยแล้ว 

 

 

           แต่ไป๋จิ่งกลับไม่อยากยับยั้ง 

 

 

           จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าต่อให้ยกหัวใจให้มั่วไป๋เอาไปบดขยี้ เขาก็ยอมได้ทั้งนั้น 

 

 

           มั่วไป๋ก็สั่งโจ๊กที่หนึ่งมาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าเทียบกับไป๋จิ่งแล้ว ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าเล็กน้อย 

 

 

           เพียงไม่นานโจ๊กสองที่ก็ส่งมาถึง 

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูชามโจ๊กตรงหน้าตัวเอง ไม่กล้าลงมือ นี่คือโจ๊กที่มั่วไป๋สั่งมาให้เขา กินเสร็จก็ไม่มีแล้ว 

 

 

           คิดได้เช่นนี้ รู้สึกตัดใจไม่ลงเท่าไหร่จริงๆ 

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาเป็นแบบนี้ เจ้าตัวก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม “ทำไมไม่กิน”